Share on
×

Share

ดร.ชัยยุทธ ชุณหะชา จากนักบัญชีสู่ CEO เทคคอมพานี บทเรียนความสำเร็จของผู้บริหารจากนอกวงการ

โดยทั่วไป ผู้บริหารระดับสูงในเทคคอมพานีจะมาจากสายเทคโนโลยี แต่ที่บริษัท จีเอเบิล จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการด้านดิจิทัลโซลูชันชั้นนำของเมืองไทย กลับแตกต่างเพราะมี ดร.ชัยยุทธ ชุณหะชา ผู้มีแบคกราวน์จากสายงานการบัญชีการเงินดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO)

เขาเรียนจบสายบัญชีจากจุฬาฯ และคร่ำหวอดในงานบัญชีที่สหรัฐอเมริกายาวนานกว่า 10 ปี นอกจากนี้ยังเคยทำงานในกลุ่มธุรกิจการเงินหลายแห่งในประเทศไทย รวมถึงเคยเป็นประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (CFO) ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชื่อดัง จนกล่าวได้ว่าเขาเป็นคนทำงานด้านการบัญชีและการเงินตัวจริงคนหนึ่ง

ทว่า พันธกิจนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ พาให้เขาเข้ามารับบทบาทผู้บริหารสูงสุดของบริษัทไอทีชั้นนำของไทย และมีพันธกิจปรับเปลี่ยนองค์กรที่มีอายุกว่า 30 ปี ให้สามารถก้าวต่อไปได้อย่างยั่งยืน

เรื่องราวของเขาทำให้ The Story Thailand อยากค้นหาคำตอบ ว่าคนนอกวงการไฮเทคอย่างเขา ทำไมถึงได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้นำเทคคอมพานีในสถานการณ์ที่โลกธุรกิจมีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และช่วงเวลา 4 ปีที่รับบทบาทดังกล่าวประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน

เริ่มต้นจากวิชาชีพด้านการบัญชี

“ปริญญาตรีผมเลือกเรียนสายบัญชี เพราะเวลานั้นเป็นวิชาชีพที่จบออกมายังไงก็มีงานทำ อีกทั้งคุณพ่อคุณแม่เรียนจบทางบัญชีก็สนับสนุนให้มาทางนี้ เนื่องจากความรู้ทางด้านบัญชีเป็นพื้นฐานที่ดีสำหรับการเติบโตในสายธุรกิจ แต่ตอนเรียนปริญญาโท เลือกสายเศรษฐศาสตร์ก็เพื่อทำให้มีมุมมองที่กว้างขึ้น และสุดท้ายเราก็ควรกลับมาโฟกัสในเรื่องของธุรกิจ ซึ่งผมมองว่าความรู้ทั้ง 3 สาขาจะเป็นส่วนผสมที่ดีต่อการทำธุรกิจ”

หลังจากเรียนจบปริญญาตรีสาขาบัญชีจากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขาเดินทางไปศึกษาระดับปริญญาโทสาขาเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยอีสเทิร์น มิชิแกน ประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่างนั้นประเทศไทยเกิดปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในปี พ.ศ.2540 เงินบาทอ่อนค่าลงมากจากดอลลาร์ละ 25 บาทเป็น 60 บาท

“ตอนนั้นรัฐบาลไทยเจรจากับรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ขอให้สนับสนุนนักเรียนไทยได้ทำงานระหว่างเรียนไปด้วย เพราะถ้าไม่ได้ทำงานก็คงเรียนต่อไม่ไหว ผมจึงมีโอกาสได้เข้าทำงานที่นั่น”

เมื่อเรียนจบเขาได้บรรจุเป็นพนักงานเต็มตัว อีกทั้งได้รับการสนับสนุนจากทางบริษัทให้ทุนศึกษาต่อจนจบปริญญาเอก สาขาบริหารธุรกิจ (ธุรกิจระหว่างประเทศ) จากมหาวิทยาลัยซาราโซตา

ดร.ชัยยุทธ เริ่มต้นจากงานทำบัญชีต้นทุนในโรงงานผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ของ Johnson Controls ซึ่งเป็นบริษัทติดอันดับ FORTUNE 500 เป็นเวลา 2 ปี ก็ย้ายไปสำนักงานใหญ่ทำงานในแผนก financial planning and analysis ทำให้ได้เรียนรู้ในเรื่องการใช้ข้อมูลเพื่อการวางแผนธุรกิจ

