หลังประสบความสำเร็จในการเติบโตของบริษัทชั้นนำด้านผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อโมเดิร์นไลฟ์สไตล์ในปี 2567 บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KCG เจ้าของคุ้กกี้กล่องแดง ‘อิมพีเรียล’ เนยและชีส ‘อลาวรี่’ น้ำผลไม้เข้มข้น ‘ซันควิก’ ตลอดจนผลิตภัณฑ์ประกอบอาหารและเบเกอรีกว่า 2,000 สินค้า เผยแผนรุกธุรกิจปี 2568 โดยมุ่งสานต่อยุทธศาสตร์ 7 Business Pillars รวมถึงการเข้าใจผู้บริโภคอย่างลึกซึ้งเพื่อนำมาพัฒนาผลิตภัณฑ์และการบริการ รวมถึงการให้ความสำคัญกับนวัตกรรมที่ตอบโจทย์โมเดิร์นไลฟ์สไตล์
ดำรงชัย วิภาวัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KCG อธิบายว่า ปี 2568 KCG มุ่งมั่นตามรอยความสำเร็จเดิมในปี 2567 ด้วยการสานต่อยุทธศาสตร์ 7 Business Pillars ที่ประกอบด้วย การพัฒนา 7 มิติ ได้แก่ 1. มุ่งสร้างการเติบโตทางธุรกิจ (Growth) 2. การพัฒนาบุคลากร (People) ซึ่งรวมทั้งการ Reskill Upskill และ Multi-skill ของบุคลากรเพื่อให้ตอบโจทย์การ Transformation องค์กร
3. การขับเคลื่อนองค์กรด้วยข้อมูลและเทคโนโลยี (Innovation Data & Tech) เพื่อสนับสนุนการ Transformation องค์กรเช่นกัน 4. การขยายตลาดส่งออก (Export) ที่ตอบสนองการเติบโตขององค์กร ให้มีช่องทางการจำหน่ายครบทั้ง B2B และ B2C
5. ยกระดับศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้าที่ทันสมัยและครบวงจร (Supply Chain & Inventory) ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ปรับปรุงทั้ง Inventory และ Warehouse ที่ลงทุนกว่า 350 ล้านบาทสร้าง Logistic Park ที่สมุทรปราการซึ่งช่วงแรกยังเป็นภาระค่าใช้จ่ายของบริษัท แต่ภายใน 2 ปีจะต้องกลายเป็นส่วนทำกำไรแก่องค์กรได้
6 ยกระดับการผลิตโดยใช้ระบบอัตโนมัติ (Production& Automation) เช่น การผลิตเนยได้ปรับปรุงการทำ automate จาก 30% เป็น 55% ควบคู่ไปกับการขยายกำลังการผลิตเนยจาก 18,000 ตันต่อปี เพิ่มเป็น 23,000 ตันต่อปี ลงทุนไป 217 ล้านบาท ส่วนโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์ชีส (Individually Wrapped Processed Cheese Slices) จาก 2,100 ตันต่อปี เพิ่มเป็น 4,200 ตันต่อปี
และ 7 การส่งเสริมสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน (Sustainable Development) ใส่ใจด้าน ESG สิ่งแวดล้อมที่กระทบต่อส่วนรวม และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับองค์กร มุ่งการดูแลสังคมทั้งภายในและภายนอกองค์กรโดยเฉพาะพื้นที่รอบ ๆ โรงงาน อีกทั้งเน้นเรื่องธรรมาภิบาลโดยให้ความสำคัญเรื่องนี้ตั้งแต่ผู้ก่อตั้งบริษัทเป็นต้นมา
เข้าใจผู้บริโภคลึกซึ้งเพื่อพัฒนาสินค้า-บริการ
ขณะเดียวกัน จากที่ได้เฝ้าสังเกตผู้บริโภคอย่างใกล้ชิด จึงเรียนรู้ว่า ปัจจุบัน ผู้บริโภคให้คุณค่ากับอาหารที่มากกว่าความอิ่มอร่อย ดังนั้น แนวทางการพัฒนาสินค้าและบริการของ KCG ปี 2568 ต้องตอบโจทย์ผู้บริโภคใน 4 มิติ คือ 1. FOOD FOR SELF EXPRESSION หรืออาหารเพื่อบ่งบอกตัวตน เนื่องจาก ทุกวันนี้ผู้บริโภคใช้อาหารเป็นการสื่อสารตัวตนผ่านโซเชียลมีเดีย อาหารเป็นสื่อที่บ่งบอกตัวตนของผู้บริโภคว่าเป็นคนแบบใด พิถีพิถันแค่ไหน ดังนั้น สินค้าและบริการของ KCG จะต้องช่วยให้ผู้บริโภครู้สึกถึงการเป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่
2. FOOD FOR CONNECTING PEOPLE อาหารเพื่อเชื่อมโยงผู้คน โดยอาหารทำหน้าที่เป็นสื่อกลางสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน ผู้บริโภคมีเครือข่ายความสัมพันธ์ที่แตกแขนงไปมากกว่าเดิม มีเพื่อนที่มีความสนใจเฉพาะ มี Networking ต่าง ๆ ที่ทำให้ได้รู้จักเพื่อนใหม่ ๆ
