การประชุม COP29 ที่ทั่วโลกจับตาประเด็นเกี่ยวกับการระดมทุนเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประเทศไทยควรจะเดินหน้าต่อในทิศทางใด แม้ไทยได้รับคำชื่นชมจากนานาชาติในด้านความมุ่งมั่นต่อการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จากการจัดทำแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ การมีส่วนร่วมในการลดก๊าซเรือนกระจก รวมถึงการกำหนดเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์หรือ Net Zero ภายในปีพ.ศ. 2608 เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ประเทศไทยได้เตรียมความพร้อมให้เกษตรกรรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างเพียงพอแล้วหรือยัง
ภาคเกษตรยังคงมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย โดยมีสัดส่วนของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) มากกว่า 8% และมีการจ้างงานมากถึงเกือบ 1 ใน 3 ของประชากรทั้งประเทศ แต่ภาคเกษตรไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายที่มากขึ้น ทั้งจากภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้นทุกปี รวมถึงปัญหาเกษตรกรสูงวัย (อายุเฉลี่ยมากกว่า 58 ปี) ซึ่งกระทบต่อการขาดแคลนแรงงานและการใช้นวัตกรรมในการเกษตร นอกจากนี้ ปัญหาผลผลิตที่มีแนวโน้มลดลง แต่มีต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ผลกำไรของเกษตรกรมีแนวโน้มลดลงเรื่อย ๆ ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของเกษตรกรในระยะยาว
แม้รัฐบาลจะตระหนักถึงความท้าทายเหล่านี้ และได้ดำเนินมาตรการในหลายด้าน อาทิ การจัดทำแผนการปรับตัวแห่งชาติของภาคเกษตร การจัดฝึกอบรมเกษตรกรและบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการผลิตด้านการเกษตรอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะเห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม
ปัจจุบัน การใช้เทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะเพื่อสภาพภูมิอากาศ (Climate-smart agriculture: CSA) เป็นแนวทางที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่ามีประสิทธิภาพในการเตรียมความพร้อมให้เกษตรกรรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตัวอย่างของเกษตรอัจฉริยะฯ เช่น การทำนาโดยใช้วิธีเปียกสลับแห้ง การจัดการปุ๋ยที่เหมาะสมกับสภาพดิน รวมถึงการหลีกเลี่ยงการเผาตอซัง มีประโยชน์ในหลายด้าน โดยนอกจากจะเป็นการช่วยเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน ปรับตัวรับผลกระทบจากภัยแล้ง การทำให้คุณภาพดินดีขึ้น ลดการปนเปื้อนของสารเคมี และยังช่วยลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก โครงการนำร่องในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาแสดงให้เห็นถึงผลสำเร็จที่เกษตรกรสามารถลดการใช้น้ำและปุ๋ยได้ถึง 30% พร้อมกับผลผลิตที่เพิ่มขึ้น CSA จึงเป็นแนวทางที่ช่วยยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรและเสริมสร้างความยั่งยืนของภาคเกษตรได้อย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม แม้รัฐบาลจะได้ดำเนินการมาตรการส่งเสริมให้เกษตรกรมีการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง แต่การนำไปปฏิบัติจริงในพื้นที่ยังคงมีข้อจำกัด เกษตรกรส่วนใหญ่ยังคงลังเลที่จะปรับเปลี่ยนวิธีการทำเกษตรของตนเอง โดยมีอุปสรรคสำคัญคือ ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นรวมถึงความการขาดความเชื่อมั่นว่าการเปลี่ยนแปลงจะรับมือกับปัญหาได้จริงหรือไม่
