“หาเงินมันเหนื่อย เชื่อเถอะ ไม่มีเงินเหนื่อยกว่า” รู้สึกอย่างไรกับคำพูดนี้ เห็นด้วยหรือ….
ไม่ว่าจะยุคสมัยใหม่ เงินทองยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่สานฝันชีวิตของตน สร้างความสุขความสมบูรณ์ในการดำรงชีวิต เราถูกสอนว่า งานกับเงินเป็นของคู่กัน คำพูดเก่า ๆ ของผู้นำในอดีตจะใช้สโลแกนว่า งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข ให้ตระหนักว่าการทำงานหนักเป็นหนทางในการหาเงิน
แต่…บางคนบอกว่ายุคนี้หาเงินง่าย อาจจะแตกต่างจากคนในยุคก่อน เด็กยุคใหม่ มีการเรียนรู้และเครื่องมือสนับสนุนให้การหาเงินง่ายขึ้น จึงไม่ค่อยอินกับสำนวนคนสมัยหนึ่งที่พูดถึงความยากลำบากในการหาเงิน ว่าไม่ต่างอะไรกับการ “อาบเหงื่อต่างน้ำ”
คนรุ่นใหม่ มีอาชีพใหม่เกิดขึ้นมากมาย มีเครื่องมือที่สะดวกสบายขึ้น ไม่จำกัดเรื่องสถานที่หรือเวลาในการหาเงิน ขอแต่ให้มีความคิดดี ๆ มีวิธีการใหม่ ๆ ก็สามารถสร้างรายได้ที่ต้องการได้ คนรุ่นนี้ใช้เวลาไม่นานก็สามารถสร้างเนื้อสร้างตัวได้ บางคนอายุอยู่ในช่วง 20-30 ปี ก็มีรายได้มหาศาล มากกว่าคนรุ่นเก่าที่ใช้เวลาค่อนชีวิต ก็ยังไม่มากเท่า แต่..ปัญหาของคนรุ่นนี้ อาจจะแตกต่างจากคนรุ่นอื่น คือ หาง่ายใช้ง่ายเกินไป
แนวคิดจึงแตกต่างกัน ในขณะที่คนรุ่นหนึ่งเงินมันหายาก ต้องสะสมค่อยเป็นค่อยไป ประเภทมีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท กว่าจะงอกงามใช้เวลานับสิบ ๆ ปี ขณะที่การหาเงินในคนอีกกลุ่มหนึ่ง ข้ามสลึงไปเป็นบาทเลย แต่ที่ยากคือ จะใช้สอยอย่างไรเพื่อให้เหลือ คนยุคใหม่จึงเติบโตมากับความรู้สึกที่ อยากซื้ออะไรก็ซื้อ อยากกินอะไรก็กิน คนรุ่นนี้จึงไม่ต้องสำรองหรือเผื่อ ซึ่งอาจจะแตกต่างจากคนรุ่นก่อน ที่กังวลอนาคตที่มาไม่ถึง จึงพยายามเก็บสะสมด้วยความระมัดระวัง
การใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยของคนรุ่นใหม่ ทำให้เกิดการเลียนแบบ แพร่หลายไปยังคนรุ่นเดียวกันที่อาจจะหาได้ไม่มากเท่า ทำให้เกิดการเป็นหนี้เป็นสิน หรือการใช้วิถีชีวิตที่ผิด เช่นเริ่มต้นด้วยการหลอกลวง การพนัน จนสร้างปัญหากันได้มากมายในวันนี้
หลังฟ้าที่มืดมิดก็พลันเริ่มมีแสงสว่าง เมื่อมีการพูดกันในหมู่คนรุ่นใหม่ให้ตระหนักถึงการใช้จ่ายที่มากเกินไป และเริ่มมีแนวคิดเกี่ยวกับการมีกฎเกณฑ์ในการใช้จ่ายกับแนวคิด NO Buy 2025 ซึ่งกำลังเริ่มเป็นเทรนด์ใหม่ตามโซเชียลแพลตฟอร์มต่าง ๆ เปิดโอกาสให้มีการสร้างกฎเกณฑ์ในการใช้จ่ายของตนเอง เช่น งดซื้อเครื่องสำอาง เสื้อผ้า และของตกแต่งบ้าน ขณะเดียวกันให้ความสำคัญกับการจ่ายเงินสำหรับสิ่งที่จำเป็น เช่นค่ารักษาพยาบาล ฯลฯ
โดยเป็นชาเลนจ์ที่ท้าทายตัวเอง งดซื้อของที่ไม่จำเป็น เป็นเวลา 1 เดือน เช่น งดซื้อเสื้อผ้าใหม่ เครื่องสำอาง ของเล่นของสะสม หรือแม้กระทั่งการไปทานอาหารนอกบ้าน เป็นต้น ซึ่งเป็นชาเลนจ์ที่จะช่วยให้ผู้คนตระหนักถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายของตัวเอง ลดการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ประหยัดเงินเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับชีวิต เป็นการสร้างความสมดุลย์ (หาได้มาก เก็บได้มากก็มีอนาคตที่แข็งแรงได้)