งานนี้ ช่วยให้เขาได้พัฒนาทักษะด้านงานบัญชีเข้ากับทักษะการใช้ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์อย่างจริงจังเป็นครั้งแรก โดยใช้แอปพลิเคชันรวบรวมข้อมูลทางบัญชีจากสาขาต่าง ๆ นำมาวิเคราะห์เพื่อช่วยในการตัดสินใจทางธุรกิจของผู้บริหารระดับสูง

หลายปีที่ทำงานในบริษัทชั้นนำของอุตสาหกรรมรถยนต์เขาพัฒนาทักษะจากงานด้าน financial performance management สู่งาน financial planning and analysis จนเป็นที่หมายตาของบริษัทที่ปรึกษาธุรกิจ (business consultant) ที่ต้องการความรู้ของเขาไปช่วยเหลือลูกค้าปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานให้ดียิ่งขึ้น

“ผมได้ทำงานกับแอปพลิเคชั่นนี้เป็นรุ่นแรก ๆ ซึ่งเวลานั้นคนที่รู้ทั้งสองด้านมีค่อนข้างน้อย จึงเป็นที่มาให้บริษัทคอนซัลส์ทาบทามผมไปทำงานด้วย”

แม้งานของบริษัทที่ปรึกษาธุรกิจ จะเปิดโอกาสให้ได้เรียนรู้เรื่องธุรกิจหลากหลายวงการ จากการทำงานร่วมกับบริษัทชั้นนำหลายแห่ง เป็นต้นว่า บริษัทผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า Whirlpool หรือบริษัทผลิตรถยนต์ Ford Motor แต่ก็ทำให้เขามีชีวิตไม่ปกติ เพราะต้องเดินทางตลอดเวลาจนแทบไม่ได้อยู่บ้าน รวมทั้งมีความเสี่ยงจากการขับรถทางไกลบ่อย ๆ เมื่อมีบริษัทผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่ตั้งอยู่ใกล้บ้านต้องการให้เขาเข้าไปช่วยปรับระบบงานในองค์กร จึงตัดสินใจร่วมงานโดยไม่ลังเล

“ตอนนั้นบริษัท Yazaki ต้องการขึ้นระบบ ERP ใหม่ ผมก็เข้าไปเป็น project manager โดยการต่อยอดจากประสบการณ์ที่ผ่านมาทั้งสองบริษัท ซึ่งการอิมพลีเมนต์ระบบแบบนี้จะต้องเริ่มต้นจากงานด้านระบบบัญชีก่อน”

ระยะเวลากว่า 10 ปี กับการทำงานสายงานบัญชีที่ต้องอาศัยแอปพลิเคชันทันสมัยเป็นเครื่องมือสำคัญ ทำให้เขาพัฒนาตนเองเป็นผู้ใช้ระดับ super user ที่เชี่ยวชาญทั้งงานระบบบัญชีและการใช้ระบบไอทีจนกลายเป็นคุณสมบัติสำคัญที่ส่งผลต่อเส้นทางการทำงานในปัจจุบัน

เพิ่มทักษะหลากหลายจากสายธุรกิจใหม่

“ความที่เป็นลูกคนเดียว เคยบอกกับคุณแม่ว่าถ้าหางานทำที่นี่ได้จะย้ายกลับมา ปีนั้นผมมาอยู่แค่ 10 วัน ก็ลองส่งใบสมัครงานไป หลังจากกลับไปอเมริกาแล้ว ทางบริษัทติดต่อมา ซึ่งผมไม่คิดว่าการสัมภาษณ์ผ่านโทรศัพท์ข้ามโซนจะง่ายขนาดนั้น ผลปรากฏว่าได้งานก็ต้องกลับมาตามที่ได้รับปากแม่ไว้”

ดร.ชัยยุทธ บอกถึงที่มาของการตัดสินใจย้ายกลับประเทศไทย โดยไม่มีการวางแผนอย่างชัดเจนมาก่อน ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต เพราะงานที่ได้เป็นการข้ามสายจากวงการอุตสาหกรรมการผลิตสู่วงการธุรกิจการเงิน เริ่มจากเข้าทำงานที่แผนก financial planning and analysis ธนาคารกรุงศรีอยุธยาเป็นที่แรก แต่ไม่นานนักก็ถูกทาบทามให้ไปทำงานดูแล financial performance ทั้งหมดของส่วนงาน wholesale banking ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ หลังจากนั้นอีก 6 ปีมีโอกาสได้ไปทำงานด้านตลาด SME ที่ธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB)

“ตอนนั้นที่ธนาคารไทยพาณิชย์มีการเปลี่ยนแปลงมาก พอดีที่ TTB มีนโยบายจะบุกตลาด SME ผมเห็นว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้เรียนรู้ตลาดที่ไม่เคยทำมาก่อน ซึ่งมีโอกาสได้ดูแลทีมงานที่ค่อนข้างใหญ่ งานมีความหลากหลายทำให้ได้เรียนรู้มาก”

