Share on
×

Share

NIA จับมือพันธมิตร เดินหน้าปั้น SPACE-F ปี 5 ดันไทยแจ้งเกิดฟู้ดเทคสตาร์ตอัพ

สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA ร่วมกับบริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) มหาวิทยาลัยมหิดล และพันธมิตรองค์กรชั้นนำ เสริมโอกาสการลงทุนในอุตสาหกรรมอาหารและฟู้ดเทคสตาร์ตอัพไทยผ่าน โครงการ SPACE-F ปี 5 พร้อมชี้ตลอดระยะเวลา 5 ปี ช่วยปั้นสตาร์ตอัพได้กว่า 80 ราย จาก 18 ประเทศ และสร้างมูลค่าด้านการลงทุนได้กว่า 2,000 ล้านบาท โดยปีนี้มีสตาร์ตอัพที่มีศักยภาพเข้าร่วมโครงการ SPACE-F ทั้งในส่วนโครงการบ่มเพาะ (Incubator Program) และโครงการเร่งการเติบโตทางธุรกิจ (Accelerator Program) เพิ่มอีก 18 ราย ซึ่งมุ่งเป้าด้านความยั่งยืนและอาหารแห่งอนาคต 

ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) เปิดเผยว่า “NIA มุ่งผลักดันนวัตกรรมเพื่อสร้างการเติบโตและเพิ่มมูลค่าในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ที่ผ่านมาได้ผลักดันหนึ่งในอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศคือ “นวัตกรรมอาหาร” ผ่าน SPACE-F ซึ่งเป็นโครงการบ่มเพาะและเร่งการเติบโตทางธุรกิจเทคโนโลยีอาหารระดับสากล พร้อมช่วยผลักดันกลุ่มฟู้ดเทคสตาร์ตอัพทั้งในและต่างประเทศ ให้สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ตลาด และเป็นกำลังสำคัญที่ทำให้อุตสาหกรรมไทยมีความได้เปรียบในด้านการแข่งขันกับทุกบริบทที่เปลี่ยนแปลง”

SPACE-F เป็นแพลตฟอร์มสำหรับบ่มเพาะและเร่งการเติบโตสตาร์ตอัพด้านเทคโนโลยีอาหาร ที่ได้บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนในการสร้างโอกาสเข้าถึงเครือข่าย แหล่งเงินทุน และผู้เชี่ยวชาญที่คอยให้คำปรึกษา เพื่อส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพสตาร์ตอัพด้านเทคโนโลยีอาหารให้สามารถพัฒนาแผนธุรกิจและผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่ตอบโจทย์ตลาด และรองรับกับความท้าทายในปัจจุบันและอนาคตที่ต้องเผชิญได้อย่างมั่นคง พร้อมทั้งสามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดดและนำนวัตกรรมมาพลิกโฉมอุตสาหกรรมอาหารให้มีความเข้มแข็งและยั่งยืน ทั้งระดับประเทศและระดับสากล

จากการดำเนินงานโครงการ SPACE-F ตลอด 5 ปี สามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากทั้งในและต่างประเทศถึง 2,000 ล้านบาท ช่วยส่งเสริมให้สตาร์ตอัพกว่า 80 ราย จากกว่า 18 ประเทศ สามารถพัฒนาธุรกิจและผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความท้าทายในปัจจุบัน

ในปี 2566 ประเทศไทยถือเป็นผู้ส่งออกสินค้าอาหารอันดับที่ 12 ของโลก มีมูลค่าการส่งออก 1,255,622.69 ล้านบาท ปรับตัวดีขึ้น 3 อันดับ จากอันดับที่ 15 ของโลกในปี 2565 โดยอุตสาหกรรมอาหารไทยสามารถตอบโจทย์ความต้องการของตลาดโลกได้ด้วยจุดแข็งหลายประการ เช่น การมีผลิตผลทางการเกษตรที่หลากหลายสามารถนำมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตและแปรรูปอาหารประเภทต่างๆ ได้ตลอดทั้งปี ความสร้างสรรค์ ความพร้อมด้านทักษะนวัตกรรม และทำเลที่ตั้งยังเหมาะสำหรับกับการขนส่ง การกระจายสินค้า รวมถึงการลงทุน

