Share on
×

Share

แค่เลิกทุจริต จีดีพี. ก็เพิ่ม

กลางสัปดาห์ที่ผ่านมา องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International หรือ TI) ได้เผยแพร่ผลการสำรวจ ดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index หรือ CPI) ประจำปี 2567 จากจำนวน 180 ประเทศทั่วโลก เดนมาร์กครองแชมป์โปร่งใส 7 ปีซ้อนได้ 90 คะแนน  

ส่วนประเทศไทย อยู่ในอันดับที่ 107 ของโลกได้ 34 คะแนน ปีนี้คะแนนลดลงจากเดิม เฉพาะในอาเซียนไทยอยู่อันดับ5 ประเทศที่มี อันดับสูงกว่าไทย ได้แก่สิงคโปร์ อันดับ1อาเซียนและอันดับ3ของโลก มีค่า CPIได้ 84 คะแนน ปีนี้สิงคโปร์แซงนิวซีแลนด์ขึ้นเป็นประเทศโปร่งใสที่สุดในเอเซียแปซิฟิก มาเลเซียอยู่ในอันดับที่ 57 ของโลกได้คะแนน 50 คะแนน เวียดนามอยู่ในอันดับที่ 88 ได้คะแนน 40 คะแนน และอินโดนีเซียอยู่ในอันดับที่ 99 ได้คะแนน 37 คะแนน

ทั้งนี้ดัชนีรับรู้การทุจริตในปี 2567 ไทยถือว่าได้คะแนนต่ำสุดรอบหลายปี หากย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 2560 ได้คะแนน 37 อันดับ 96 ของโลก

2561 ได้คะแนน 36 อันดับ 99 ของโลก

2562 ได้คะแนน 36 อันดับ 101 ของโลก

2563 ได้คะแนน 36 อันดับ 104ของโลก

2564 ได้คะแนน 35 อันดับ 110 ของโลก

2565 ได้คะแนน 36 อันดับ 101 ของโลก

2566 ได้คะแนน 35 อันดับ 108 ของโลก

2567 ได้คะแนน 34 อันดับ 107 ของโลก จะเห็นว่าตลอด 5 ปีที่ผ่านมา คะแนนประเทศไทยอยู่ระหว่าง 34 กับ 36 คะแนนเท่านั้น ไม่ได้พัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นเลย

นอกจากสิงคโปร์และมาเลเซียที่อันดับสูงกว่าไทยมาโดยตลอด ระยะหลัง ๆ อินโดนีเซียและเวียดนามอันดับดัชนี CPI ดีกว่าไทย เพราะรัฐบาลสองประเทศจริงจังกับการปราบปรามการทุจริต

อินโดนีเซีย เคยเป็นประเทศที่มีการทุจริตมากที่สุด ในปี 1995 อินโดนีเซียอยู่อันดับสุดท้ายจาก 41ประเทศ ในยุคประธานาธิบดี โจโก วิโดโด้ มีการกวาดล้างการทุจริตครั้งใหญ่ข้าราชการผู้ใหญ่หลายคนที่ถูกจับติดคุก อดีตประธานสภาผู้แทนยังถูกตัดสินจำคุก 15 ปีเพราะทุจริต

ขณะที่เวียดนาม ลุยปราบรามการทุจริตครั้งใหญ่เช่นกันหวังดึงนักลงทุนต่างชาติเข้าไปลงทุน อีกทั้งปฏิรูปกฏหมายครั้งใหญ่ ลดขั้นตอนในการขออนุญาติทำธุรกิจให้น้อยลง เพื่ออำนวยความสะดวกให้นักลงทุน และปิดโอกาสการทุจริต

ภายในเวลาเพียง 2 ปีเวียดนาม เปลี่ยนประธานาธิบดีถึง 2 คน เซ่นปมทุจริตในรัฐบาล อดีตรัฐมนตรีหลายคนและเจ้าหน้าที่รัฐจำนวนมากถูกศาลจำคุกในฐานความผิด “รับสินบน” เศรษฐีนีที่รวยที่สุดในเวียดนาม ถูกศาลสั่งประหารชีวิต ข้อหาโกงธนาคาร

สำหรับไทยการที่ดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) คะแนนลดลงจึงน่าเป็นห่วงอย่างมาก เพราะดัชนีการรับรู้การทุจริต เป็นดัชนีที่สะท้อนภาพลักษณ์การทุจริตของประเทศต่าง ๆ ที่มีความสำคัญต่อนักลงทุนหรือนักธุรกิจในการประเมินความเสี่ยงหรือใช้ประกอบการตัดสินใจในการเข้ามาลงทุนในแต่ละประเทศ