หลังจากผ่านงานธุรกิจการเงินจาก 3 ธนาคาร ในตำแหน่งสุดท้ายเป็น Executive Vice President เขาตัดสินใจเปลี่ยนงานใหม่อีกครั้ง คราวนี้ข้ามห้วยสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (CFO) ของบริษัท อนันดา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด

เขายอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ต้องคิดหนักเพราะปัจจัยในการขับเคลื่อนธุรกิจไปสู่เป้าหมาย (business driver) แตกต่างกัน หลายอย่างต้องมาเรียนรู้ใหม่ แต่สุดท้ายกลายเป็นว่าช่วงเวลา 4 ปี ที่ทำงานในตำแหน่ง CFO เขาได้เรียนรู้มากกว่างานอื่น ๆ ที่เคยผ่านมา เพราะต้องดูแลรับผิดชอบทั้งด้านกลยุทธ์ การจัดซื้อ และงานแบ็คออฟฟิศเกือบทั้งหมด

“งานตำแหน่ง CFO เปิดโลกผมมาก เป็นเพราะงานระดับ C level เน้นมุมกว้าง ต่างกับเมื่อก่อนที่ทำงานเชิงลึก รู้อยู่ไม่กี่แกน”

เมื่อเปรียบเทียบเส้นทางการทำงานที่เปลี่ยนสายงานธุรกิจหลายครั้งกับการเลือกสาขาการเรียนตั้งแต่ระดับปริญญาตรีจนถึงระดับปริญญาเอกของเขา จะพบว่าแท้จริงเป็นแนวคิดเดียวกัน นั่นคือสร้างความรู้ความสามารถที่หลากหลายให้ตัวเองเพื่อเป้าหมายความสำเร็จในอนาคต

รับบทผู้นำสร้างความยั่งยืนให้เทคคอมพานี

เดือนมีนาคม พ.ศ.2564 ดร.ชัยยุทธเข้ารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บริษัท จีเอเบิล จำกัด (G-Able) บริษัทไอทีชั้นนำที่มีอายุกว่า 30 ปี หลังจากนั้น 8 เดือน ได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้บริหารสูงสุดในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ครั้งนี้นับเป็นการเปลี่ยนงานข้ามสายธุรกิจที่มีความท้าทายมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เนื่องจากตำแหน่งนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่อยู่ในวงการไอทีและมีพื้นฐานจากสายเทคโนโลยี

“ตอนเข้ามารับตำแหน่งนี้มีคนถามเยอะ คงเพราะกรณีแบบนี้เกิดขึ้นไม่บ่อย ที่เอาคนนอกสายงานมารับตำแหน่ง CEO ซึ่งย้อนดูประวัติที่ผ่านมาของบริษัทก็ไม่เคยมีมาก่อน”

แต่เขาเชื่อว่า ที่ตนเองได้รับเลือก เป็นเพราะบอร์ดของบริษัทมีมุมมองว่า การเลือกคนที่แตกต่างจากเดิมเข้ามาทำงานจะได้มุมมองที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะการหาคนที่มีประสบการณ์หรือวิสัยทัศน์ที่ครอบคลุมหลายมิติ น่าจะเป็นประโยชน์กับองค์กรมากกว่าการเลือกใช้เฉพาะคนที่มาจากสายงานเดียวกัน

“หน้าที่หลักของผู้บริหารระดับสูงคือทำอย่างไรให้ทุกฟังก์ชันทำงานร่วมกันได้ และทำให้คุณค่าของบริษัทยังคงอยู่ในสายตาของลูกค้า ไม่ใช่ทำงานที่ลงรายละเอียดเชิงลึกซึ่งต้องใช้ทักษะความรู้เฉพาะทาง”

การเข้ามาทำงานที่จีเอเบิล เขามีพันธกิจแรกคือ การนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ดังนั้นการทำงานในช่วง 2 ปีแรกจึงมุ่งเน้นเรื่องการทำให้บริษัทสามารถเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยมีการทำแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจใน 3-5 ปีข้างหน้า เพื่อเป็น future growth story สำหรับบอกกล่าวกับนักลงทุน

เรื่องนี้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายแล้ว หลังจากใช้เวลาในการเตรียมตัวราว 2 ปี โดยบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และมีการเสนอขายหุ้น IPO 175 ล้านหุ้น เพื่อระดมทุนสำหรับขยายธุรกิจเมื่อเดือนพฤษภาคมปี พ.ศ. 2566 ภายใต้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “GABLE”