ด้าน ธวัช สุธาสินีนนท์ ผู้อำนวยการกลุ่มด้านนวัตกรรม (Global Innovation Center หรือ GIC) บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ไทยยูเนี่ยนมองเห็นอนาคตของอุตสาหกรรมอาหารที่จะเติบโตด้วยนวัตกรรมและความยั่งยืน โดยมุ่งสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับผู้คนควบคู่ไปกับการดูแลรักษาความอุดมสมบูรณ์ของท้องทะเล เราเชื่อว่าอนาคตของอาหารขึ้นอยู่กับแนวทางการปฏิบัติที่ยั่งยืน เนื่องจากยังมีความต้องการพัฒนาแหล่งโปรตีนใหม่ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยลง การลดขยะอาหาร และการเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ วิสัยทัศน์นี้เป็นสิ่งที่โครงการ SPACE-F ร่วมกันสนับสนุน เพื่อช่วยดึงดูดพันธมิตรระดับโลกให้เข้าร่วมโครงการของเรา และสตาร์ตอัพในโครงการ SPACE-F กำลังใช้เทคโนโลยีและความสามารถในการยกระดับความยั่งยืนของระบบอาหารพร้อมสร้างความก้าวหน้า สตาร์ตอัพที่ร่วมเสนอผลงานในโครงการ SPACE-F รุ่นที่ 5 จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานอาหารที่ยั่งยืนและร่วมมือกันในการพัฒนาในอนาคต” 

รศ. ดร.ยศชนัน วงศสวัสดิ์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและรักษาการผู้อำนวยการสถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (iNT) มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า “ปัจจุบันอุตสาหกรรมอาหารของประเทศไทยมีบทบาทสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมาก สอดคล้องกับเป้าหมายของ Thailand Future Food Initiative” ที่มุ่งพัฒนานวัตกรรมอาหารแห่งอนาคต เพื่อส่งเสริมการสร้างความแข็งแกร่งให้กับประเทศ ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยมหิดลมีความภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการสนับสนุนผู้ประกอบการทางด้านฟู้ดเทคด้วยทรัพยากร เครื่องมือ ผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงคำแนะนำให้กับสตาร์ตอัพ โดย MUI Robotics Co., Ltd. หนึ่งในสตาร์ตอัพที่เข้าร่วมโครงการบ่มเพาะกับ SPACE-F ในปีนี้ มีผู้บริหารสูงสุดที่บริหารสายงานเทคโนโลโลยี หรือ CTO เป็นบุคลากรจากมหาวิทยาลัยมหิดล รวมถึงรุ่นที่ผ่านมาอย่าง Nutricious Co., Ltd. และ Advanced GreenFarm Co., Ltd. ก็มีบุคลากรจากมหาวิทยาลัยมหิดลเช่นกัน ทางมหาวิทยาลัยมหิดลและพันธมิตรมีความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนสตาร์ตอัพด้านฟู้ดเทคอย่างต่อเนื่อง และยินดีต้อนรับสตาร์ตอัพที่มีความสนใจในการพัฒนาโซลูชั่นด้านอาหารให้มาเข้าร่วมโครงการในอนาคต เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนนวัตกรรมที่ยั่งยืน และผลักดันให้โครงการ SPACE-F ก้าวสู่การเป็นโครงการบ่มเพาะด้านอาหารระดับโลกต่อไป”

วิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า กล่าวเพิ่มเติมว่า “ปีนี้เป็นปีแรกที่เนสท์เล่ได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ SPACE-F นับเป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจและเปิดมุมมองใหม่ในการได้สัมผัสวิธีการทำงานที่คล่องตัวของเหล่าสตาร์ตอัพ ซึ่งช่วยให้เกิดการเรียนรู้และปรับตัวอย่างรวดเร็วสำหรับบริษัทขนาดใหญ่อย่างเนสท์เล่ ขณะเดียวกันรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่มีโอกาสสนับสนุน ให้คำปรึกษา แบ่งปันแหล่งข้อมูล รวมถึงพาผู้ประกอบการไปเยี่ยมชมโรงงานของเนสท์เล่ที่นวนคร และศูนย์วิจัยและพัฒนาที่สาธารณรัฐสิงคโปร์ เพื่อช่วยผลักดันให้สตาร์ตอัพเข้าใกล้ความฝันมากยิ่งขึ้น การสนับสนุนจากหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) มหาวิทยาลัยมหิดล ไทยยูเนี่ยน รวมถึงพันธมิตรองค์กรชั้นนำอย่างไทยเบฟ ล็อตเต้ ไฟน์ เคมิคอล  และดีลอยท์ ได้ช่วยเสริมสร้างเครือข่ายอันแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศนี้ เราเชื่อมั่นในพลังของนวัตกรรมและวิสัยทัศน์ของ SPACE-F ที่จะช่วยผลักดันให้สตาร์ตอัพเติบโต ซึ่งเนสท์เล่รู้สึกภูมิใจที่ได้เห็นความก้าวหน้าและความสำเร็จของพวกเขา และยังคงมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนการเดินทางของพวกเขาต่อไป”

สำหรับอีกหนึ่งพันธมิตรสำคัญอย่าง บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) (“ไทยเบฟ”) ได้เข้ามามีบทบาทในการดำเนินงาน Proof of Concept (POC) เพื่อให้ฟู้ดเทคสตาร์ตอัพสามารถทดลองและพัฒนาผลิตภัณฑ์ในสภาพแวดล้อมจริง ช่วยปรับปรุงคุณภาพ เพิ่มความน่าเชื่อถือ และสร้างโอกาสให้แนวคิดเหล่านั้นต่อยอดสู่การพัฒนาที่ตอบโจทย์ความต้องการในตลาดได้อย่างแท้จริง นอกจากนี้ ไทยเบฟยังมุ่งเน้นการส่งเสริมความยั่งยืนในระบบนิเวศธุรกิจผ่านหลากหลายโครงการ เช่น โครงการด้านพลังงานสะอาด เครือข่ายธุรกิจห่วงโซ่อุปทานแห่งประเทศไทย (TSCN) และการยกระดับความยั่งยืนของห่วงโซ่อุปทานให้มีความรับผิดชอบ ไทยเบฟนับเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ช่วยให้สตาร์ตอัพสามารถเติบโตในระบบนิเวศธุรกิจที่สมดุล ครอบคลุมทั้งมิติของเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม พร้อมเสริมความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมอาหารและเทคโนโลยีของประเทศไทยในเวทีโลก

18 ทีมในโครงการ SPACE-F รุ่นที่ 5

สตาร์ตอัพ 18 ทีมในโครงการ SPACE-F รุ่นที่ 5 ประกอบไปด้วยฟู้ดเทคสตาร์ตอัพที่มุ่งพัฒนาโซลูชันและผลิตภัณฑ์เพื่อความยั่งยืน โดยโครงการบ่มเพาะสตาร์ตอัพ(Incubator Program) 9 ราย ได้แก่ 

