Share on
×

Share

เอสซีจีชี้ผลบวกหลังทรัมป์หวนคืนทำเนียบขาว ราคาน้ำมันลดส่งผลต้นทุนผลิตต่ำลง-หาช่องลุยสหรัฐแทนจีน

เอสซีจี เผยผลประกอบการปี 2567 บริหารกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน (EBITDA) 53,946 ล้านบาท จากการบริหารต้นทุนเข้มข้น ผลักดันนวัตกรรมมูลค่าเพิ่มสูง ลดเงินทุนหมุนเวียนต่อเนื่อง เน้นลงทุนโครงการผลตอบแทนสูงและเร็ว หนี้ลดลงจากไตรมาสที่แล้ว มุ่งดูแลผู้ถือหุ้นทุกคนต่อเนื่อง เคาะปันผล 5.00 บาทต่อหุ้น คิดเป็น 95% ของกำไร

มั่นใจสุขภาพองค์กรแข็งแรง คว้าโอกาสเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียนฟื้นตัว ส่วนไทย ไร้ปัญหาการเบิกจ่ายของรัฐบาล คาดรายได้ปี 2568 โตต่อ 3 – 4% กระแสเงินสดกว่า 54,000 ล้านบาท เงินลงทุน 30,000 – 35,000 ล้านบาท

ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี ขยายความว่า ปี 2567 เอสซีจีสามารถบริหารกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน 53,946 ล้านบาท อยู่ในระดับเดียวกับปี 2566 เป็นผลจากการปรับตัวสร้างสุขภาพองค์กรให้แข็งแรง ด้วยการรักษากระแสเงินสด หยุดธุรกิจไม่ทำกำไร ควบคุมเงินลงทุน เน้นเฉพาะโครงการที่มีผลตอบแทนสูงและเร็ว ส่งผลให้หนี้สินสุทธิลดลง 16,777 ล้านบาทจากไตรมาสก่อน 

เอสซีจี แต่งตั้ง ‘ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม’ นั่งเก้าอี้ กรรมการผู้จัดการใหญ่ มีผล 1 ม.ค. 67

ทั้งนี้เป็นผลจากการบริหารสินค้าคงเหลือให้ลดน้อยลงและเก็บหนี้จากการขายเร็วขึ้น ทำให้สถานะทางการเงินยังมั่นคง มีกระแสเงินสดคงเหลือ 53,331 ล้านบาท

คว้าโอกาสเศรษฐกิจภูมิภาคฟื้นตัว

ปีนี้ การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐของไทยคาดว่าจะเป็นไปอย่างต่อเนื่อง มีแรงสนับสนุนจากกำลังซื้อในประเทศ การกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ โครงการก่อสร้างเพิ่ม ขณะที่อาเซียน โดยเฉพาะเศรษฐกิจอินโดนีเซีย เวียดนาม ที่เอสซีจีเข้าไปลงทุนก่อนหน้านี้ GDP มีแนวโน้มเติบโตกว่าค่าเฉลี่ยโลก ที่ 6 และ 8% ตามลำดับ

ดังนั้น จึงเป็นปัจจัยบวกต่อกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เช่น เอสซีจี ดิสทริบิวชั่นแอนด์รีเทล ได้เร่งขยายโมเดิร์นเทรดวัสดุก่อสร้างและสินค้าเพื่อที่อยู่อาศัย ‘Mitra 10’ ที่อินโดนีเซีย ตามเป้าหมาย 56 สาขา ในปี 2567 รับลูกค้ารวมมากกว่า 1 ล้านคนต่อเดือน และมุ่งสู่ 100 สาขาภายในปี 2573

ทรัมป์หวนคืน-น้ำมันราคาลงต้นทุนผลิตลด

ด้านเอสซีจี เคมิคอลส์ (เอสซีจีซี) มองปี 2568 วัฏจักรปิโตรเคมีเริ่มทรงตัว และผลพวงจากนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ที่กลับเข้าดำรงตำแหน่งอีกครั้ง ส่งผลให้ราคาน้ำมันมีแนวโน้มลดลงจะทำให้ต้นทุนของปิโตรเคมีคอลลดลง ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อธุรกิจของเอสซีจี โดยบริษัทยังคงเดินหน้าเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการกระแสเงินสดและต้นทุน

ล่าสุด เอสซีจีซี เร่งเดินหน้าโครงการ LSP ด้วยการเพิ่มวัตถุดิบก๊าซอีเทนที่ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันระยะยาว โดยได้ทำสัญญาจัดหาวัตถุดิบก๊าซอีเทนในระยะยาวเป็นผลสำเร็จ ประมาณ 1 ล้านตันต่อปี เป็นระยะเวลา 15 ปี โดยใช้วงเงิน 500 ล้านดอลลาร์ จากงบเดิมตั้งไว้ 700 ล้านดอลลาร์ ลดไป 200 ล้านดอลลาร์ ทำให้การคืนทุนเร็วขึ้นจาก 3-4 ปี เป็น 2 ปีเศษ