พันธกิจที่สอง คือการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางธุรกิจ ทำให้คุณค่าของบริษัทมีความยั่งยืนต่อไปในอนาคต เช่น ทำอย่างไรให้บริษัทสามารถลงทุนต่อยอดทางธุรกิจแบบ inorganic growth เพราะเป็นทางลัดที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่บริษัท หรือการพัฒนาสิ่งที่มีอยู่ให้พร้อมสำหรับสนับสนุนลูกค้าในการปรับเปลี่ยนองค์กรด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล

“ในช่วงสองปีนั้นเราพยายามปรับเปลี่ยนคุณค่าขององค์กรจากที่เป็น System Integrator ไปสู่การเป็น Tech Enabler เนื่องจากการทำ System Integrator ผ่านช่วงเวลามา 20-30 ปีแล้ว คุณค่าในสายตาของลูกค้าเริ่มลดลง เราจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อสามารถอยู่ในตลาดนี้ต่อไป”

ประเด็นสำคัญของการเปลี่ยนแปลงคือ จีเอเบิลมีจุดแข็งที่รู้เทคโนโลยี แต่จะทำอย่างไรให้ลูกค้าเข้าใจว่าเทคโนโลยีเหล่านี้จะช่วยทำให้ธุรกิจมีความสามารถในการแข่งขันได้ดีขึ้น และเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคตได้ จึงใช้คำว่า Enabler (ซึ่งแปลว่าตัวช่วยที่สนับสนุนให้สามารถทำสิ่งที่ต้องการได้) เป็นแนวคิดหลัก โดยนำเสนอบริการเป็นโซลูชั่นที่ตอบโจทย์ธุรกิจได้แบบครบวงจร

เดินหน้าขยายงานด้วยกลยุทธ์ “ซื้อ” และ “สร้าง”

ดร.ชัยยุทธ บอกว่าระหว่างเตรียมบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เขาและทีมงานมีการวาง roadmap ว่าจะเป็น Tech Enabler แบบครบทุกมิติต้องทำอะไรบ้าง

ในจินตนาการ พวกเขาอยากขยายธุรกิจให้บริษัทมีความสามารถให้บริการครบตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ กล่าวคือ ทำหน้าที่ทั้งให้คำแนะนำลูกค้า (consulting) ดำเนินการออกแบบและติดตั้งระบบ (implement) และสุดท้ายคือมีส่วนร่วมในการทำธุรกิจและเติบโตไปพร้อมกับลูกค้า

“ที่ผ่านมาเราเป็นแค่คนอิมพลิเมนต์ เรามี pre-sale แต่งาน Business consulting ยังไม่เคยทำ ตอนนี้กำลังสร้างทีมที่สามารถคุยกับลูกค้าแล้วเข้าใจว่าสิ่งที่เรากำลังนำเสนอมีความหมายต่อธุรกิจของลูกค้าอย่างไร”

เขาบอกว่าจะดียิ่งขึ้นถ้าบริษัทสามารถเป็นผู้นำในการเสนอเทคโนโลยีใหม่ ๆ สู่ตลาด ซึ่งจะส่งผลให้งานส่วน consulting มีคุณค่ามากขึ้น

ทั้งนี้ ในด้านเทคโนโลยีกลุ่มธุรกิจจีเอเบิลมีโซลูชั่นสำหรับงานด้าน IT infrastructure เพียบพร้อม เช่น ระบบคลาวด์และดาต้าเซ็นเตอร์ ระบบความปลอดภัยทางไซเบอร์ ระบบจัดการข้อมูลและการวิเคราะห์ และอื่น ๆ แต่ยังขาดส่วน Business application ซึ่งการขยายความสามารถให้บริการส่วนนี้ เขาเลือกใช้ทั้งกลยุทธ์สร้างจากภายใน และลงทุนกับพาร์ทเนอร์ภายนอก

ส่วนที่ต้องการความรวดเร็วจะใช้กลยุทธ์ “ซื้อ” เช่นกรณีลงทุนซื้อหุ้น 75 เปอร์เซ็นต์ ในบริษัท ราวด์ ทู โซลูชั่นส์ จำกัด ซึ่งมีความชำนาญการวางระบบ SAP เพื่อสร้างความได้เปรียบในตลาดระบบบริหารทรัพยากร หรือ ERP แต่บางส่วนเลือกการ “สร้าง” ทีมภายในขึ้นมา เช่นการร่วมมือกับ Workday เจ้าของระบบการบริหารทรัพยากรบุคคลครบวงจรรายใหญ่ของโลก เป็นตัวแทนแต่ผู้เดียวในประเทศไทยของโซลูชั่น HCM (Human Capital Management Software)