ในหลักการวางแผนการเงิน เรามีหลักคิดว่า เมื่อเรากำหนดเป้าหมาย (มีเงินเพียงพอใช้ในชีวิตบั้นปลาย) แล้วไม่สามารถทำได้ตามนั้น มันก็ต้อง Makeover ซึ่งมีขั้นตอนได้แก่
- หาทางเพิ่มรายได้
- เปลี่ยนเป้าหมาย(ลดเป้าหมายลง)
- ลดรายจ่าย
- หาช่องทางในการเพิ่มมูลค่าเงินออม
ในความเห็นของคนแก่อย่างผม เชื่อว่าคนรุ่นใหม่ สนใจข้อสุดท้าย เพราะหากเพิ่มมูลค่าเงินที่ออมสะสมได้ ก็เท่ากับการมีความมั่นคง ไม่ต้องทำงานตลอดเวลา เรียกว่า มี Passive income
แต่ช้าก่อน..คนรุ่นใหม่อย่าเพิ่งติดกับดักกับคำว่า Passive income เพราะพฤติกรรมนี้จะเกิดขึ้นได้ ต้องมีองค์ประกอบครบทั้ง 3 ด้าน การจะให้เงินทำงานแทนเรา เป็นรายได้เพิ่มที่ไม่ต้องออกแรงนั้น คุณต้องมีเงินสะสมที่เพียงพอ มีระยะเวลาที่จะสะสมให้ passive income งอกงาม และประการสุดท้ายต้องเลือกแหล่งที่พักของเงินออมที่ให้ผลผลิตดี
เพื่อความเข้าใจมากขึ้น ลองดูข้อเขียนของคุณกรณ์ จาติกวณิช ได้เคยอธิบายเรื่อง Passive Income คืออะไร? มีจริงหรือไม่? ต้องทำอย่างไร? ดังนี้
วันก่อนคนรุ่นลูกถามผม ต้องเริ่มอย่างไรถึงจะมี Passive income? Passive income หมายถึงการมีรายได้โดยไม่ต้องออกแรง คำตอบของผมคือ อยู่ดี ๆ จะกระโดดไปที่ passive income เป็นไปไม่ได้ ทางลัดไม่มี
ใครก็ตามที่คิดจะมี passive income สิ่งแรกที่ต้องทำคือตั้งใจทำงานเพื่อสร้างทุนทรัพย์ ถึงจะมีโอกาสมี passive income ในอนาคตได้ และทุนทรัพย์ต้องใหญ่มาก คุณถึงจะมีผลตอบแทนจากการลงทุนที่เพียงพอในการใช้ชีวิต
หากทุนทรัพย์ไม่ใหญ่พอ คุณก็ต้องเพิ่มความเสี่ยงในการลงทุน เพื่อผลตอบแทนที่อาจจะสูงขึ้น และการประเมินความเสี่ยงเป็นเรื่องที่ต้องตั้งใจทำจริงจัง ซึ่งหมายความว่ามันไม่ passive จริง
และยิ่งเสี่ยงก็ยิ่งมีโอกาสพลาดพลั้ง
ยกตัวอย่าง สมมติคุณต้องการมีรายได้เดือนละ 1 แสนบาท Passive income ที่แท้จริงคือเอาเงินไปฝากธนาคาร ความเสี่ยงแทบไม่มี ความรู้ก็ไม่ต้องมีด้วย ไม่ต้องทำอะไรเลย แต่วันนี้ดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ที่แค่ 1% หมายความว่าคุณต้องฝากเงิน 120 ล้านบาท ถึงจะมีดอกเบี้ยปีละ 1.2 ล้าน หรือเดือนละ 100,000 บาท
สมมุติว่าทุนทรัพย์คุณมี 10 ล้านบาท และคุณต้องใช้เงินปีละ 1.2 ล้าน นั่นหมายความว่าคุณต้องมีผลตอบแทน 12% – ทุก ๆ ปี อันนี้ยากขึ้น แต่ยังเป็นไปได้ ซึ่งไม่มีใครให้คุณฟรีๆแน่นอน คุณต้องแสวงหาโอกาส ต้องศึกษา ต้องทำการบ้าน และคอยติดตามประเมินสถานการณ์ – คือต้อง active ไม่ใช่ passive แน่นอน
ผมกำลังพยายามบอกว่า Passive Income จริง ๆ ผมว่าไม่มีหรอกครับ เว้นแต่คุณรวยอยู่แล้วเป็นทุนเดิม ที่ทำได้คือการตั้งเป้าว่าเราทำงานหนัก สะสมทุนสัก 35-40 ปี เพื่อเราอยู่ได้ด้วย Passive Income ในวัยเกษียณ ระหว่างทางหากฟลุ๊คได้เงินก่อนมาค่อยว่ากัน
ที่เอามาคัดลอกไว้ตรงนี้ ไม่ได้มาให้ถอดใจกับความเชื่อเรื่อง Passive income แต่อยากให้เดินสายกลาง ไม่เชื่อจนงมงายและไม่คัดค้านจนกลัวไปหมด ทุกอย่างมีข้อดีข้อเสีย มีจุดอ่อนในความแข็ง ทำทุกอย่างด้วยความระมัดระวังและเข้าใจ
บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน
เวลา/โอกาสไม่อาจย้อนกลับไป แต่เริ่มต้นใหม่ได้เสมอ
เงินเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งของชีวิต แต่ระวัง..อย่าปล่อยให้เงินทำลายชีวิต