ในยุคดิจิทัลที่ผู้คนใช้งานสื่อสังคมออนไลน์กันอย่างแพร่หลายและเต็มไปด้วยเนื้อหาหลากหลายประเภท ความรู้สึกต่าง ๆ บนโลกออนไลน์ได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการดึงดูดความสนใจและสร้างการมีส่วนร่วมจากผู้ชม และแนวทางหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบันคือ “Sadbait” หรือการใช้ความเศร้าเพื่อดึงดูดผู้ชม ซึ่งแม้หลายคนจะบอกว่าไม่ชอบความเศร้า และดูเหมือนจะเป็นอารมณ์ที่ผู้คนหลีกเลี่ยง แต่พฤติกรรมออนไลน์ของพวกเขากลับสวนทางกับคำพูดนี้ เพราะเนื้อหาที่กระตุ้นอารมณ์เศร้าไม่เพียงแต่ดึงดูดความสนใจได้ดี แต่ยังได้รับความนิยมจากทั้งผู้ชมและอัลกอริธึมของแพลตฟอร์มออนไลน์อย่างมาก โดยเฉพาะในโลกของ TikTok, Instagram หรือแม้แต่ Facebook ที่ “sadbait” กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้ผู้สร้างเนื้อหาสามารถได้รับความสนใจในวงกว้างและทำเงินได้ ในบทความนี้จะสำรวจว่า “Sadbait” (หรือ “การใช้ความเศร้าเป็นเหยื่อล่อ”) คืออะไร เหตุใดจึงทำงานได้ดี และเราจะรับมือกับกลยุทธ์นี้ได้อย่างไร
Sadbait คืออะไร?
Sadbait เป็นการใช้ “ความเศร้า” เป็นเครื่องมือในการดึงดูดความสนใจบนสื่อสังคมออนไลน์ โดยสร้างเนื้อหาที่มีอารมณ์เศร้า เสนอเรื่องราวที่เต็มไปด้วยความทุกข์หรือสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะไร้ทางออก เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกเห็นใจและมีปฏิสัมพันธ์กับเนื้อหาดังกล่าว บางครั้งการนำเสนออาจเกี่ยวข้องกับการแสดงอารมณ์เศร้าของผู้สร้างคอนเทนต์เอง หรือการใช้ภาพหรือวิดีโอที่สร้างความสะเทือนใจ
จากรายงานของสำนักข่าว BBC ล่าสุด สื่อออนไลน์มีความโน้มเอียงที่จะนำเสนอและแสดงอารมณ์ที่รุนแรง เช่น ความโกรธ (Ragebait) ซึ่งช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมจากผู้ชม แต่ความเศร้าในเนื้อหานั้นกลับกลายเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่ได้ผลอย่างมาก โดยเฉพาะในรูปแบบของการเผยแพร่เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการสูญเสียหรือการเผชิญกับความยากลำบาก
กลยุทธ์การใช้ “Sadbait” เพื่อดึงดูดผู้ชม
หนึ่งในรูปแบบยอดนิยมที่เกิดขึ้น คือ “Corecore” ซึ่งเป็นการใช้คลิปภาพยนตร์ที่เศร้า หรือข่าวสารจริงที่มีเนื้อหาหดหู่ ผสมผสานกับเพลงเศร้าและเสียงที่สร้างบรรยากาศสะเทือนอารมณ์ ความเศร้านี้กลายเป็นสิ่งที่สามารถดึงดูดผู้ชมได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่นเดียวกับการโพสต์วิดีโอที่ผู้สร้างคอนเทนต์แสดงออกถึงความเศร้า หรือแม้กระทั่งการร้องไห้ในขณะที่พูดถึงปัญหาส่วนตัวของตนเอง โดยวิธีการนี้ได้กลายเป็นที่นิยมจนมีคอร์สสอนวิธีการทำให้ตัวเองร้องไห้เพื่อสร้างความเชื่อมโยงกับผู้ชม
บางครั้งเนื้อหาเหล่านี้ยังสามารถสร้างขึ้นจากเทคโนโลยี AI โดยการสร้างภาพของผู้คนในสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะทุกข์ทรมาน เช่น ภาพของทหารที่ได้รับบาดเจ็บหรือเด็กที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ แม้ภาพเหล่านี้จะเป็นภาพปลอมที่สร้างขึ้นโดย AI แต่ก็ยังสามารถสร้างการมีส่วนร่วมได้มากมายจากผู้ชม
เหตุใด Sadbait จึงได้ผล?
