ปีใหม่นี้คนไทยน่าจะได้รับข่าวดี เมื่อ ‘ประเสริฐ จันทร์รวงทอง’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลและสังคม (ดีอี.) จ่อชงวาระแก้ พ.ร.ก.อาชญากรออนไลน์ เอาผิด ‘โจรออนไลน์’ เพิ่มโทษจากเดิม 5 เท่าจาก 1 ปีเป็น 5 ปี และให้ค่ายมือถือและสถาบันการเงินร่วมรับผิดหากปล่อยให้ประชาขนตกเป็นเหยื่อ โดยจะนำเข้า ครม.ในการประชุม นัดแรกวันที่ 7 มกราคมนี้ คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในเดือนมกราคมปีนี้
มาช้าดีกว่าไม่มาที่ผ่านมาทุกข์ของคนไทยอย่างหนึ่งที่ไม่ใครเหลียวแล นั่นคือ การถูกหลอกลวงทางออนไลน์ ทำให้กินไม่ได้นอนไม่หลับหวาดผวากับพวกมิจฉาชีพ”แก๊งค์คอลเซ็นเตอร์”โทรมาหลอกลวงจนไม่มีใครกล้ารับโทรศัพท์ ไม่กล้ารับพัสดุไปรษณีย์ มีไม่น้อยที่เจ้าของบัญชีที่มีเงินฝากในธนาคารโดนมิจฉาชีพหลอกให้ไปกดลิงค์ หรือคิวอาร์โค้ดสูญ เงินเกลี้ยงบัญชีเงินฝากที่หามาทั้งชีวิตจนหมดเนื้อหมดตัว
น่าแปลกใจ คนที่โดนหลอกส่วนใหญ่จะเป็นคนชั้นกลางลงมา ซึ่งพอจะมีเงินในบัญชี หรือพ่อค้าแม่ค้ารายย่อย อีกกลุ่มที่เป็นเป้าหมายแรกๆของบรรดามิจฉาชีพคือข้าราชการบำนาญที่เกษียณอายุ ว่ากันว่ารายชื่อข้าราชการเกษียณหลุดมาจากหน่วยงานราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ส่วนชาวบ้านข้อมูลจะรั่วไหลจากช่องทางที่ไปทำธุรกรรมที่ให้กรอกข้อมูลส่วนตัว เช่น ประวัติ บ้านเลขที่ เบอร์โทรศัพท์ เลขประจำตัวบัตรประชาชน แล้วพนักงานบางคนก็จะนำข้อมูลลูกค้ามาขายให้กับขบวนการมิจฉาชีพ
สถิติการแจ้งความออนไลน์ ตั้งแต่ 1 มี.ค 65 – 31 ต.ค.67 ความเสียหายมีมูลค่ารวม กว่า7หมื่นล้านบาท หรือเฉลี่ย 77 ล้านบาทต่อวัน คดีที่แจ้งความมากที่สุด 5 อันดับแรก ดังนี้ 1. หลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการ (ไม่เป็นขบวนการ) 2. หลอกให้โอนเงินเพื่อทำงานหารายได้พิเศษ 3. หลอกให้กู้เงิน 4. หลอกให้ลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ และ 5. ข่มขู่ทางโทรศัพท์
สภาพัฒน์ฯประเมินความเสียหายที่เกิดจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์คร่าวๆไม่น้อยกว่า1หมื่นล้านบาทต่อปีและเมื่อปีที่แล้ว คนไทยต้องรับโทรศัพท์หรือ SMS จากมิจฉาชีพสูงถึง 79 ล้านครั้งมากที่สุดในเอเชีย
นอกจากนี้พวกมิจฉาชีพ ยังหลอกลวงประชนด้วยการสร้างเพจปลอมออนไลน์ เช่นสร้างเพจปลอมหน่วยงานองค์กรต่าง ๆ เพื่อหลอกลวง พฤติกรรมของเหล่ามิจฉาชีพที่มากันหลากหลายรูปแบบ แต่ยังไม่มีหน่วยงานไหนเข้ามาจัดการอย่างจริงจัง และยังไม่มีใครต้องรับผิดชอบกับความเสียหายที่เกิดขึ้น
บ้านเรารัฐบาลเพิ่งจะตื่นตัว ทั้งที่ประชาชนเดือดร้อนมานานและเศรษฐกิจเสียหายมหาศาล แต่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์รัฐบาลเห็นความสำคัญและเอาจริงเอาจัง ได้ประกาศใช้กฎหมายใหม่ที่เรียกว่า Shared Responsibility Framework หรือ (SRF) บังคับให้ธนาคารและบริษัทโทรศัพท์ ต้องร่วมกันรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นกับลูกค้าจากการถูกหลอกลวงทางออนไลน์ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ วันที่16 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา
กฏหมายใหม่นี้จะเน้นไปที่การหลอกลวง เช่น เว็บไซต์ปลอม อีเมลปลอม หรือ SMS ปลอม ที่มิจฉาชีพปลอมตัวเป็นองค์กรที่น่าเชื่อถือเพื่อหลอกเอาข้อมูลส่วนตัว (เช่น บัญชีธนาคาร) ของเหยื่อ
กฏหมายระบุว่า เนื่องจากธนาคารเป็นผู้ดูแลเงินของลูกค้า จึงต้องมีหน้าที่หลักในการป้องกันธุรกรรมฉ้อโกง หากไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ภายใต้กรอบ SRF ก็จะต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่ลูกค้าได้รับ ส่วนบริษัทโทรศัพท์ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งพวกมิจฉาชีพจะใช้ในการสื่อสารโดยส่งข้อความ SMS ให้เหยื่อก็ต้องมาร่วมรับผิดชอบ
ในส่วนของธนาคารต้องมีระบบตรวจจับธุรกรรมที่ไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเกี่ยวข้องกับการถอนเงินจำนวนมากออกจากบัญชีลูกค้าอย่างรวดเร็ว และลูกค้าต้องได้รับแจ้งเตือนแบบเรียลไทม์สำหรับธุรกรรมขาออกทั้งหมด รวมทั้งธนาคารต้องจัดให้มีช่องทางเฉพาะสำหรับลูกค้าในการรายงานการถูกหลอกลวงได้ตลอดเวลา
ขณะที่บริษัทโทรศัพท์ก็ต้องติดตั้งตัวกรองป้องกันการหลอกลวงในเครือข่าย เพื่อบล็อกข้อความ SMS ที่มีลิงก์ฟิชชิ่ง มีผู้รวบรวม SMS ที่ได้รับอนุญาตทำการคัดกรอง SMS และบล็อก SMS ที่น่าสงสัย ข้อความ SMS จะส่งถึงผู้ใช้บริการได้ก็ต่อเมื่อผ่านการคัดกรองจากผู้รวบรวม SMS ที่ได้รับอนุญาตแล้วเท่านั้น
หากธนาคารได้ทำหน้าที่ครบถ้วนแล้ว แต่บริษัทโทรศัพท์กระทำบกพร่อง บริษัทโทรศัพท์ก็จะต้องรับผิดชอบเต็มจำนวนสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้น
เรื่องนี้หากแบงก์และค่ายมือถือร่วมมืออย่างจริงจังย่อมแก้ได้แน่นอน โดยเฉพาะธนาคาร เพราะลักษณะของบัญชีที่เรียกว่า “บัญชีม้า” สังเกตุได้จากจะมีเงินโอนเข้าก้อนใหญ่และโอนออกอย่างรวดเร็วแบบผิดปกติ หากบัญชีไหนมีลักษณะเข้าข่าย แบงก์ต้องสร้างระบบตรวจสอบ หากหน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแลเห็นว่า แบงก์ไหนมี “บัญชีม้า”ต้องมีบทลงโทษที่ชัดเจน และต้องลงโทษอย่างจริงจัง
สำหรับ พ.ร.ก.อาชญากรออนไลน์ที่กระทรวงดีอี.จะเสนอ ครม. แก้ไขนั้นจะมีรายละเอียดอย่างไร จะเข้มข้นรัดกุมแบบของสิงคโปร์หรือไม่ ต้องรอดู
อันที่จริงปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตัวบทกฏหมาย แต่ปัญหาใหญ่อยู่ที่การบังคับใช้ว่าจะเอาจริงแค่ไหน เช่น กรณีข่าวการทะลายแก๊งค์คอลล์ เซ็นเตอร์”จีนเทา”ครั้งใหญ่เจอซิมมือถือ 300,000 เลขหมาย เป็นของต่างชาติครึ่งหนึ่งเป็นของบริษัทมือถือของไทยครึ่งหนึ่ง มีการข่าวว่าออกมาแก็งค์นี้ไล่ซื้อจากรายย่อยแบบเก็บสะสม ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ จำนวนขนาดนี้ต้องซื้อล็อตใหญ่แน่นอน จนถึงวันนี้ยังไม่รู้ว่าซิมซื้อจากรายย่อยจริงหรือไม่ หรือจากรายใหญ่ มีบริษัทบริษัทมือถือเกี่ยวข้องหรือไม่
ต้องคอยดูพ.ร.ก. ฉบับใหม่ออกมาบังคับใช้แล้วจะมีน้ำยาหรือเป็นแค่เสือกระดาษ อย่าลืมว่า ทั้งธนาคาร และบริษัทมือถือ ล้วนมีคอนเน็คชั่นการเมือง ข้าราชการระดับสูงแน่นปึก
บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน
อย่าให้การลงทุนเป็นแค่ ‘ภาพลวงตา’