ทั้งยังเช่าเหมาเรือขนส่งก๊าซอีเทนระยะยาว 3 ลำ และบริษัทจะเร่งจัดหาเรือส่วนที่เหลืออีก 2 ลำ พร้อมทั้งสร้างถังเก็บและปรับปรุงโรงงานให้พร้อมรับก๊าซอีเทนให้ได้ภายในปี 2570

รุกคืบตลาดสหรัฐ

ส่วนนโยบายกีดกันสินค้าจากจีน ก็เป็นโอกาสอันดีของเอสซีจีที่ต้องหาทางเข้าขายในตลาดแห่งนี้แทน ซึ่งสินค้าที่จะส่งเข้าไปต้องผ่านการตรวจสอบคุณภาพ และเกณฑ์กำหนดเพื่อให้เข้าสู่ตลาดที่มีโอกาสได้ โดยที่ผ่านมา บริษัทได้ส่งปูนคาร์บอนต่ำเข้าตลาดสหรัฐได้แล้ว และยังมีคำสั่งซื้อต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ ได้พัฒนาคุณภาพปูนคาร์บอนต่ำ เวอร์ชั่น 2 

การรุกขยายตลาดส่งออกใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ ทั้งอเมริกาเหนือ และออสเตรเลีย คาดว่าปีนี้จะมียอดส่งออกได้อีกประมาณ 1 ล้านตัน

เอสซีจีเปลี่ยนกลยุทธ์ ปรับทัพใหม่ เดินหน้าแผนรุก เสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจ

ทางเลือกพลังงานสะอาด

ขณะที่ เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง ยังคงมุ่งมั่นดันกลุ่มสินค้าสมาร์ทโซลูชัน ได้แก่ สินค้า Air Quality และ Solar จากแบรนด์ ONNEX by SCG Smart Living ตอบโจทย์การอยู่อาศัยทั้งเรื่องคุณภาพอากาศในบ้าน และประหยัดค่าใช้จ่ายจากการใช้พลังงานสะอาด พร้อมออกสินค้ากลุ่มราคาย่อมเยาต่อเนื่อง เพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภคที่มีงบประมาณจำกัด ครบทั้งกลุ่มหลังคา บอร์ด ไม้สังเคราะห์ และผนังพื้นตกแต่งภายนอกบ้าน 

รวมทั้ง เอสซีจี คลีนเนอร์ยี่ ปี 2567 มีโครงการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ รวม 548 เมกะวัตต์ เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 21.5% ตั้งเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตพลังไฟฟ้าสะอาดรวมประมาณ 3,500 เมกะวัตต์ ในปี 2573

ปี 2567 รายได้การขายเพิ่ม

ผลประกอบการปี 2567 มีรายได้จากการขาย 511,172 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากปีก่อน จากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นของเอสซีจีซี และเอสซีจีพี กำไรสำหรับปี 6,342 ล้านบาท ลดลง 76% จากปีก่อน จากผลประกอบการของ LSP และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมลดลง 

ทั้งนี้ หากไม่รวมรายการพิเศษจากขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ของโรงงานซีเมนต์ในภูมิภาคและกำไรจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุน เมื่อปี 2566 กำไรสำหรับปี ลดลง 52% จากปีก่อน ขณะที่ ไตรมาส 4 ปี 2567 รายได้จากการขาย 130,512 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาสก่อน จากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นของเอสซีจีซี ขาดทุนสำหรับงวด 512 ล้านบาท เมื่อเทียบกับกำไร 721 ล้านบาทในไตรมาสก่อน จากผลประกอบการและการรับรู้ค่าเสื่อมราคาทั้งหมดของ LSP ซึ่งไตรมาสก่อน มีรายการเงินสดที่ได้จากสัญญาแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย หรือ Interest Rate Swap (IRS) มูลค่า 2,183 ล้านบาท จากเอสซีจีซี

ปี 2568 ปรับตัวต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม ปี 2568 เอสซีจี ยังคงปรับตัวต่อเนื่อง และขยายสู่ตลาดใหม่ๆ คาดการณ์เติบโต 3-4% ตามจีดีพี 

นอกจากนี้ ยังคงบริหารกระแสเงินสดอย่างแข็งแกร่ง และยังคงกระแสเงินสดระดับ 54,000 ล้านบาท วงเงินลงทุนระดับ 30,000 – 35,000 ล้านบาท พร้อมดูแลผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

“หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่” CEO คนใหม่โออาร์ ผลักดันไทยสู่ Oil Hub แห่งภูมิภาค

ทำความรู้จัก ‘EOS Orbit’ ผู้นำด้านเทคโนโลยีดาวเทียม CubeSat ไทย

×

Share