Share on
×

Share

ทำความรู้จัก DeFi เงินดิจิทัลไร้ตัวกลาง และ RWA สินทรัพย์จริงแปลงเป็นโทเคน

เปิดโลกการเงินผ่านเวที Block Mountain 2025 กับสองแนวคิดสำคัญ DeFi ระบบการเงินดิจิทัลไร้ตัวกลาง และ RWA การแปลงสินทรัพย์จริงเป็นโทเคนเพื่อให้ง่ายต่อการซื้อขายเพิ่มโอกาสในการลงทุนและลดข้อจำกัดทางการเงินแบบเดิม

ที่เวทีเสวนาภายใต้ หัวข้อ “Bridging Traditional Finance with DeFi: The Next Step in Financial Innovation” ได้รวมเชี่ยวชาญในวงการมาร่วมแบ่งปันแนวคิดเกี่ยวกับ การผสานระบบการเงินแบบดั้งเดิม DeFi รวมถึงบทบาทของเทคโนโลยีบล็อกเชนในการขับเคลื่อนนวัตกรรมทางการเงินโดย กานต์นิธิ ทองธนากุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุน บริษัท เมอร์เคิล แคปปิตอล จำกัด ผู้ก่อตั้งเพจ Kim Defi Daddy และ Bitcoin Addict Thailand สัญชัย ปอปลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คริปโตมายด์ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ฤทธิ์ เบญจฤทธิ์ Co-founder Bitcoin Addict Thailand

ถัดมาในหัวข้อ “The Next Big Thing: Real – World Asset Tokenization (RWA)” ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับ ศักยภาพของ RWA ในการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการลงทุนในอนาคตโดย ณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์ ผู้ร่วมก่อตั้ง ซิกซ์ เนทเวิร์ค จำกัด วัชระ เอมวัฒน์ ผู้ร่วมก่อตั้ง ซิกซ์ เนทเวิร์ค จำกัด อนัน โซนี่ Co CEO PLN ผศ.ดร.อุดมศักดิ์ รักวงษ์วาน เจ้าของเพจ ติดเล่า เรื่องลงทุน และ Co founder FWX

Bridging Traditional Finance with DeFi: The Next Step in Financial Innovation

ประเด็นแรก ความแตกต่างระหว่างการเงินแบบดั้งเดิม (Traditional Finance) และการเงินแบบกระจายศูนย์ DeFi (Decentralized Finance)กานต์นิธิ ทองธนากุล อธิบายถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในระบบการเงินแบบดั้งเดิม (Traditional Finance) ว่าการเข้าถึงการลงทุนค่อนข้างยาก เนื่องจากมีข้อจำกัดด้านกฎระเบียบ รวมถึงกระบวนการที่ซับซ้อนและใช้เวลานานในการดำเนินการ ยกตัวอย่างเช่น การลงทุนในหุ้นต้องผ่านหลายขั้นตอน ซึ่งเป็นอุปสรรคสำหรับหลายคน ดังนั้น DeFi (Decentralized Finance) จึงเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้ โดยการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนและ Smart Contract ทำให้การเข้าถึงการลงทุนเป็นเรื่องง่ายขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น ซึ่งในระบบการเงินแบบดั้งเดิมมักจะมีค่าใช้จ่ายแฝงต่าง ๆ เช่น ค่าเซิร์ฟเวอร์ ค่าเช่าสำนักงาน ค่าน้ำค่าไฟ และค่าจ้างพนักงานจำนวนมาก ดังนั้น DeFi ใช้ระบบคอมพิวเตอร์และ Smart Contract ในการดำเนินการแทน ทำให้ลดต้นทุนเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ข้อดีอีกประการของ DeFi คือความโปร่งใส ซึ่งระบบการเงินแบบดั้งเดิม ข้อมูลธุรกรรมต่าง ๆ อาจไม่สามารถตรวจสอบได้อย่างชัดเจน หรืออาจถูกแก้ไขหรือปลอมแปลงได้ แต่เมื่อข้อมูลเหล่านี้ถูกรันอยู่บนบล็อกเชน การเปลี่ยนแปลงข้อมูลจะทำได้ยากมาก ซึ่งช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับระบบการเงินได้มากยิ่งขึ้น ทั้งหมดนี้ส่งผลให้ DeFi กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยลดต้นทุน เพิ่มความโปร่งใส และส่งเสริมการเข้าถึงโอกาสในการลงทุนได้อย่างกว้างขวางขึ้น

