Share on
×

Share

OTT ในมือใคร? ส่องบทบาทกสทช. ไทย และต่างประเทศ

คดี ศ.ดร. พิรงรอง รามสูต กับบริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป ผ่านศาลชั้นต้น เข้าสู่ชั้นอุทธรณ์ไปแล้ว และได้ปลุกให้เกิดข้อถกเถียงในแง่มุมกฎหมายและบทลงโทษกันอย่างมากมาย แต่อีกแง่มุมที่น่าสนใจจากคดีนี้ นั่นคือเรื่องของบทบาทหน้าที่ของทุกฝ่าย ในยุคที่เทคโนโลยีและวิธีบริโภคสื่อกำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

ประเด็นเรื่องอำนาจของ กสทช. ในการกำกับดูแลบริการ OTT (Over-The-Top) กลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง คดีนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ข้อพิพาททางกฎหมาย แต่ยังสะท้อนถึงความท้าทายในการกำกับดูแลสื่อในยุคดิจิทัล ที่เทคโนโลยีและพฤติกรรมการรับชมเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

จุดเริ่มต้นของคดีนี้มาจากการที่ระบบ TrueID ซึ่งรวบรวมช่องทีวีต่าง ๆ ไว้มากมาย รวมถึงช่อง 3, 5, 7, 9 ตามกฎ “Must carry” ที่กำหนดให้ระบบทีวีทุกประเภทต้องเผยแพร่ช่องหลัก เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลได้อย่างเท่าเทียมกัน

อย่างไรก็ตาม TrueID ไม่ได้ออกอากาศช่องทีวีเหล่านั้นเฉย ๆ แต่ได้เพิ่มโฆษณาของทรูเองลงไปด้วย

ศ.ดร. พิรงรอง ในฐานะกรรมการ กสทช. จึงส่งหนังสือแจ้งไปยัง 127 ช่องทีวีว่า TrueID ได้แทรกโฆษณา ซึ่งอาจขัดต่อกฎ Must carry ที่กำหนดให้แพลตฟอร์มโทรทัศน์ต้องไม่เปลี่ยนแปลงเนื้อหาดั้งเดิมของช่องที่นำไปออกอากาศ

ศาลสั่งจำคุก 2 ปี “ศ.กิตติคุณ ดร.พิรงรอง รามสูต” คดีปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ปมทรูไอดี

บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป โต้แย้งว่า กสทช. ไม่มีอำนาจในการตัดสินหรือออกคำเตือนเช่นนี้ เนื่องจาก TrueID เป็นบริการ “OTT” (Over The Top) ซึ่งไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของ กสทช.

นอกจากนี้ ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป ยังได้ฟ้องร้อง ศ.ดร. พิรงรอง จนศาลชั้นต้นตัดสินจำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งก็คือการกระทำในสิ่งที่ไม่ใช่อำนาจของตน

หัวใจสำคัญของเรื่องนี้จึงอยู่ที่ว่า กสทช. มีอำนาจในการควบคุมดูแล OTT หรือไม่?

เพื่อทำความเข้าใจประเด็นเหล่านี้อย่างรอบด้าน การศึกษาแนวทางการกำกับดูแล OTT ในต่างประเทศจึงเป็นสิ่งสำคัญ เราสามารถเปรียบเทียบกรณีศึกษาของหน่วยงานกำกับดูแลในประเทศต่างๆ เช่น Ofcom ของสหราชอาณาจักร หรือ FCC ของสหรัฐอเมริกา เพื่อดูว่าพวกเขามีแนวทางการกำกับดูแล OTT อย่างไร มีอำนาจหน้าที่แค่ไหน และมีวิธีจัดการกับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นอย่างไร

ก่อนจะไปไกลถึงประเด็นการกำกับดูแล ลองมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า “OTT” ที่เราพูดถึงกันนั้น จริงๆ แล้วคืออะไรกันแน่

OTT คืออะไร ?