“โดยภาพรวมตอนนี้เราพยายามจะบุกตลาดทั้งทางด้าน IT infrastructure และ Business application ทำอย่างไรให้ลูกค้ามาใช้บริการของเราแล้วไม่ต้องไปหาที่อื่นอีก ทุกอย่างจบได้ในที่เดียว”

สำหรับการพัฒนาบทบาทในด้าน Business consulting ปัจจุบันจีเอเบิลมีแพคเกจใหม่ที่เรียกว่า Health Check บริการส่งทีมที่ปรึกษาไปตรวจสอบระบบงานหลังบ้านของลูกค้าว่ามีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหน มีอะไรที่สามารถปรับปรุงได้ แล้วเสนอโซลูชั่นให้ผู้บริหารของลูกค้าตัดสินใจ

“นี่เป็นวิธีการขาย solution base ที่สอดคล้องกับความต้องของธุรกิจมากขึ้น ซึ่งเราสร้างขึ้นสำหรับงาน consulting ที่เน้นในการนำเทคโนโลยีมาช่วยสร้างแต้มต่อทางธุรกิจให้แก่ลูกค้า ไม่ใช่บริการที่ปรึกษากลยุทธ์ทางธุรกิจแบบ Big 4”

เมื่อขับเคลื่อนธุรกิจด้วยกลยุทธ์ Financial

“จีเอเบิลช่วงก่อนผมเข้ามาอาจจะมีการปิดงบปีละหน ไม่มีการนำข้อมูลมาใช้อย่างจริงจังเพื่อผลักดันยอดขาย เพราะบริษัทไม่เคยมีปัญหาเรื่อง cash flow ดังนั้น เก็บเงินตอนไหนก็ได้ พอใช้แนวทางการบริหารที่มี financial นำ สิ่งเหล่านี้ก็มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎเกณฑ์”

ดร.ชัยยุทธกล่าวกับ The Story Thailand เมื่อถูกถามความเห็นว่าการมีผู้นำองค์กรที่เชี่ยวชาญด้านการบัญชีและการเงิน มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงในช่วง 4 ปีหรือไม่

ทั้งให้ข้อมูลว่า การที่บริษัทสามารถเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ และระดมทุนได้สำเร็จจนมีเงินทุนกว่า 600 ล้านบาท ทำให้บริษัทมีศักยภาพเติบโตแบบก้าวกระโดดด้วยการลงทุนจากภายนอกผ่านกระบวนการ M&A ซึ่งเป็นกลยุทธ์การโตแบบ inorganic growth ที่ประสบความสำเร็จด้วยดีจากการซื้อกิจการบริษัท ราวด์ ทู โซลูชั่นส์ จำกัด ด้วยเงินลงทุน 330 ล้านบาท ทำให้บริษัทมีรายได้เพิ่มเข้ามาทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลากับการเริ่มต้นสร้างใหม่ เนื่องจากเป็นกิจการที่มีฐานลูกค้าเดิมกว่า 40 ราย ซึ่งจะช่วยให้ภาพรวมการเติบโตของบริษัทจีเอเบิลไปได้เร็วขึ้น

เขายืนยันว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลงานจากการลงทุนทีมงานด้านการเงิน โดยมี CFO และทีม investment ซึ่งเป็นผลจากการมีกรรมการอิสระที่ส่วนใหญ่มาจากสายธุรกิจคอยให้ข้อเสนอแนะ และมีตัวเขาเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการ

“กล่าวได้ว่าในส่วนนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญที่ทำให้จีเอเบิลมีคนใหม่ ๆ ที่มีมุมมองด้านการเงินและธุรกิจเข้ามาเติมทีมเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งอยู่เดิม กลายเป็นส่วนผสมจากสองฝ่ายที่ลงตัว”

อศินา พรวศิน – สัมภาษณ์
สมชัย อักษรารักษ์ – เรียบเรียง

บทสัมภาษณ์อื่น ๆ ที่น่าสนใจ

ดร.ลิสา พัทธ์วิวัฒน์ศิริ กับภารกิจปลดล็อกพลังดิจิทัลของ KING POWER

กลยุทธ์สร้างทีมที่ตอบโจทย์ธุรกิจ แบบ “มณีรัตน์ อนุโลมสมบัติ” แห่ง Sea (ประเทศไทย)

เปิดประสบการณ์งานพัฒนากำลังคน ของ “อภิฤดี สิงหเสนี” KBTG

×

Share