3. FOOD TO HEAL YOUR BODY & MINDอาหารเพื่อฮีลกายและใจ เป็นเทรนด์การรักษาสุขภาพยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ อาหารต้องทำให้ผู้บริโภครู้สึกดีต่อตัวเอง และไม่รู้สึกผิดที่จะรับประทาน และ 4. FOOD TO SAVE THE WORLDอาหารเพื่อช่วยให้โลกดีขึ้น ที่มาของวัตถุดิบต้องได้คุณภาพ และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม
ต่อยอดนวัตกรรมตอบโจทย์โมเดิร์นไลฟ์สไตล์

ปี 2568 KCG จะมุ่งให้ความสำคัญกับนวัตกรรมต่อไป ทั้งเรื่องรสชาติ วิธีการรับประทาน และอื่น ๆ โดยมีทีม R&D ที่เป็นจุดแข็งขององค์กร รวมทั้งการเสาะแสวงหาแบรนด์ผลิตภัณฑ์อาหารที่มีคุณภาพจากทั่วโลกที่จะมาเติมความแข็งแกร่งให้แก่พอร์ตฟอลิโอของบริษัท โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าพรีเมียม สานต่อความสำเร็จในปี 2567 ที่พัฒนานวัตกรรมอย่างเข้มข้น เห็นได้จากการตอบรับของ “แดรี่ โกลด์ ชีสกะเพรา” ซึ่งทำให้การรับประทานชีสมีความหลากหลายมากขึ้น
นอกจากนี้ จะหาวิธีเข้าถึงคนรุ่นใหม่ให้ได้มากขึ้นต่อไป จากปี 2567 ที่วางกลยุทธ์ Partnership ผนึกพาร์ตเนอร์นำเสนอเมนูใหม่ เจาะลูกค้าคนรุ่นใหม่ได้ประสบความสำเร็จจากการเสนอเมนู “ชีสบอร์ด” เป็นเมนูประจำการเฉลิมฉลอง
ขณะเดียวกัน KCG ยังมี Celebrity Chef อยู่ในองค์กร เช่น เชฟบิ๊บ–ชัชชญา รักตะกนิษฐ Vice-President ของ KCG Creative Center, เชฟเมย์–พัทธนันท์ ธงทอง, เชฟพลอย–ฐาติกานต์ ตัณฑจินนะ KCG Ambassador Chef เป็นกุญแจสำคัญในการคิดค้นวิธีการนำเสนออาหารให้ตอบโจทย์โมเดิร์นไลฟ์สไตล์ ซึ่งช่วยให้ผู้บริโภคมีความเข้าใจในคุณภาพของผลิตภัณฑ์ของ KCG ได้ดียิ่งขึ้น
“การเน้นย้ำคุณภาพของผลิตภัณฑ์จาก KCG และการมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภค จะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ KCG ยังคงสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องได้ และทำให้ทุกคนเห็นว่า KCG ไม่ได้มีดีแค่คุกกี้อิมพีเรียลกล่องแดง แต่ยังมีผลิตภัณฑ์คุณภาพในพอร์ตฟอลิโอจากทั่วโลก”
ยอดขายชีส-เนยโต
ส่วนปี 2567 มีผลการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในฐานะผู้นำอันดับ 1 กลุ่มผลิตภัณฑ์ Dairy Products ในกลุ่มเนยและชีสในประเทศไทย โดยไตรมาส 3/2567 ครองส่วนแบ่งการตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์เนย 55% และผลิตภัณฑ์ชีส 31.6% รวมยอดขายผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมมูลค่า 1,063.4 ล้านบาท และ KCG ยังเป็น Top 3 ในกลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับการประกอบอาหารและเบเกอรี (FBI) ยอดรวมของชีสเติบโต 13% จากตลาดรวมโต 17% และเนยเติบโต 7% จากตลาดรวมโต 4% กว่า ๆ
ในช่วงเวลาเดียวกัน ผลิตภัณฑ์ประกอบการทำเค้กและแพนเค้กมีส่วนแบ่งการตลาด 14.2% ผลิตภัณฑ์ยีสต์มีส่วนแบ่งการตลาด 9.2% รวมยอดขายในกลุ่ม FBI 507.8 ล้านบาท และกลุ่มผลิตภัณฑ์ Biscuits มีส่วนแบ่งการตลาด 26.1% มูลค่า 181.4 ล้านบาท
ด้านสัดส่วนลูกค้าแบ่งเป็น B2C 53% B2B 43% และ Export 4% จากเดิม KCG จะแข็งแกร่งในช่องทางการขายแบบ B2B เป็นพื้นฐาน แต่ปี 2567 สามารถขยายสัดส่วนลูกค้า B2B และ B2C ให้เติบโตใกล้เคียงกัน ส่วนช่องทาง Export มีลูกค้าทั้งประเทศอาเซียน และนอกอาเซียน ซึ่งมีแผนขยายไปตะวันออกกลาง และอาฟริกา จึงเป็นสัญญาณว่า ปี 2568 จะเติบโตขึ้น
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
“ศุภวุฒิ” ชี้ทางรอดเศรษฐกิจไทยปี 2025 ธปท. ต้องลดดอกเบี้ย คาด จีดีพีไทยโต 3%
THaLLE (ทะเล) by KBTG AI ภาษาไทย ช่วยคนไทยเข้าใจการเงิน