ปฎิเสธไม่ได้ว่าปี 2567 ที่กำลังจะผ่านพ้นไป ถือเป็นปีที่เกิดเรื่องราวขึ้นมากมายสำหรับประเทศไทย ทุกเรื่องล้วนมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั้งสิ้น ทั้งการเปลี่ยนผ่านนายกรัฐมนตรี อุทกภัยที่สร้างความเสียหายเป็นวงกว้างในภาคเหนือและภาคใต้ สินค้าเกษตรได้รับความเสียหายคิดเป็น 1.1% ของจีดีพี รวมถึงปัญหาหนี้ครัวเรือนและหนี้เสียที่ยังอยู่ในระดับสูงทะลุเพดานเกือบ 90%
สถานการณ์ในปี 2567 จะเห็นภาพนักลงทุนต่างชาติทยอยย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างต่อเนื่องเป็นมาอย่างนี้ตั้งแต่ 4-5 ปีที่แล้ว ทำให้โรงงานอุตสาหกรรมของคนไทยที่เป็นซัพพลายเชนต้องปิดกิจการตาม คนงานตกงานจำนวนมาก นี่คือภาพที่เกิดขึ้นแทบทุกวัน
การส่งออกที่เคยเป็นรายได้หลักในยุคที่รุงโรจน์ที่สุด มีสัดส่วนที่เคยสูงเกือบ 70% ของจีดีพี หลายปีมานี้ส่งออกไทยไม่เหมือนเดิม สินค้าอุตสาหกรรมของไทยแข่งในตลาดโลกไม่ได้ตลาดไม่ต้องการ เหลือเพียงท่องเที่ยวที่ยังพอพึ่งเนื้อนาบุญได้ แต่ก็ยังไม่กลับมาเหมือนเดิมในช่วงก่อนโควิด
แต่ที่อาการหนักที่สุด คือธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม ผลจากพิษเศรษฐกิจตกต่ำ โดนคู่ค้าเลื่อนจ่ายเงิน บ้างหลายเดือน บ้างหลายปี จนบางธุรกิจขาดสภาพคล่อง บางธุรกิจเริ่มไปต่อไม่ได้ มิหนำซ้ำยังโดนสินค้าจากจีน ที่กำลังการผลิตล้นเกินทะลักเข้ามาทุ่มตลาดเมืองไทยผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ช ทุบราคาขายต่ำกว่าต้นทุน หลาย ๆ ประเทศในอาเซียนออกมาตรการภาษีสกัดมีแต่ไทยที่เปิดเสรี
นอกจากนี้ ธุรกิจจีนพากันเข้ามาบุกตลาดเมืองไทย โดยเฉพาะธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ที่เข้ามายึดทำเลทั้งในห้างสรรพสินค้า ตามถนนหนทาง รวมถึงตรอกซอกซอยต่าง ๆ ในกรุงเทพฯ ขายถูก ๆ ตัดราคาร้านค้าคนไทย ร้านค้าคนจีนที่เข้ามาไม่ได้ใช้วัตถุดิบของไทยทุกอย่างนำเข้าจากจีนทั้งหมด เงินที่ได้จึงไหลกลับจีนทั้งหมด
แต่ที่ถูกพูดถึงมากที่สุดปีนี้ น่าจะโฟกัสไปที่ตลาดหุ้นไทย มีภาวะซึมยาวต่อเนื่องมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ดัชนีไต่เส้นแถว ๆ 1,400 จุด สถานการณ์ตลาดหุ้นช่วงโค้งสุดท้ายปี 2567 กลับสู่ความเลวร้ายดัชนีดิ่งลงอีกครั้ง ดับความหวังนักลงทุนที่จะได้เห็นระดับ 1,500 จุดในปีนี้อย่างสิ้นเชิง
ในช่วงสองสามปีนี้ตลาดหุ้นไทยมีแต่ข่าวลบมากดดันรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องผิดนัดชำระหุ้นกู้ ปั่นหุ้น มีการทุจริตในบริษัท เมื่อไม่มีข่าวดีมากระตุ้น นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2566 ขายหุ้นสุทธิประมาณ 1.96 แสนล้านบาท ปีนี้ตัวเลขล่าสุดเมื่อสิ้นวันที่ 17 ธันวาคม ต่างชาติขายหุ้นออกแล้ว 146,564.60 ล้านบาท ที่สำคัญยังไม่มีสัญญาณกลับมาซื้อใหม่ ตลาดหุ้นไทยปีหน้า น่าจะเจอวิบากกรรมหนักแน่ ๆ
