Amazon Web Services (AWS) ประกาศเปิดตัว AWS Asia Pacific (Thailand) Region อย่างเป็นทางการ ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการพัฒนาดิจิทัลในประเทศไทย พร้อมลงทุนกว่า 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในระยะเวลาหลายปีข้างหน้า โดยมีเป้าหมายสนับสนุนการจ้างงานกว่า 11,000 ตำแหน่งต่อปี และสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจรวมกว่า 10 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ต่อ GDP ของประเทศ
นับเป็นเหตุการณ์สำคัญสำหรับการพัฒนาดิจิทัลของประเทศ โดย AWS ผู้ให้บริการคลาวด์ระดับโลก ได้นำโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) เข้ามาเปิดให้บริการในประเทศไทย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อองค์กรธุรกิจทุกขนาด ตั้งแต่สตาร์ทอัพ องค์กรขนาดใหญ่ หน่วยงานภาครัฐ ไปจนถึงสถาบันการศึกษา องค์กรและบุคคลเหล่านี้จะสามารถใช้เทคโนโลยีคลาวด์เพื่อพัฒนานวัตกรรม ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
AWS Region เปรียบเสมือน “ศูนย์กลางการให้บริการ” Availability Zones (AZs) คอยรองรับการเก็บข้อมูลและการทำงานของระบบในหลายจุดพร้อมกัน ตัวระบบถูกออกแบบมาเพื่อให้มีการใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ใช้งานเข้าถึงได้รวดเร็วและไม่สะดุด
AWS และการพัฒนาดิจิทัลในประเทศไทย
การลงทุนครั้งสำคัญนี้จะส่งผลต่อการพัฒนาดิจิทัลของประเทศอย่างไร? และ AWS มีแผนการสนับสนุนประเทศไทยในด้านใดบ้าง? เพื่อเจาะลึกถึงรายละเอียดและความสำคัญของการลงทุนครั้งนี้ วัตสัน ถิรภัทรพงศ์ Country Manager จาก AWS ประเทศไทย แสดงความคิดเห็นโดยเชื่อมั่นว่าเหตุการณ์สำคัญนี้จะสร้างหลายๆ มิติให้กับประเทศด้านดิจิทัลฟีเจอร์
ย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 2014 AWS ได้เริ่มต้นด้วยการจัดตั้งกลุ่มผู้ใช้ AWS (ประเทศไทย) โดยเปิดสำนักงาน AWS Thailand ในปี 2015 มีการจัดฝึกอบรมการรับรองภาษาไทยในปี 2019 ต่อเนื่องมาจนถึงAWS Outposts และ Amazon CloudFront ที่พร้อมให้บริการในปี 2020 โดยมี Edge Locations 10 แห่งในประเทศ และพัฒนามาจนถึงปี 2021 ยืนยันว่า AWS สามารถรองรับภาษาไทยได้ โดยวันที่ 18 ตุลาคม 2022 AWS ได้ประกาศลงจะทุนในประเทศไทยด้วยงบประมาณมูลค่ากว่า 2.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยล่าสุดในปี 2023 Amazon Connect ได้เปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบในประเทศไทย
ต่อมา การลงทุนให้ช่วยแรก AWS ได้พัฒนาคลาวด์ฟรอนต์ (CloudFront) เป็นบริการที่ช่วยให้ผู้ใช้บริการสามารถเข้าถึงบริการได้รวดเร็วขึ้น อย่างการสตรีมวิดีโอหรือเสียงแบบเรียลไทม์ (Real-Time Streaming) นอกจากนี้ยังมีระบบเครือข่ายเน็ตเวิร์กที่เชื่อมต่อให้เร็วขึ้น รวมถึงการทำไพรเวทคลาวด์ (Private Cloud) ซึ่งเป็นระบบคลาวด์ที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานเฉพาะกลุ่มหรือองค์กรเดียวเท่านั้น โดยไม่แบ่งปันทรัพยากรหรือพื้นที่จัดเก็บข้อมูลร่วมกับองค์กรอื่น ทำให้มีความปลอดภัยสูง
นอกจากการลงทุนแล้ว ยังมีด้าน User Group เป็นพื้นที่ชุมชนสำหรับแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และไอเดียเกี่ยวกับการใช้งานบริการต่าง ๆ ของ AWS ปัจจุบันมีผู้ที่อยู่ในกลุ่มนี้ถึง 61,000 คน เชื่อว่าจะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำหรับด้านเซอร์วิสยังมีความมุ่งมั่นที่จะปรับปรุงและผลักดันบริการหลายรายการให้รองรับการใช้งานในภาษาไทย เพื่อเพิ่มความสะดวกและตอบโจทย์ผู้ใช้งานในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น
ถัดจากนั้น ได้ลงทุนในระบบ Direct Connect ที่ช่วยเชื่อมต่อข้อมูลระหว่างประเทศไทยและสิงคโปร์ รวมถึงการจัดกิจกรรมที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เช่น Cloud Day และการสร้างกลุ่มชุมชนเพื่อสนับสนุนการแลกเปลี่ยนความรู้และพัฒนาทักษะในกลุ่มผู้ใช้งาน AWS อย่างยั่งยืน