ปัจจุบันรัฐบาลในประเทศพัฒนามีนโยบายห้ามบริษัทเอกชนของเขาไปลงทุนในประเทศที่มีการ ทุจริตยิ่งทุกวันนี้ นักลงทุนมีทางเลือกมากขึ้น จึงไม่สนใจเข้าไปลงทุนในประเทศที่เรียกเก็บเงินใต้โต๊ะเพราะจะทำให้ต้นทุนเพิ่ม ไม่สามารถแข่งขันได้

บ้านเราทุกวันนี้ ปัญหาการทุจริตไม่ได้จำกัดวงแค่ แค่ นักการเมือง ข้าราชการ และองค์กรท้องถิ่นเท่านั้น แต่รุกลามมาถึงภาคธุรกิจที่เจ้าของโกงบริษัทตัวเอง โกงผู้ถือหุ้น อย่างที่เป็นข่าวครึกโครมทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศเสียหายอย่างมาก

ศ.พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวในงานสัมมนา Thailand Rule of Law Fair ว่า ผลกระทบอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นจากการทุจริตคือต้นทุนของประเทศที่เพิ่มขึ้น อย่างกรณีการกระทำผิดในตลาดทุนไทยตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ระหว่างปี 2557-2567 มีการกระทำความผิด 105 กรณี คิดเป็นค่าปรับรวม 35,000 ล้านบาท ความผิดที่มีค่าปรับมากที่สุดคือการตกแต่งบัญชี 9 กรณี ค่าปรับรวม 30,000 ล้านบาท, การฉ้อโกง 28 กรณี ค่าปรับรวม 2,000 ล้านบาท, การปั่นหุ้น 46 กรณี ค่าปรับรวม 2,000 ล้านบาท และใช้ข้อมูลภายในซื้อขาย 22 กรณี ค่าปรับรวม 250 ล้านบาท

ขณะที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ‘สตง.’ พบว่า ในรอบ 6 ปีที่ผ่านมา พบว่า รัฐต้องสูญเสียงบประมาณจากโครงการที่ไม่ได้ได้ใช้ปีหนึ่ง 4-5 พันล้านบาท ที่เป็นความเสียหาย บางปี 2 หมื่นล้านบาท บางปี 4 หมื่นล้านบาทก็มี รวม 6 ปี เสียหายมาได้ประมาณแสนล้านบาท ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องจัดซื้อจัดจ้าง  แต่อีกส่วนที่เป็นตัวเลขค่อนข้างสูงคือ เรื่องของสิ่งที่จัดซื้อจัดหามาแล้วไม่ได้ใช้ประโยชน์ ทั้งสองปรากฏการณ์นี้ ไม่พ้นเรื่องทุจริต

มิอาจปฎิเสธได้ว่าการทุจริตคือ ต้นทุนของประเทศ กรณีประเทศอินโดนีเซียและ เวียดนาม ที่จริงจังกับการกวาดล้างทุจริตทำให้เกิดความเชื่อมั่นมากขึ้น สะท้อนจาก จีดีพี. เวียดนาม โตไม่ต่ำกว่า 7% มาหลายปี ล่าสุดคาดว่า ไม่ต่ำกว่า 7% ส่วนอินโดนีเซีย ไม่ต่ำกว่า 5% มาหลายปีมานี้เช่นกัน 

ส่วนปัญหาของไทยมีกฎหมายที่ซ้ำซ้อนเป็นจำนวนมาก โดยมีกฎหมายหลัก 971 ฉบับ และกฎหมายรองกว่า 1 แสนฉบับ ทั้งนี้ จากการศึกษาของ TDRI พบว่า หากไทยปรับลดกฎหมายที่ไม่จำเป็น จะทำให้ไทยลดต้นทุนได้ 1.3 แสนล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็น 0.8% ของจีดีพี.

กฏหมายซ้ำซ้อน ล้าหลัง ทำให้เกิดต้นทุนแฝงจำนวนมากในการทำธุรกิจที่ต้องขออนุมัติหรือขออนุญาตตรายาง จนเป็นช่องทางให้นักการเมือง ข้าราชการ ทุจริตอย่างที่รู้ ๆ กัน

บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน

อย่าเล่นกับไฟ

พลิกตำนานแชร์ลูกโซ่ “มหากาพย์ลวงโลก”

อย่าให้การลงทุนเป็นแค่ ‘ภาพลวงตา’

×

Share