ทิศทางในอนาคตของ DeFi จะเป็นอย่างไร

สัญชัย ปอปลี

สัญชัย มองว่า “ถ้าเราย้อนกลับไปดูประวัติของ DeFi จริง ๆ แล้วมันเพิ่งเริ่มต้นไม่นานนัก ประมาณช่วงปี 2000 โดยแพลตฟอร์มอย่าง Aave ถือเป็นหนึ่งในจุดเริ่มต้นสำคัญ ซึ่งได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางตั้งแต่ยุคแรก ๆ ในช่วงนั้นมีแพลตฟอร์มใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมายที่เปิดโอกาสให้ผู้คนได้วาง Liquidity Pool (LP) และสร้างตัวตนทางการเงินแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Identity)”

นวัตกรรมในวงการ DeFi (Decentralized Finance) เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีการพัฒนาแพลตฟอร์มและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงการลงทุน เมื่อมองไปสู่อนาคต DeFi กำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่สาม โดยมีการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามามีบทบาทสำคัญ ซึ่งช่วยให้กระบวนการลงทุนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น หากผู้ใช้งานต้องการแปลง Ethereum ของตนเป็นสินทรัพย์อื่น ๆ AI จะทำหน้าที่ค้นหาแพลตฟอร์มที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด ค่าธรรมเนียมต่ำที่สุด และมีความปลอดภัยสูงสุดโดยอัตโนมัติ โดยไม่จำเป็นต้องเรียนรู้หรือค้นหาด้วยตนเอง

การพิจารณาระบบการเงินแบบดั้งเดิม (Traditional Finance) สามารถอยู่ร่วมกับ DeFi ได้หรือไม่ในอนาคต

กานต์นิธิ “ผมมองว่าทั้งสองระบบ Traditional Finance และ DeFi สามารถพัฒนาไปได้ทั้งสองทิศทาง” ทิศทางแรกคือสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างส่งเสริมกัน เราจะเห็นตัวอย่างชัดเจนจากการที่สถาบันการเงินแบบดั้งเดิมเริ่มนำเทคโนโลยีของ DeFi มาใช้งานจริง เช่น การใช้ Stablecoin ในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ หรือแม้แต่ธนาคารกลางของบางประเทศที่นำ Bitcoin มาใช้ในการโอนเงินระหว่างธนาคาร ซึ่งทั้งหมดนี้อาศัยเทคโนโลยี Blockchain เป็นแกนหลักในการสร้างความโปร่งใสและความปลอดภัย นอกจากนี้ยังมีกรณีของโทเคน (Token) ที่ได้รับการสนับสนุนจากสินทรัพย์จริง เช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งสามารถนำไปใช้งานในแพลตฟอร์ม DeFi ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงโครงการในประเทศไทยที่นำอสังหาริมทรัพย์ เช่น คอนโดมิเนียม มาทำเป็นโทเคนและขายผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล นี่เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าทั้งสองโลกสามารถผสานกันได้อย่างลงตัว

อย่างไรก็ตาม อีกมุมหนึ่ง ต่างมีความเป็นไปได้ที่ DeFi และ Traditional Finance จะเดินไปในทิศทางที่แยกจากกันโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้งานบางกลุ่มที่ไม่ต้องการความซับซ้อนทางกฎระเบียบที่เข้มงวดของระบบการเงินแบบดั้งเดิม พวกเขาอาจเลือกใช้ DeFi ที่มีความยืดหยุ่นมากกว่าและปรับตัวได้รวดเร็วกว่า ตัวอย่างเช่น การจัดตั้งองค์กรแบบกระจายอำนาจ (DAO – Decentralized Autonomous Organization) ซึ่งดำเนินงานด้วยการบริหารจัดการผ่านโทเคนของตนเอง รวมถึงการใช้ Smart Contract ในการควบคุมกระบวนการต่าง ๆ โดยไม่ต้องพึ่งพาระบบการจัดการแบบดั้งเดิม นี่คืออีกหนึ่งแนวทางที่แสดงให้เห็นว่า DeFi สามารถยืนอยู่ได้ด้วยตัวเอง

สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการผสานกันหรือแยกกันไป ล้วนขึ้นอยู่กับลักษณะของผู้ใช้งานและความต้องการของแต่ละภาคส่วนในระบบเศรษฐกิจ การตัดสินใจว่าจะเดินไปในทิศทางใดนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญหลายประการ เช่น ความสามารถในการปรับตัวขององค์กร กฎระเบียบที่บังคับใช้ และความต้องการของตลาดในแต่ละช่วงเวลา

สัญชัยเสริมทิ้งท้าย “ผมคิดว่าทั้งสองโลก Traditional Finance และ DeFi มีแนวโน้มที่จะเติบโตควบคู่กันไป” ในอีกมุมหนึ่ง เราจะเห็นว่าผู้คนเริ่มแยกตัวออกไปอยู่ในโลกของ DeFi อย่างชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาได้รับความรู้มากพอเกี่ยวกับการลงทุนในระบบใหม่นี้

ลองนึกง่าย ๆ ว่า เมื่อเราไปฝากเงินกับธนาคาร ผลตอบแทนที่ได้รับมักจะน้อยมาก เช่น ดอกเบี้ยฝากประจำอาจอยู่ที่เพียง 1% หรือต่ำกว่า ขณะที่ในแพลตฟอร์ม DeFi แม้จะเลือกการลงทุนที่ค่อนข้างปลอดภัย (Safe) ก็ยังสามารถให้ผลตอบแทนได้สูงถึง 8% ต่อปี หรือบางแพลตฟอร์มอาจให้มากถึง 10% ด้วยซ้ำ นี่เป็นความแตกต่างที่ชัดเจน ตัวอย่างเช่นเวียดนาม อัตราดอกเบี้ยฝากประจำในธนาคารต่ำกว่า 2% แต่หากนำเงินไปลงทุนในแพลตฟอร์ม DeFi กลับได้ผลตอบแทนสูงถึง 8-10% ต่อปี แม้ในช่วงที่ตลาดซบเซาก็ยังสามารถสร้างผลตอบแทนได้ประมาณ 4-5% นี่แหละคือเหตุผลที่ผู้คนเริ่มหันมาสนใจ DeFi มากขึ้น เชื่อว่าระบบการเงินแบบดั้งเดิมต้องปรับตัวเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานในยุคดิจิทัล หากยังยึดติดกับรูปแบบเดิม ๆ โดยไม่พัฒนา นั่นหมายถึงการสูญเสียฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เพราะโลกของ DeFi ได้เปิดทางเลือกใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าในการจัดสรรผลตอบแทนกลับไปยังผู้ใช้งานโดยตรง

นอกจากนี้ การเคลื่อนไหวของสถาบันการเงินรายใหญ่ เช่น BlackRock ที่เริ่มลงทุนในคริปโทฯ อย่างจริงจัง รวมถึงธนาคารไทยอย่าง AWS และกสิกรไทยที่เริ่มสำรวจโอกาสในตลาดคริปโทฯ มากขึ้น เราจะเห็นว่าธนาคารและโบรกเกอร์ต่าง ๆ เริ่มตั้ง Innovation Arm ของตนเองเพื่อรองรับการเติบโตของ Digital Asset ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเริ่มมองเห็นคุณค่าและโอกาสในการขยายธุรกิจไปยังแพลตฟอร์มออนไลน์ ไม่เพียงแค่อุตสาหกรรมการเงินเท่านั้น เราเริ่มเห็นการขยายตัวของ NFT ในวงการศิลปะ ศิลปินหลายคนหันมาสร้างผลงานในรูปแบบดิจิทัลแทนการขายเฉพาะแบบออฟไลน์

และแน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่จำกัดอยู่แค่การเงินเท่านั้น เราเห็นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในหลากหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์ วิทยาศาสตร์ หรือแม้กระทั่งการวิจัยทางการแพทย์ ผ่านการระดมทุนแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Funding) นี่คือจุดเริ่มต้นของการปรับตัวครั้งใหญ่ในหลากหลายอุตสาหกรรม ที่ไม่เพียงแต่จะเปลี่ยนแปลงวิธีการดำเนินธุรกิจ แต่ยังสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับผู้คนทั่วโลกในการเข้าถึงเทคโนโลยีและบริการที่ไม่เคยมีมาก่อน