OTT (Over-the-top) คือบริการเนื้อหาที่ส่งตรงถึงผู้ชมผ่านทางอินเตอร์เน็ต โดยไม่จำเป็นต้องมีโครงข่ายเฉพาะของตัวเอง เช่น โทรทัศน์ดาวเทียมหรือเคเบิลทีวี

ในยุคแรก ๆ ของ OTT การรับชมอาจต้องทำผ่านคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือเท่านั้น แต่ปัจจุบันเราดู OTT กันได้ผ่านทีวีแทบไม่ต่างจากการดูช่องทีวีแบบดั้งเดิม เพราะ Smart TV ส่วนใหญ่จะมีแอปบริการ OTT ต่าง ๆ ติดตั้งมาให้ หรือจะดาวน์โหลดเพิ่มก็ได้ เช่น Youtube, Netflix, Disney+, HBO Max, TrueID, ฯลฯ

ความแตกต่างเด่น ๆ ก็เช่น OTT ให้อิสระแก่ผู้ชมในการเลือกเนื้อหาและเวลาที่ต้องการรับชม ในขณะที่ช่องทีวีทั่วไปมีการจัดผังรายการที่แน่นอน อีกความต่างคือ OTT ส่วนใหญ่มีรูปแบบธุรกิจที่เน้นการบอกรับสมาชิก ในขณะที่ช่องทีวีทั่วไปมีทั้งช่องฟรีทีวีและช่องเสียเงิน

ความพิเศษของ OTT คือความสะดวกสบายและหลากหลาย ผู้ชมสามารถเลือกรับชมเนื้อหาที่ต้องการได้ทุกที่ทุกเวลา แถมยังมีตัวเลือกเนื้อหาที่หลากหลายกว่าเมื่อเทียบกับทีวีแบบดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม การเข้ามาของ OTT ก็ก่อให้เกิดความท้าทายใหม่ ๆ ในการกำกับดูแลเนื้อหาและโฆษณา

เทียบบทบาททุกฝ่ายในต่างประเทศ

และเราจะมาสำรวจและเปรียบเทียบความคล้ายและความต่างกันระหว่างในไทยเองกับตัวอย่างในต่างประเทศกันในประเด็นต่าง ๆ โดยขอหยิบยกตัวอย่างกรณีศึกษาจาก 2 ประเทศคือสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรหรืออังกฤษ

FCC (สหรัฐอเมริกา): FCC มีบทบาทในการกำกับดูแลการออกอากาศ แต่มีข้อจำกัดในการกำกับดูแลเนื้อหาที่เผยแพร่ทาง OTT อย่างไรก็ตาม FCC ยังคงมีบทบาทในการส่งเสริมการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและบริการ OTT อย่างเท่าเทียมกัน

ในขณะที่ Ofcom (สหราชอาณาจักร): Ofcom มีบทบาทในการกำกับดูแลเนื้อหาที่เผยแพร่ทาง OTT โดยมีอำนาจในการกำหนดมาตรฐานเนื้อหาและตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎหมาย นอกจากนี้ Ofcom ยังมีบทบาทในการส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรมในตลาด OTT

สหรัฐอเมริกา

ในสหรัฐอเมริกา มีหน่วยงานชื่อ Federal Communications Commission (FCC) เป็นหน่วยงานอิสระของรัฐบาลกลางที่รับผิดชอบกำกับดูแลการสื่อสารทั้งหมดในสหรัฐฯ ทั้ง วิทยุ โทรทัศน์ อินเตอร์เน็ต โทรศัพท์ โทรคมนาคมผ่านดาวเทียม และสื่อดิจิตัล เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายของรัฐบาลกลาง FCC ยังมีอำนาจออกใบอนุญาตและควบคุมคลื่นความถี่ สำหรับการกระจายเสียงและการสื่อสารไร้สาย  และกำหนดมาตรฐานด้านการแข่งขันทางโทรคมนาคม เพื่อป้องกันการผูกขาด

นอกจากนั้น FCC ยังมีหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภค เช่น ควบคุมโฆษณาหลอกลวง เนื้อหาที่ไม่เหมาะสม และกำกับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลในโทรคมนาคม รวมถึงหน้าที่ส่งเสริมการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิตัล เช่น นโยบายเกี่ยวกับบรอดแบนด์และการขยายอินเตอร์เน็ตไปยังพื้นที่ห่างไกล

OTT ในอเมริกา

ในสหรัฐฯ มีการแบ่งสื่อเป็น “สถานีดั้งเดิม” (traditional TV) กับ “OTT” ( ย่อจาก Over-the-Top) เช่นเดียวกับไทย โดยตัวอย่างสถานีโทรทัศน์ดั้งเดิม (traditional TV) ก็เช่นฟรีทีวีเช่น ABC, CBS, NBC, FOX, PBS และเคเบิลทีวีเช่น CNN, HBO, ESPN ส่วนสถานี OTT (Over-the-Top) TV ก็คือแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งแบบสมัครสมาชิกต่าง ๆ เช่น Netflix, Disney+, HBO Max, Roku, Hulu