AWS ลงทุนมากกว่า 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในประเทศไทย การลงทุนนี้สนับสนุนงานเต็มเวลามากกว่า 11,000 ตำแหน่งต่อปี เพิ่มมูลค่าประมาณ 10 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ให้กับ GDP ของประเทศไทย
ทั้งนี้ ยังมีบทบาทสำคัญในฐานะพันธมิตรที่ช่วยขับเคลื่อนองค์กรชั้นนำในไทย เช่น SCG, PTT, TrueMoney, และ Krungsri ให้สร้างสรรค์นวัตกรรมผ่านเทคโนโลยีคลาวด์ อีกทั้งยังส่งเสริมความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและการเข้าถึงบริการสำหรับประชาชน
ซีพีออลล์ใช้ AWS รองรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป
แน่นอนว่า ทุกที่ที่ AWS ปัดหมุดลงทุน จะเกิดการสร้างนวัตกรรม การยกระดับของทักษะของคนที่อยู่ในประเทศ และการเร่งในเรื่องของการลงทุนการสร้างเครือข่าย หนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนของการใช้เทคโนโลยีคลาวด์จาก AWS คือกรณีของ ซีพีออลล์ (7-Eleven) ที่ได้นำเทคโนโลยีคลาวด์มาใช้ในช่วงโควิด-19 เพื่อพัฒนา แอปพลิเคชัน 7-Delivery ซึ่งช่วยให้ลูกค้าสามารถสั่งสินค้าและรับบริการได้สะดวกในช่วงที่มีข้อจำกัดด้านการเดินทาง แอปพลิเคชันนี้ยังคงได้รับความนิยมสูงในปัจจุบัน เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปสู่การสั่งซื้อออนไลน์มากขึ้น และกลายเป็นหนึ่งในแอปที่มีการใช้งานสูงสุดของซีพีออลล์ ซึ่งสะท้อนถึงประสิทธิภาพของการใช้คลาวด์ในการตอบสนองต่อความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
อีกด้านหนึ่งของความสำเร็จ คือการใช้พลังงานสะอาด 100% ในทุก Region ที่เปิดให้บริการตั้งแต่ปี 2020 ซึ่งเป็นเป้าหมายที่เดิมวางแผนไว้ว่าจะสำเร็จในปี 2025 แต่ AWS สามารถบรรลุเป้าหมายได้ก่อนกำหนดถึงสองปี นอกจากนี้ AWS ยังมุ่งมั่นพัฒนาโครงการด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน รวมถึงการนำเทคโนโลยีและความรู้มาใช้เพื่อสนับสนุนโครงการเหล่านี้ เพื่อผลักดันให้เกิดความยั่งยืนในระดับโลก
มุมมองภาครัฐในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่อนาคตดิจิทัล
ศาสตราจารย์พิเศษ วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า “วิสัยทัศน์สำคัญของการลงทุน AWS ในประเทศไทย ซึ่งไม่เพียงส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลให้ก้าวหน้า แต่ยังช่วยผลักดันเป้าหมายการเป็น Digital Government”
AWS มีบทบาทสำคัญในฐานะผู้พัฒนาระบบที่ช่วยเร่งการเติบโตของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในไทย ซึ่งปลัดกระทรวงฯ ระบุว่า การมีโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง เช่น ระบบ Digital ID, ระบบการโอนเงิน และการยืนยันตัวตน จะทำให้เศรษฐกิจดิจิทัลเติบโตอย่างมั่นคง
ปัจจุบัน ประเทศไทยตั้งเป้าให้สัดส่วน GDP ที่มาจากดิจิทัลเพิ่มขึ้นเป็น 50% โดยคาดการณ์ว่าผลกระทบเชิงเศรษฐกิจจากการพัฒนาดิจิทัลอาจเพิ่มมูลค่า GDP ได้ถึง 300,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเป็นตัวเลขที่สะท้อนถึงความสำคัญของการลงทุนด้านนี้
นอกจากนี้ กระทรวงดิจิทัลฯ ยังขยายการใช้งานดิจิทัลในพื้นที่ชนบทผ่าน ศูนย์ดิจิทัลชุมชน 500 แห่ง ทั่วประเทศ โดยจัดอบรมประชาชนอย่างต่อเนื่อง พร้อมนำเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาทักษะดิจิทัลและการสร้างคอนเทนต์มาสนับสนุนการค้าและการสร้างรายได้ในพื้นที่ห่างไกล
ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ กล่าวทิ้งท้ายว่า “การสร้างโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลอย่างยั่งยืนและมั่นคง เป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ซึ่ง AWS ถือเป็นผู้ร่วมขับเคลื่อนที่สำคัญ” พร้อมย้ำถึงความพร้อมของกระทรวงในการสนับสนุนโครงการด้านดิจิทัลเพื่อพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย กล่าวเสริมว่า “AWS จะมีบทบาทสำคัญในความร่วมมือกับรัฐบาล เพื่อพัฒนาประเทศไทยไปสู่สังคมดิจิทัลที่ครอบคลุมยิ่งขึ้น และขยายการเข้าถึงบริการดิจิทัลให้แก่ประชาชนทุกคน”
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
SkillLane แชร์ประสบการณ์ เส้นทางสู่ IPO
สตาร์ตอัพยุคใหม่ ใช้ Web 3.0 และ AI ลดต้นทุน เพิ่มโอกาส