ปี 2567 ที่ผ่านมาเป็นปีที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วซึ่งกระทบกับผู้คน สังคม และเศรษฐกิจอย่างหลีกหนีไม่ได้ ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านั้นส่งผลกับตลาดหุ้นโดยตรง ดังนั้นในปี 2568 นักลงทุนควรปรับพอร์ตการลงทุน ให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจและปัจจัยทางการเงินที่แปรผัน เพราะเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยรักษามูลค่าสินทรัพย์ให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดีได้อย่างต่อเนื่อง
อินโนเวสท์ เอกซ์ บริษัทในเครือ SCBX Group เปิดเวทีวิเคราะห์ภาพรวมการลงทุนในความผันผวนของปี 2567 พร้อมเจาะแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและประเทศไทยในปี 2568 โดยผู้เชี่ยวชาญเรื่องการวิเคราะห์การลงทุน สุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล. อินโนเวสท์ เอกซ์, ดร. ปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด, นายสุทธิชัย คุ้มวรชัย หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด, นายสิทธิชัย ดวงรัตนฉายา นักกลยุทธ์อาวุโสตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ และนายวิศกรณ์ คีรีวรรณ, CFA, ผู้อำนวยการ Investment Strategist ฝ่าย Wealth Products & Strategy บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด จะมีเหตุการณ์อะไรที่สำคัญ ตัวแปรที่ต้องตระหนักถึง หรือมีประเด็นอะไรอะไรที่ต้องระวัง ไปดูกันในบทความนี้
ปี 2567 หุ้นไทยเผชิญกับแรงกดดันจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
แม้กระแสความยั่งยืนจะเริ่มได้รับความสนใจจากสังคมไทย แต่ความเชื่อมั่นและมาตรการ ESG ยังไม่ส่งผลอย่างชัดเจนต่อการกระตุ้นตลาด ทำให้ตลาดหุ้นไทยยังคงประสบกับความผันผวน โดย SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียง 1% ก่อนปรับลดลงในช่วงปลายปี เรียกได้ว่าตลาดหุ้นไทยเผชิญกับแรงกดดันจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการไหลของเงินทุน
ในส่วนของหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี (ICT) พลังงานและปิโตรเคมี เกษตร และสินค้าโภคภัณฑ์ ก็ยังเป็นหุ้นที่ยังตอบแทนผลการลงทุนได้อยู่ในตลาดไทย สอดคล้องไปกับประเทศในภูมิภาคอื่น ๆ
‘8T’ ส่งผลกระทบตลาดหุ้นไทย และทั่วโลกในปี 2568

ดร. ปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด แบ่งปัจจัยดังกล่าวออกเป็น 4 ปัจจัยที่จะกระทบกับเศรษฐกิจโลก และ 4 ปัจจัยที่จะกระทบกับเศรษฐกิจไทยในปี 2568 นี้ ได้แก่
4T ปัจจัยที่จะกระทบกับเศรษฐกิจโลก
- Transition คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ “Soft Landing” ที่อัตราเงินเฟ้อและดอกเบี้ยเริ่มลดลงด้วยการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลาง และการที่ประเทศต่างๆ ต้องเปลี่ยนมาพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลต้องปรับตัวเข้าสู่พลังงานหมุนเวียนมากขึ้นเพื่อลดปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น
- Trump การค้ากีดกันและการลดการพึ่งพาการค้าจากประเทศคู่แข่ง เช่น ประเทศจีน หรือการลดภาษีในประเทศและส่งเสริมการลงทุนในภาคธุรกิจเพื่อเพิ่มความสามารถแข่งขันของประเทศสหรัฐฯ
- Technology การขับเคลื่อนจากบริษัทชั้นนำ เช่น Tesla และ SpaceX ที่จะส่งผลให้เกิดการลงทุนในเทคโนโลยี AI และโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลมากขึ้นอีก
- Turmoil มาจากความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจ ความตึงเครียดทางการเมือง เช่น สงครามในยูเครน เป็นต้น
4T ปัจจัยที่จะกระทบกับเศรษฐกิจไทย
- Tightened Economy ภาคการผลิตของไทยประสบปัญหาขาดประสิทธิภาพและความสามารถในการแข่งขัน
- Time to Cut ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องลดอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วเพื่อรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจและกระตุ้นการบริโภคของคนในประเทศ
- Tax Reform รัฐบาลมีแผนปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่ เช่น การปรับ VAT และโครงสร้างภาษีเงินได้ เพื่อลดการขาดดุลการคลังและเพิ่มรายได้
- Temperature Rising ความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม เช่น ปัญหาฝุ่น PM 2.5 และการเร่งดำเนินมาตรการรักษาสิ่งแวดล้อมและผลักดันเศรษฐกิจสีเขียวอย่างจริงจังขององค์กรธุรกิจในประเทศ
2568 นโยบายทรัมป์ จะกระทบต่อเศรษฐกิจโลก

ปี 2568 เป็นปีที่นโยบายการเงินทั้งในประเทศและระดับโลกจะเริ่มเข้าสู่ช่วงผ่อนคลาย ในขณะที่ค่าเงินและราคาพลังงานจะมีเสถียรภาพมากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปีถัดไป
สุทธิชัย คุ้มวรชัย หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด คาดการณ์แนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในปี 2568 ที่จะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่สำคัญ ย้ำให้นักลงทุนติดตามอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ (Fed Fund Rate) ว่าจะปรับลดดอกเบี้ยลงสู่ 3.9% ตอนสิ้นปี 2568 หรือไม่? หากปรับตัวลงเท่ากับว่าเป็นการสะท้อนการผ่อนคลายนโยบายการเงินหลังการต่อสู้กับเงินเฟ้อ
ต่อมาคือเฝ้าค่าเงินบาท มีการคาดการณ์ว่าค่าเงินบาทเฉลี่ยจะอยู่ที่ 35.3 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐซึ่งเป็นการปรับตัวที่ดีขึ้น นอกจากนี้ให้ติดตามเรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทยที่หวังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ และสุดท้ายการปรับตัวของอุปสงค์และอุปทานในตลาดพลังงาน เช่น ราคาน้ำมันดิบ อาจมีการปรับราคาน้ำมันเนื่องจากในปี 2568 อาจเกิดภาวะอุปทานล้นตลาดหรือราคาก๊าซธรรมชาติที่จะปรับตัวสูงขึ้นในอนาคต
ด้านวิศกรณ์ คีรีวรรณ, CFA, ผู้อำนวยการ Investment Strategist ฝ่าย Wealth Products & Strategy บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด มองว่า เหตุการณ์ที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด คือ นโยบายเศรษฐกิจและการเมืองของสหรัฐฯ ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก อย่างความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ หรือการตอบสนองของจีนต่อนโยบายการค้าของสหรัฐฯ รวมถึงผลประกอบการตลาดหุ้นไทยที่สะท้อนนโยบายการคลังและการเงินของไทย โดยเฉพาะสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้อย่างชัดเจนคือการปรับเปลี่ยนเชิงนโยบาย “America First” ของทรัมป์ ที่จะสร้างทั้งโอกาสและอุปสรรค์ให้กับหลายประเทศ
ลองนึกภาพตามว่า TRUMP 2.0 นำเสนอนโยบายที่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมทั้งในประเทศจีนและสหรัฐฯ การลดภาษีและการปกป้องผลประโยชน์ให้กับอุตสาหกรรมในประเทศจะทำให้อุตสาหกรรมประเภท กลุ่มพลังงาน, วัสดุ (Materials), และการเงิน (Financials) ได้ผลประโยชน์เพราะมีการการลดภาษีเท่ากับเป็นการลดกฎระเบียบทางการเงินธุรกิจก็คล่องตัวมากขึ้น ดังนั้นการติดตามนโยบายการเงินและเศรษฐกิจในประเทศนั้น ๆ อย่างใกล้ชิดจะช่วยให้นักลงทุนสามารถปรับพอร์ตได้อย่างเหมาะสมมากที่สุด
สิทธิชัย ดวงรัตนฉายา นักกลยุทธ์อาวุโสตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ วิเคราะห์ว่า ตลาดการลงทุนต้องเจอกับความไม่แน่นอนสูง จากปัจจัยเศรษฐกิจโลกและนโยบายการเมือง เสี่ยงการพบกับความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าและเทคโนโลยี แถมเศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มฟื้นตัวช้า เพราะขึ้นอยู่กับมาตรการกระตุ้นจากรัฐบาล การส่งออก และการลงทุนจากต่างประเทศ
คาดการณ์ว่า SET Index จะอยู่ที่ระดับ 1,550 จุด ในปี 2568 อยากให้นักลงทุนเตรียมกลยุทธ์การลงทุนที่ยืดหยุ่นเพื่อรับมือกับความผันผวนสูงเอาไว้ด้วย เพราะในไตรมาสแรกและไตรมาสสองเป็นช่วงที่ตลาดมีแนวโน้มบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ในไตรมาสที่สามและสี่ตลาดจะกลับมาเผชิญความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจอยู่เช่นเดิม
ปี 2568 หุ้นกลุ่มไหนที่รอดบ้าง!