  1. Full Circle Co., Ltd: ผู้พัฒนาการลดใช้บรรจุภัณฑ์เพียงครั้งเดียวแห่งแรกในประเทศไทย 
  2. Another Food: ผลิตภัณฑ์กาแฟจากเซลล์พืชด้วยเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงเซลล์พืช 
  3. Cantrak: ซอฟต์แวร์สำหรับอุตสาหกรรมอาหารและการเกษตร เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการติดตาม ตั้งแต่การเพาะปลูก การเก็บเกี่ยว และการผลิต 
  4. Nanozeree: ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่ประกอบด้วยโปรไบโอติกและพรีไบโอติก ด้วยเทคโนโลยีการห่อหุ้มระดับนาโน (Nano Encapsulation)
  5. Anuvi Food Sciences: ส่วนผสมอาหารจากจุลินทรีย์ที่ได้จากอุตสาหกรรมเอทานอล ด้วยกระบวนการหมักให้เป็นไมโครโปรตีน 
  6. Algrow Biosciences Pte. Ltd.: ส่วนผสมโปรตีนสูงจากสาหร่าย ด้วยนวัตกรรมการสกัดที่สะอาดและมีคุณค่าสูง 
  7. Flavour: ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง ด้วยเทคโนโลยีการหมักเพื่อเปลี่ยนวัตถุดิบให้เป็นรสชาติ และใช้ผลพลอยได้ของอุตสาหกรรมเกษตร 
  8. Beijing BangyaBangya Technology: ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มจากถั่วงอก ที่สามารถป้องกันอาการเมาค้างได้ 
  9. KronoLife Co., Ltd.: อาหารเสริมและเครื่องสำอางต่อต้านริ้วรอย โดยมุ่งเป้ากำจัดเซลล์ชราเพื่อสุขภาพผิวที่ดีขึ้น 

ฟู้ดเทคสตาร์ตอัพ 9 รายที่เข้าร่วมโครงการเร่งการเติบโตทางธุรกิจ (Accelerator Program) ได้แก่

  1. SEATOBAG PTE LTD: ผู้พัฒนาจุลินทรีย์เป็นสารอาหารสำคัญในอาหารสัตว์น้ำ เพื่อช่วยในการย่อยและการดูดซึมของสัตว์ 
  2. N&E Innovations: สารฆ่าเชื้อจุลินทรีย์และแผ่นฟิล์มเคลือบอาหารจากเปลือกเม็ดมะม่วงหิมพานต์ 
  3. Biodefense led by BioShield: สารเคลือบอาหารที่ช่วยยืดอายุการเก็บรักษาให้ยาวนานขึ้น ลดการสูญเสียของผลผลิตทางการเกษตร ใช้ได้กับทั้งผักผลไม้และเนื้อสัตว์ 
  4. UniFAHS: เทคโนโลยีเฟจสำหรับควบคุมแบคทีเรียก่อโรคในกระบวนการผลิตปศุสัตว์และประมงด้วยกลไกทางธรรมชาติ ช่วยลดการใช้ยาปฏิชีวนะ 
  5. Prefer Pte Ltd: สารทดแทนที่มีกลิ่นและรสชาติคล้ายกาแฟด้วยเทคโนโลยีการหมักขนมปัง ถั่วเหลือง และข้าวบาร์เลย์ 
  6. Fattastic Technologies Pte Ltd: เทคโนโลยีแพลตฟอร์มสำหรับผลิตไขมันจากพืช ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนคุณสมบัติเหมาะสมไปตามการใช้งานของผลิตภัณฑ์หลากหลายรูปแบบในอุตสาหกรรมอาหาร 
  7. MUI Robotics Co., Ltd.: เทคโนโลยีสัมผัสประดิษฐ์ (Artificial Sense) ด้านกลิ่นและรสชาติ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ยกระดับคุณภาพและมาตรฐานกระบวนการผลิตในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม 
  8. Aquivio: เครื่องจ่ายน้ำอัตโนมัติและบริการน้ำดื่มฟังก์ชันที่ให้ผู้บริโภคสามารถเลือกและปรับแต่งคุณสมบัติได้ตามความชอบและความต้องการของผู้บริโภคแต่ละคน 
  9. Ingrediome Inc.: กระบวนการผลิตโปรตีนสัตว์ด้วยสาหร่าย ทำให้ได้โปรตีนที่มีความใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์จริง กระบวนการผลิตมีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

Salesforce เผย Agent คืออนาคตของ AI

SkillLane แชร์ประสบการณ์ เส้นทางสู่ IPO

สตาร์ตอัพยุคใหม่ ใช้ Web 3.0 และ AI ลดต้นทุน เพิ่มโอกาส

×

Share

ผู้เขียน