โดยเฉพาะในกลุ่มเกษตรกรสูงวัยที่ยังลังเลที่จะนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้มากกว่ากลุ่มอื่น หากขาดการสนับสนุนทางการเงินที่ชัดเจนหรือการมีหลักประกันหากการเทคโนโลยีใหม่ใช้ไม่ได้ผล เกษตรกรส่วนใหญ่จึงยังยึดติดกับวิธีการเดิม
แล้วเราจะก้าวข้ามอุปสรรคเหล่านี้ เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรหันมาใช้ CSA ในวงกว้างได้อย่างไร
ในแต่ละปี ประเทศไทยใช้งบประมาณอุดหนุนภาคเกษตรในระดับสูง งบประมาณจำนวนมากใช้เป็นค่าชดเชยให้กับเกษตรกรจากการประสบภัยพิบัติต่าง ๆ ซึ่งน่าจะดีกว่า หากรัฐนำงบประมาณบางส่วนไปใช้ส่งเสริมแนวทางเกษตรแบบยั่งยืนเพื่อช่วยให้เกษตรกรปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศได้ดีขึ้น
ปัจจุบันแนวทางการทำ CSA หรือการเกษตรแบบยั่งยืนมีหลากหลาย เช่น การจัดการศัตรูพืชและโรคพืชแบบผสมผสาน (Integrated pest and disease management) ไปจนถึงแนวทางการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การนำแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนมาใช้จะทำให้เกษตรกรลดการพึ่งพาสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ปรับปรุงสภาพของดิน และการเพิ่มผลผลิตในระยะยาว ซึ่งในที่สุดส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้ที่มั่นคง
นอกจากนี้ รัฐยังสามารถให้เงินอุดหนุนแนวทางที่เกษตรกรใช้ปรับตัว เช่น การชลประทานแม่นยำหรือการปรับเปลี่ยนปฏิทินการเพาะปลูก เกษตรกรยังจำเป็นต้องเข้าถึงข้อมูลสภาพอากาศที่แม่นยำ ผ่านแอปพลิเคชันที่ใช้งานง่าย และมีระบบประกันความเสี่ยงที่เกิดขึ้น เพื่อการตัดสินใจบนพื้นฐานข้อมูลและรับมือกับความท้าทายด้านสภาพอากาศได้อย่างทันท่วงที
เกษตรกรไทยพร้อมที่จะปรับตัว หากมีเครื่องมือและแรงจูงใจที่เหมาะสม
การลงทุนเพื่อให้เกิดการปรับตัวของเกษตรกรอาจไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณจากรัฐทั้งหมด โดยภาคเอกชนสามารถเข้ามาช่วยเติมเต็มในการลงทุนด้านการปรับตัวได้ เช่นเดียวกับโครงการเกษตรคาร์บอนต่ำในประเทศบราซิล ที่ธนาคารและธุรกิจร่วมมือกันเพื่อสนับสนุนการผลิตด้านเกษตรแบบยั่งยืน ประเทศไทยสามารถใช้รูปแบบที่คล้ายกัน เพื่อเร่งให้มีการนำ CSA มาใช้ รัฐบาลควรปรับกระบวนการให้คล่องตัวและร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอุตสาหกรรมเพื่อให้เกษตรกรเข้าถึงเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมง่ายขึ้น
การประชุม COP29 และอุทกภัยใหญ่หลายครั้งที่เกิดขึ้นตลอดปี 2567 ที่ผ่านมา ตอกย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รัฐควรมุ่งเป้าการใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมเพื่อส่งเสริมการทำเกษตรแบบยั่งยืนเพื่อให้ภาคเกษตรมีความเข้มแข็งในระยะยาว
จัดลำดับความสำคัญจากการเน้นมาตรการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เช่น การจ่ายเงินค่าชดเชยภัยพิบัติ มาเป็นการลงทุนในมาตรการระยะยาวเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการปรับตัวของภาคเกษตร แนวทางการผลิตที่ยั่งยืนหรือ CSA จะช่วยให้ภาคเกษตรของไทยเข้มแข็งขึ้น รับมือและเติบโตท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ดีขึ้น มีความมั่นคงทางรายได้เพิ่มขึ้น นวัตกรรมหรือเทคโนโลยีใหม่ๆ เป็นปัจจัยการผลิตที่จำเป็นต่อการอยู่รอดที่ไม่ใช่สิ่งฟุ่มเฟือยอีกต่อไป
บทความโดย ผศ.ดร. อารียา โอบิเดียกวู ภาควิชาเศรษฐศาสตร์การเกษตรและทรัพยากร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ไทยพัฒน์ ตั้ง ‘ศูนย์อุณหภิบาล’ หนุนธุรกิจรับมือโลกรวน
ถอดบทเรียนสถานการณ์สิ่งแวดล้อมไทย ที่ต้องเผชิญในปี 2567