The Next Big Thing: Real – World Asset Tokenization (RWA)

ณัฐวุฒิ ให้ความเห็นว่า”ในโลกคริปโทฯ หลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี Real-World Asset Tokenization (RWA) หรือการ Tokenization สินทรัพย์ในโลกจริง กลายเป็นหนึ่งในหัวข้อที่ร้อนแรงในวงการบล็อกเชนรอบนี้”

มุมมองต่อ RWA (Real-World Assets) และการมีประธานาธิบดีคนใหม่ที่สนับสนุนคริปโทฯ อย่างมากจะส่งผลดีอย่างไรต่อการเติบโตของ RWA?

เอมวัฒน์ กล่าวว่า”ผมมองว่าฝั่งอเมริกากำลังเปิดโอกาสทางการลงทุนได้กว้างขึ้นมาก และด้วยความที่รัฐบาลของทรัมป์เน้นการตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ตลาดในรอบนี้น่าจะมีเซอร์ไพรส์เกี่ยวกับการปรับปรุงกฎระเบียบ (Regulation) อย่างแน่นอน แม้กระทั่งการวางโครงสร้างสำหรับการนำสินทรัพย์จาก Asset Class อื่น ๆ เข้ามาแปลงให้อยู่ในรูปแบบ RWA ก็เป็นเรื่องสำคัญ”

อนันมองว่า”สำหรับฝั่งอเมริกา เราจะเห็นตัวอย่างที่ชัดเจน เช่น เหรียญ Ando ซึ่งบริษัทผู้ออกเหรียญนี้ได้ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (U.S. Treasury) จริง ๆ แล้ว RWA มีความหลากหลายมาก แต่ตัวอย่างที่เข้าใจง่ายที่สุดคือเงินสด ในอดีตเราคุ้นเคยกับ Stablecoin อย่าง USDT ที่ถูกออกนอกอเมริกา แต่เมื่อบริษัทในสหรัฐฯ ต้องการออกเหรียญที่อิงกับดอลลาร์ ก็ต้องถือเงินสดฝากในธนาคารหรือซื้อ U.S. Treasury เพื่อสำรองไว้แบบหนึ่งต่อหนึ่ง แล้วจึงออกเหรียญ USDT ในรูปแบบดิจิทัล อเมริกาเองพยายามปรับเปลี่ยนโครงสร้าง เช่น การมีบริษัทเอกชนอย่าง Visa ที่เกี่ยวข้องกับระบบการชำระเงิน และการที่รัฐบาลสนับสนุนคริปโทฯ อย่างชัดเจน ก็ส่งผลให้เกิดความมั่นใจในตลาดมากขึ้น ซึ่งหากรัฐบาลเป็นผู้ควบคุมระบบการเงินโดยตรง อาจทำให้ความน่าเชื่อถือและเสถียรภาพของเงินดิจิทัลลดลง การมี Stablecoin ที่สร้างโดยภาคเอกชนจึงช่วยสร้างความสมดุลและแตกต่างจากสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยรัฐ”

อนันยกตัวอย่างเสริมโครงการจริงที่เกี่ยวข้องกับ RWA ว่า “ส่วนตัวแล้ว เราอินกับเรื่องนี้มาก ผลิตภัณฑ์แรก ๆ ที่เราทำคือการ Tokenization สินทรัพย์จริง เช่น ซื้อเรือยอร์ช 4-5 ลำ และนำมา Tokenization เป็นสินทรัพย์ดิจิทัล ผ่านเหรียญ PLEARN ที่ทำหน้าที่เป็น Governance Token สำหรับการจัดการและการเทรด นอกยังนี้ยังบินไปอังกฤษและสกอตแลนด์ เพื่อซื้อวิสกี้บาร์เรลมูลค่าประมาณ 300,000 ดอลลาร์ นำมาทำโทเคนไนซ์เป็น NFT และขายในตลาดดิจิทัล ซึ่งวิสกี้เหล่านี้สามารถขายได้ราคาสูงถึงขวดละเกือบแสนดอลลาร์” ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า RWA ไม่ได้เป็นเพียงแนวคิด แต่สามารถนำไปปรับใช้กับสินทรัพย์จริงได้อย่างหลากหลาย และเราก็พยายามผลักดันให้วงการนี้เติบโตอย่างต่อเนื่อง