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยตัมเปเร ประเทศฟินแลนด์ (Tampere University) กล่าวว่าความเศร้าเป็นอารมณ์ที่สามารถทำให้ผู้ชมรู้สึกเชื่อมโยงกับเนื้อหาในลักษณะพิเศษ ซึ่งมักจะมีผลกระทบมากกว่าอารมณ์ประเภทอื่น ๆ โดยเฉพาะเมื่อผู้คนแสดงความเศร้าผ่านการร้องไห้แล้วพวกเขาจะเก็บซ่อนไว้ในชีวิตจริง การเผยแพร่ภาพของการร้องไห้จึงทำให้เกิดความรู้สึกว่าผู้ชมได้เข้าถึงสิ่งที่เป็นส่วนตัวและลึกซึ้งในชีวิตของคนอื่น อารมณ์เศร้าบนแพลตฟอร์มออนไลน์ไม่ได้เป็นเพียงแค่สิ่งที่ผู้คนหลีกเลี่ยงหรือไม่ต้องการเท่านั้น แต่กลับกลายเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการเข้าถึงเพื่อหาทางออกหรือการเยียวยาจิตใจในโลกที่มีความกดดันสูง ซึ่งอาจมีองค์ประกอบของการ “การชอบแอบดู” (Voyeurism) เข้ามาร่วมด้วย
ด้านข้อมูลวิจัยจากมหาวิทยาลัยวอชิงตัน (Washington University) เผยว่า ผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียมักไม่ได้สนใจเนื้อหาของวิดีโอเหล่านั้นเท่ากับการหาช่องทางระบายอารมณ์และเชื่อมต่อกับผู้คนที่มีความรู้สึกคล้ายกัน โดยเฉพาะในคอมเมนต์ที่ผู้คนแชร์ประสบการณ์ส่วนตัวของตนเองที่เกี่ยวข้องกับความเจ็บปวดหรือความสูญเสีย ความรู้สึกเหล่านี้ถูกระบายออกในพื้นที่ที่ไม่ค่อยมีใครคาดคิดมาก่อ
นอกจากนี้ยังมีการศึกษาที่พบว่าเนื้อหาที่เศร้าหรือซึมเศร้าได้รับการโปรโมทจากอัลกอริธึมของแพลตฟอร์มอย่าง Instagram หรือ TikTok เนื่องจากผู้คนใช้เวลามากขึ้นในการดูและคอมเมนต์บนเนื้อหาดังกล่าว ซึ่งส่งผลให้เนื้อหานั้นถูกแชร์ออกไปให้กับผู้ใช้คนอื่นๆ ได้มากขึ้น
ผลกระทบของ Sadbait ต่อสังคม
Sadbait มักจะทำให้เกิดการเชื่อมโยงทางอารมณ์ที่ยากจะต้านทาน โดยเฉพาะในโลกที่ความเศร้ามักจะถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง ผู้ใช้โซเชียลมีเดียไม่เพียงแค่ “ถูกหลอก” หรือ “ถูกควบคุม” โดยอัลกอริธึมเท่านั้น แต่หลายคนยังรู้ดีว่าเนื้อหานั้นถูกออกแบบมาเพื่อดึงดูดความสนใจ พวกเขาเข้าใจกลไกของเศรษฐกิจความสนใจ (Attention Economy) และมักจะแสดงความรู้สึกเหล่านี้ทั้งในแง่จริงจังและในแบบเสียดสี
ดังนั้น แม้ว่าผู้สร้างคอนเทนต์จะพยายามทำให้คนร้องไห้เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วม แต่บางครั้งก็สามารถมีปฏิสัมพันธ์ในรูปแบบที่เป็นการเยาะเย้ยเนื้อหานั้น ๆ หรืออาจจะมีการรวบรวมคอนเทนต์นั้นๆ ไปเป็นคอนเทนต์ประเภท “Cringe” ที่ผู้ชมต่างก็เข้าไปแสดงความคิดเห็นทั้งในทางบวกและลบ โดยคำนี้มักใช้เพื่ออธิบายเนื้อหาหรือพฤติกรรมที่มองว่าน่าเขินอาย อึดอัด หรือไม่สบายใจที่จะรับชม โดยทั่วไปมักใช้เพื่ออ้างถึงโพสต์ วิดีโอ หรือความคิดเห็นที่ทำให้เกิดความเขินอายหรือทำให้ผู้ชมรู้สึกไม่สบายใจ ไม่ว่าจะเกิดจากเนื้อหาหรือวิธีการนำเสนอ
การจัดการกับ Sadbait
ในฐานะผู้ใช้งานโซเชียลมีเดีย เราควรตระหนักถึงวิธีที่เนื้อหาเหล่านี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อดึงดูดความสนใจของเรา ด้วยการสร้างอารมณ์ที่รุนแรง ไม่ว่าจะเป็นความเศร้า หรือความโกรธ ซึ่งวิธีการที่ผู้คนใช้งานเนื้อหาเหล่านี้อาจแตกต่างกันไป แต่สิ่งที่สำคัญ คือ การรับรู้ถึงกลไกที่ทำให้เนื้อหานี้ประสบความสำเร็จ และเรียนรู้ที่จะปฏิบัติต่อเนื้อหาเหล่านั้นอย่างมีวิจารณญาณ
ทั้งนี้ เราควรเข้าใจว่าอัลกอริธึมของโซเชียลมีเดียทำงานโดยพิจารณาจากการมีส่วนร่วมจากผู้ใช้ ซึ่งอาจจะไม่ได้พิจารณาถึงความจริงใจหรือแรงจูงใจที่อยู่เบื้องหลังการตอบสนองเหล่านั้น ดังนั้นการมีสติและตระหนักถึงการใช้อารมณ์ในคอนเทนต์ออนไลน์จึงเป็นเรื่องสำคัญ
ท้ายที่สุด Sadbait กลายเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่ใช้ความเศร้าเป็นอารมณ์หลักในการดึงดูดการมีส่วนร่วมจากผู้ชม แม้ว่าจะมีด้านมืดในแง่ของการใช้ความรู้สึกเพื่อการค้า แต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าเนื้อหานี้สามารถสร้างการเชื่อมโยงทางอารมณ์ที่แรงกล้า และมีผลกระทบในโลกออนไลน์อย่างลึกซึ้ง
Sources : BBC, Derstandard.at, Tampere University Research Papers และ University of Washington Information School
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ศึกชิงจ้าว AI: DeepSeek vs. Stargate – 5 ล้านปะทะ 5 แสนล้านดอลลาร์
ล็อกดาวน์โซเชียลมีเดีย: ปลอดภัย หรือ ปิดกั้น?