แต่ที่น่าห่วงกว่า คือ นักลงทุนโดยตรงที่เข้ามาลงทุน ”เรียลเซ็คเตอร์” (Real Sector) มาลง ลงทุนตั้งโรงงานอุตสาหกรรม ผลิตสินค้าต่างๆกลุ่มนี้หากย้ายการลงทุน โอกาสที่ย้ายกลับมายาก ไม่นานมานี้มีโอกาสได้นั่งในวงสนทนากับซีอีโอบริษัทขนาดใหญ่ บอกว่าประเทศไทยเวลานี้น่าห่วงโดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ เราไม่มีจุดแข็งอะไรเหลือเลย ไม่นานมานี้บริษัทยักษ์ใหญ่ญี่ปุ่นรายหนึ่งเข้าพบปะพูดคุย บอกว่าหากประเทศไทยเป็นอย่างนี้ เขาคงย้ายโรงงานไปอยู่เวียดนาม และเมื่อเร็ว ๆ นี้บริษัทยักษ์ใหญ่รายนั้นย้ายฐานหนีไทยไปแล้วจริง ๆ
เขายังเล่าอีกว่าไม่นานมานี้ สิงคโปร์มาชวนให้ไปลงทุน เขาสงสัยว่าทำไมถึงชวนตัวแทนรัฐบาลสิงคโปร์ที่มาชวนเล่าว่า สิงคโปร์ยังต้องการให้ต่างชาติเข้าไปลงทุนในโรงงานอุตสาหกรรมเพราะถือว่ามีความสำคัญในระบบเศรษฐกิจมีสัดส่วนถึง 29% ของจีดีพีเลยทีเดียว
ย้อนกลับมาดูบ้านเราในการแถลงนโยบายรัฐบาลอิ๊งค์ “แพทองธาร ชินวัตร” แถลงผลงานรอบ 3 เดือนยิ่งอดเป็นห่วงไม่ได้ มีแต่นโยบายประชานิยมล้วน ๆ เช่น ลดค่าไฟฟ้า เดินหน้าดิจิทัลวอลเลต ผลักดันรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย และโครงการบ้านเพื่อคนไทย แก้หนี้ครัวเรือน ส่งเสริมเด็กไทยเรียนนอก ไม่มีเรื่องการหารายได้เข้ามาไม่พูดถึงการจูงใจลงทุนจากต่างประเทศ การคุ้มครองธุรกิจไทยให้รอดพ้นทุนจีน อย่างไร มีแต่ประชานิยม มีแต่รายจ่าย
อย่าลืมว่า ในปี 2567 ที่ผ่านมาต้องเผชิญกับวิกฤติหนี้ที่เป็นปัจจัยลบ โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือน ยังเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่ ยิ่งตอนนี้ลามถึงหนี้ธุรกิจขนาดกลางค่อนข้างใหญ่เริ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ น่าห่วงหนี้ ธุรกิจกลุ่มนี้เริ่มเป็นหนี้นอกระบบ ตรงนี้อันตราย
ปีหน้าสังคมสูงวัยจะเป็นโจทย์ที่ท้าทายอย่างยิ่ง เนื่องจากเศรษฐกิจไทยจะต้องขับเคลื่อนให้เติบโตด้วยกำลังแรงงานที่ลดลง ในขณะเดียวกันก็ต้องพยายามดูแลผู้สูงอายุให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีด้วย
แต่ที่ต้องเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะเป็นปัจจัยลบใหม่ต่อเศรษฐกิจไทยปีหน้า คือ การเข้ามารับตำแหน่งอีกครั้งของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่ประกาศนโยบายกีดกันทางการค้าโดยจะมีการขึ้นภาษีสินค้านำเข้า ซึ่งอาจกระทบต่อการเติบโตของภาคส่งออกของไทยในฐานะผู้เล่นสำคัญของห่วงโซ่อุปทานโลก ย่อมได้รับผลกระทบซึ่งการส่งออกของไทยที่เป็นอีกหนึ่งปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
ขณะเดียวกันต้องไม่มองข้ามเรื่อง Climate Chang เริ่มมีกระแสแรงขึ้นเรื่อย ๆ ในปีนี้ และในปีหน้าคาดว่าจะรุนรงกว่าเดิมตอนนี้ในยุโรปได้ออกกฏหมาย CBAM ออกมาจะส่งผลให้ต้นทุนภาคธุรกิจของไทยเพิ่มสูงขึ้นแน่ ๆ
ปีนี้แม้หลายคนจะรู้สึกเศรษฐกิจไทยอยู่ในอาการซึม ๆ ไม่คึกคัก แต่หลายฝ่ายเชื่อว่าในปีหน้า 2568 น่าจะหนักกว่าหลายเท่าเตรียมตั้งรับกันให้ดี
บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน
จุดยืนไทย เมื่อ ‘โดนัล ทรัมป์’ คัมแบ็ค
อย่าให้การลงทุนเป็นแค่ ‘ภาพลวงตา’