ทุกคนต่างอินกับ RWA กันมาก แต่หากพูดถึงโปรเจกต์หรือสินทรัพย์ประเภทไหนที่อินที่สุดในตอนนี้

อนันตอบว่า “ถ้าเราดูในตอนนี้ สิ่งที่ทำได้รวดเร็วที่สุดคือเรื่องของอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate) ซึ่งเป็นหนึ่งในเซกเตอร์ที่เราเห็นความชัดเจน”

ทั้งนี้ ยังโปรเจกต์ที่เน้นเรื่องการเทรดสินทรัพย์ที่สร้างมูลค่าได้จริง (Real-World Ground Assets) โดยเราต้องการให้ทุกคนสามารถเข้าถึงการลงทุนได้ง่ายขึ้น ไม่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนหลักแสนหรือสองแสนดอลลาร์เหมือนกับกองทุนใหญ่ ๆ อีกต่อไป แต่สามารถลงทุนด้วยเงินจำนวนน้อยได้ และยังได้รับผลตอบแทนในระดับที่เทียบเท่ากับการลงทุนในกองทุนใหญ่ ๆ นี่คือหนึ่งในโปรเจกต์ที่เรากำลังดำเนินการอยู่เพื่อสร้างโอกาสในการลงทุนที่เปิดกว้างและเข้าถึงได้สำหรับทุกคน  

เราได้จัดตั้งกองทุนต่างประเทศขึ้นมา โดยถือครอง Crypto Asset อยู่ภายในกองทุน ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 1,000-2,000 ล้านบาท กองทุนนี้มีศักยภาพสูงในการบริหารจัดการ นำยูนิตในกองทุนมา Tokenization ซึ่งยูนิตเหล่านี้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเนื่องจากต้นทุนการซื้อ Bitcoin ในกองอยู่ที่ประมาณ 30,000 ดอลลาร์ต่อเหรียญเท่านั้น เมื่อเทียบกับมูลค่าในปัจจุบัน ถือว่าทำกำไรได้สูง

นอกจากนี้ หากเปรียบกับอสังหาริมทรัพย์ บางโครงการอาจออกเหรียญที่มีมูลค่าเทียบเท่ากับหนึ่งตารางนิ้วของคอนโด ซึ่งราคาก็จะขึ้นลงตามมูลค่าอสังหาฯ ในตลาด ส่วนยูนิตในกองทุนของก็ทำหน้าที่คล้ายกัน ปัจจุบันแม้จะยังไม่สามารถออกเหรียญในฐานะรัฐบาลได้ แต่เราก็สร้างความน่าเชื่อถือโดยการใช้สินทรัพย์และสัญญาที่มีมูลค่าจริงในการ Tokenization ซึ่งเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน

กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันมีโฟกัสหลักอยู่สองส่วน ส่วนแรกคืออสังหาริมทรัพย์ ซึ่งทำอยู่แล้ว และกำลังจะเปิดตัวโปรเจกต์ใหม่ ๆ ในปีนี้ ส่วนที่สองคือ Creative Economy โดยเฉพาะเรื่องของ Intellectual Property (IP) เช่น ภาพยนตร์หรือซีรีส์ ซึ่งเรากำลังทดลองนำ IP เหล่านี้มา Tokenization เป็น Digital Asset เพื่อให้สามารถนำไปต่อยอดในแอปพลิเคชันต่าง ๆ ได้ หนึ่งในความท้าทายของ RWA คือการสร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจ

ยกตัวอย่างการ Tokenization เรือยอร์ชว่า “สมมติว่าเรือยอร์ชลำหนึ่งราคา 10 ล้านบาท หากนำมาหารเป็น 10 หน่วย ๆ ละ 1 ล้านบาท นักลงทุนสามารถเป็นเจ้าของร่วมได้ การใช้งานก็เหมือนการแชร์ค่าใช้จ่ายในการเช่าเรือ แต่ต่างกันตรงที่คุณยังคงเป็นเจ้าของสินทรัพย์นั้น และสามารถขายสิทธิ์การถือครองของคุณได้ในอนาคต ข้อดีอีกอย่างคือความยืดหยุ่นในการซื้อขาย สมมติว่าผ่านไป 5 ปี คุณต้องการขายสิทธิ์การถือครอง ก็สามารถขายเพียงบางส่วนได้ โดยไม่ต้องขายเรือทั้งลำ ทำให้การลงทุนในสินทรัพย์จริงเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

แนวคิดเกี่ยวกับศักยภาพของ Real-World Asset Tokenization (RWA) ในอนาคต พร้อมแนะแนวทางสำหรับผู้ที่สนใจเข้าสู่วงการนี้

ณัฐวุฒิ ตอบว่า “จริง ๆ แล้ว เห็นภาพชัดเจนว่า RWA กำลังเป็นเทรนด์ระดับโลก” โดยชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างเหรียญมีมที่เน้นความตื่นเต้น กับเหรียญประเภท RWA ที่เน้นคุณค่าในการใช้งานจริง “คนที่ซื้อเหรียญประเภทนี้ ไม่ได้มองแค่เรื่องกำไร แต่ยังให้ความสำคัญกับมูลค่าการใช้งานจริง ซึ่งสะท้อนถึงการถือครองสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงมากกว่าสิ่งสำคัญคือการสร้างความเข้าใจให้กับผู้ถือเหรียญ ว่าการลงทุนใน RWA ได้อะไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็นการถือครองสินทรัพย์จริง การใช้งาน ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการถูกหลอกลวงทางการลงทุน”

การสร้าง Governance Token หรือ Utility Token สำหรับแพลตฟอร์ม ถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญ เพราะแม้ RWA อาจไม่มีความผันผวนสูงเหมือนคริปโทฯ อื่น ๆ แต่เราสามารถสร้างมูลค่าให้กับเหรียญได้ผ่านโครงสร้างค่าธรรมเนียม การสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่สนับสนุนการใช้งานจริง

ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่สนใจเข้าสู่โลกของ RWA ณัฐวุฒิแนะนำว่า “เริ่มต้นจากการพิจารณาว่าคุณมีสินทรัพย์อะไรที่ต้องการ Tokenization หากคุณเป็นเจ้าของธุรกิจ การแบ่งปันสินทรัพย์ที่ไม่มีสภาพคล่องผ่านบล็อกเชน จะช่วยเพิ่มโอกาสในการระดมทุน ส่วนถ้าคุณเป็นนักลงทุนก็สามารถเริ่มจากการศึกษาโปรเจกต์ที่มีอยู่ในตลาด และกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม”

อย่างไรก็ตาม RWA คือศักยภาพใหม่ของบล็อกเชน ที่ไม่ใช่แค่การสร้างเหรียญมีมเพื่อเก็งกำไร แต่เป็นการนำเทคโนโลยีมาสร้างมูลค่าให้กับสินทรัพย์จริง ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจในอนาคต ด้วยการสนับสนุนจากภาครัฐและกฎระเบียบที่เข้าถึงมากขึ้น ปีนี้จะเป็นปีทองของ RWA

การเงินดิจิทัลกำลังเปลี่ยนแปลงโลกการลงทุน ด้วยบทบาทของ DeFi ที่ช่วยลดข้อจำกัดของระบบการเงินแบบดั้งเดิม เพิ่มความโปร่งใส และขยายโอกาสในการเข้าถึงการลงทุนอย่างทั่วถึง ในขณะที่ RWA เปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถแปลงสินทรัพย์จริงให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล ทำให้การถือครองและซื้อขายสินทรัพย์เป็นเรื่องง่ายขึ้น พร้อมสร้างความยืดหยุ่นและความมั่นคงในการลงทุนในยุคดิจิทัล

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

บล็อกเชน x นโยบายภาครัฐ สะพานเชื่อมเทคโนโลยี

บทบาทประเทศไทยกับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ พลังงาน และเทคโนโลยี AI ของโลก

×

Share

ผู้เขียน