สุทธิชัย แนะนำว่า อุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มจะสร้างกำไรเติบโตสูงกว่าค่าเฉลี่ย ได้แก่อุตสาหกรรมอาหาร (คาดการณ์กำไรเติบโตสูงถึง 322%) กลุ่มขนส่ง (คาดการณ์กำไรเติบโตสูงถึง 132%) กลุ่ม ICT (คาดการณ์กำไรเติบโตสูงถึง 68%) และกลุ่มค้าปลีก (คาดการณ์กำไรเติบโตสูงถึง 18%)
วิศกรณ์ ให้กลยุทธ์สำคัญในการลงทุนอย่าง “Core-Satellite Portfolio” เหมาะสมสำหรับนักลงทุนที่ต้องการความมั่นคงและโอกาสการเติบโตในเวลาเดียวกัน ช่วยกระจายความเสี่ยงและลดความผันผวนในพอร์ตในตลาดและบริบทการลงทุนที่หลากหลาย เคาะให้ซื้อหุ้น 5 Theme ที่น่าลงทุน ได้แก่ TUSFIN-A หุ้นกลุ่มการเงินสหรัฐฯ, UGIS-N ตราสารหนี้โลก, ASP-USSMALL-A หุ้นสหรัฐฯ ขนาดเล็ก, PRINCIPAL VNEQ-A หุ้นเวียดนาม และ BGOLD ทองคำ
อีกทั้งยังแนะนำว่า สินทรัพย์ที่ควรค่าแก่การลงทุนจึงเป็นสินทรัพย์ประเภทตราสารทุนและตราสารทางเลือก อย่างเช่น REITs กองสินทรัพย์ที่ระดมทุนจากผู้ลงทุนเพื่อไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ เพราะมั่นคง
สำหรับนักลงทุนระยะยาวและ BTC คริปโทที่อาจให้ผลตอบแทนสูงในตลาดโลกที่เปิดกว้างมากขึ้นในอนาคต แต่การกระจายพอร์ตและลดความเสี่ยงจะต้องดูภาพรวมตลาดควบคู่ไปด้วยเนื่องจากแต่ละตลาดมีการปรับตัวแตกต่างกันตลาดที่พัฒนาแล้วมีตลาดสหรัฐฯ และยุโรปยังคงเป็นพื้นที่การลงทุนที่มีโอกาสเติบโตอยู่ ในขณะที่ประเทศไทยมีแนวโน้มดีพอใช้ได้จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
สิทธิชัย แนะให้ลงทุนด้วยกลยุทธ์แบบ 4D คือ Defensive : ลงทุนในสินทรัพย์ที่มั่นคง, Domestic : เน้นตลาดในประเทศ, Dividend : หุ้นที่มีการจ่ายปันผลสูง และ Diversify: กระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ โดยเเนะนำหุ้น Offshore เป็นหุ้นหลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศที่น่าลงทุนในแต่ละตลาดปี 2568 ได้แก่
- ตลาดสหรัฐฯ : กลุ่มค้าปลีก (WMT, COST) กลุ่มการเงิน (PYPL, V) กลุ่มยา (PFE, MRK) หุ้นคุณภาพสูง (MSFT, AMZN, HCA, JPM)
- ตลาดยุโรป : กลุ่มพลังงานสะอาด (Iberdrola, Enel, Orsted) กลุ่มเทคโนโลยี (ASML, SAP) หุ้นคุณภาพที่ปรับตัวลงแรง (LVMH, L’Oreal, Nestle)
- ตลาดจีน : กลุ่มพลังงานสะอาด (Sungrow, BYD, Longi) กลุ่มท่องเที่ยว (Trip.com, H-World) กลุ่มสุรา (Moutai) กลุ่ม Semiconductor (SMIC, Hua Hong) กลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน (China Mobile, CNNP)
ส่วนในประเทศไทยแนะนำ 4 ธีม คือ ธีม Value Stock เน้นหุ้นที่มีมูลค่าต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน ปลอดภัย และมีศักยภาพเติบโตต่อเนื่อง เช่น AOT, BBL, CPALL ต่อมาธีม Dividend Stock เน้นหุ้นที่มีปันผลสูง เช่น AP, BCP, LHHOTEL ต่อมาธีม Laggard Stock เน้นหุ้นที่ราคาปรับตัวช้ากว่าตลาดแต่มีโอกาสฟื้นตัว เช่น BCH, GPSC, HMPRO สุดท้ายธีม Mid-Small Cap Growth เน้นหุ้นที่มีศักยภาพการเติบโตสูง เช่น AMATA, AU, INSET เป็นต้น
การลงทุนในยุคที่ไม่แน่นอนต้องอาศัยการวิเคราะห์ที่รอบคอบและการจัดพอร์ตอย่างสมดุล การกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่เหมาะสม พร้อมปรับตัวให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลง โดยเน้นสินทรัพย์ที่มีพื้นฐานดีและมีโอกาสเติบโตในระยะยาวจะยิ่งช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนที่เกิดขึ้น และสร้างโอกาสในการเติบโตของมูลค่าพอร์ตอย่างต่อเนื่อง
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
กลุ่ม SAMART เล็งลุยธุรกิจใหม่ “พลังงานสะอาด-สิ่งแวดล้อม” รับเทรนด์ความยั่งยืน
GHG Report บทบาทสำคัญในการก้าวสู่ธุรกิจที่โปร่งใสและยั่งยืน ในยุค ESG-Driven Business