การกำกับดูแลที่แตกต่างกัน

ฟรีทีวี และเคเบิลทีวี ซึ่งเป็น 2 สื่อเก่าในสหรัฐฯ ถูกกำกับดูแลโดย FCC โดยตรง เช่นต้องปฏิบัติตามกฎเกี่ยวกับเนื้อหา (ไม่ให้มีเนื้อหาลามกหรือรุนแรงเกินไป) ต้องให้โอกาสทางการเมืองอย่างเป็นธรรม (Equal-Time Rule) และต้องปฏิบัติตามกฎ Must carry  หรือ retransmission consent ซึ่งจะอธิบายต่อไปด้านล่าง

ส่วน OTT TV นั้นถือว่าเป็นบริการอินเตอร์เน็ต ไม่ใช่บริการกระจายเสียง จึงมีกฎระเบียบที่เบากว่า เช่น ไม่มีข้อจำกัดเรื่องเนื้อหาหรือโฆษณามากเท่ากับสถานีโทรทัศน์ และไม่ต้องขอใบอนุญาตในการเผยแพร่ อย่างไรก็ตาม FCC ในสหรัฐอเมริกาก็ยังควบคุมสื่อ OTT อยู่บ้างแม้จะน้อยกว่าสื่อทีวีแบบดั้งเดิม โดยกำกับดูแลแค่ 4 ด้าน

ด้านแรกก็คือ “ความเป็นกลางทางอินเทอร์เน็ต (net neutrality)” คือสื่อ OTT ต้องปฏิบัติกับผู้ชมอย่างเท่าเทียมกัน เช่นต้องไม่เลือกว่าลูกค้าที่ใช้เน็ตของบริษัทในเครือตัวเองแล้วจะได้ความเร็วเหนือกว่าผู้ใช้ที่เป็นลูกค้าค่ายอื่น ๆ เป็นต้น

อีกตัวอย่างก็เช่น FCC เคยสั่งให้ Netflix ต้องรองรับคำบรรยาย (Closed Captioning) สำหรับเนื้อหาที่มาจากสถานีโทรทัศน์ เพื่อให้สำหรับผู้พิการทางการได้ยิน ด้านต่อมาคือ “การคุ้มครองผู้บริโภค” เช่น การป้องกันการหลอกลวง และการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนตัวประชาชนอย่างไม่เหมาะสม

ตัวอย่างคือ YouTube ถูกปรับ 170 ล้านดอลลาร์ ในปี 2019 เพราะมีการเก็บข้อมูลเด็กเพื่อใช้ในการโฆษณา ละเมิดต่อกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี ซึ่งมีชื่อกฏหมายว่า Children’s Online Privacy Protection Act (COPPA)

อีกด้านที่ทางสหรัฐอเมริกาเน้นมาก  คือการแข่งขันที่เป็นธรรม ป้องกันการผูกขาดในตลาดสื่อ OTT และด้านสุดท้ายก็คือ FCC จะมีหน้าที่ร่วมแก้ไขปัญหาข้อพิพาทระหว่างสื่อ OTT ด้วย อย่างไรก็ตาม FCC ไม่มีสิทธิควบคุมปริมาณโฆษณาในสื่อ OTT ฉะนั้น YouTube, Netflix สามารถมีโฆษณาได้ตามต้องการ นอกจากนั้น FCC ก็ไม่มีอำนาจเซ็นเซอร์คำหยาบหรือความรุนแรงลามกต่างๆในสื่อ OTT ฉะนั้นจึงมีสื่ออย่าง Pornhub หรือ Onlyfans ได้

ในสหรัฐอเมริกา มีกฎ “Must carry” หรือไม่ ?

ฝ่ายสถานี TV ดั้งเดิม เป็นผู้มีสิทธิ ตัวเลือก ที่จะเลือก 1 จาก 2แนวทางดังนี้:

  1. Must carry คือการที่สถานีฟรีทีวีดั้งเดิม ให้สิทธิผู้ให้บริการเคเบิลทีวีหรือ OTT นำช่องของตนไปออกอากาศโดยไม่คิดค่าธรรมเนียมจากผู้ให้บริการเคเบิล โดยข้อตกลงมีอายุ 3 ปี โดยเคเบิลทีวีต้องนำเนื้อหาของช่องฟรีทีวีนั้น ๆ ไปให้บริการอย่างครบถ้วน ถ้าเคเบิลทีวีจะไปใส่โฆษณาเพิ่มในเนื้อหาของช่องทีวีไหน ก็จะต้องขออนุญาตจากทางฟรีทีวีช่องนั้น ๆ ก่อน ช่องฟรีทีวีที่เลือกทางนี้ จะได้ประโยชน์ จากการที่โฆษณาในรายการของตนเอง จะมีผู้ชมมากขึ้น
  2. Retransmission Consent คือการที่สถานีฟรีทีวีดั้งเดิมเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากเคเบิลหรือ OTT ที่นำช่องของตนไปออกอากาศ โดยในข้อตกลงอาจมีการเขียนอนุญาตให้ OTT เพิ่มเติมโฆษณาได้ด้วย ช่องฟรีทีวีที่เลือกทางนี้ จะได้ประโยชน์ทั้งจากการที่โฆษณาในรายการของตนเอง จะมีผู้ชมมากขึ้น และจากเม็ดเงินที่ OTT จ่ายเพิ่มให้ด้วย นั่นคือช่องเคเบิลและ OTT ในสหรัฐอเมริกา สามารถเพิ่มโฆษณาของตัวเองเข้าไปได้ แต่ต้องมีข้อตกลงกับเจ้าของลิขสิทธิ์ก็คือสถานีฟรีทีวีเจ้าของ content นั้น ๆ แล้ว

จะเห็นได้ว่าทั้ง 2 แบบนี้ ผู้มีสิทธิเลือกและควบคุมก็คือฝ่ายสถานีฟรีทีวี ไม่ใช่ผู้ให้บริการเคเบิลหรือ FCC หรือรัฐบาล

ตัวอย่างเช่น Youtube ต้องไปขอทำข้อตกลงแบบใดแบบหนึ่งระหว่าง “Must carry ” หรือ “retransmission consent” กับช่องทีวีดั้งเดิมต่างๆ เช่น ABC, CBS, ESPN, FOX, ESPN เพื่อให้ลูกค้าตัวเองดูช่องเหล่านี้ได้ผ่านบริการ “Youtube TV” เป็นต้น และถ้า Youtube จะใส่โฆษณาของตัวเองเพิ่มได้ ก็ต้องขออนุญาตหรือทำข้อตกลงกับช่องทีวีนั้นๆ แต่ไม่ต้องไปขออนุญาตจากทาง FCC หากมีการละเมิดใด ๆ ก็จะเป็นเรื่องของกฎหมายลิขสิทธิ์ของสหรัฐฯ ซึ่งบังคับใช้โดย U.S. Copyright Office และศาล มากกว่าที่จะเป็น FCC

ตัวอย่างเช่นในปี 2014 บริการ Aereo เป็นบริษัท OTT ได้สตรีมสดเนื้อหาฟรีทีวีจากสถานี ABC ไปโดยไม่ได้รับอนุญาต ทำให้ทาง ABC ฟ้องร้องจนศาลสูงสุดสหรัฐฯ ตัดสินว่า Aereo ละเมิดลิขสิทธิ์และสั่งให้หยุดให้บริการ  โดยทาง FCC หรือ กสทช. ไม่ได้เกี่ยวข้อง

อังกฤษ

ในอังกฤษ มี Ofcom (Office of Communications) เป็นหน่วยงานอิสระที่รับผิดชอบการกำกับดูแลด้านการสื่อสารทั้งหมดในอังกฤษ ทั้งวิทยุ โทรทัศน์ โทรคมนาคม และไปรษณีย์ ( ซึ่งข้อหลังสุดนี้ไม่มีใน กสทช. ของไทย )

อังกฤษมีการแบ่งสื่อทีวีเป็น สถานีฟรีทีวีแบบเดิม ๆ และ OTT (Over-the-Top) เช่นเดียวกับในหลายประเทศ

สถานีดั้งเดิมในอังกฤษ ก็เช่น BBC, ITV, Channel 4, และ Channel 5 ซึ่งเป็นช่องฟรีทีวีที่มีการแพร่ภาพผ่านคลื่นความถี่

ส่วน OTT ได้แก่บริการสตรีมมิ่ง รวมถึงที่มาจากต่างประเทศด้วย เช่น Netflix, Amazon Prime Video, และ Disney+สถานีฟรีทีวีดั้งเดิม อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ Ofcom ทั้งในด้านเนื้อหา การโฆษณา และมาตรฐานการแพร่ภาพ OTT ถูกควบคุมไม่เข้มงวดเท่ากับสถานีดั้งเดิม โดยมีการกำกับดูแลเนื้อหาให้อยู่ในขอบเขตกฏหมายทั่วไปเท่านั้น

การควบคุมอย่างแรกก็คือ ห้ามมี“เนื้อหาที่เป็นอันตราย (Harmful Content Regulations)” อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสังคม เช่น เนื้อหาที่ปลุกระดมความรุนแรง, ลัทธิก่อการร้าย, และข้อมูลเท็จเกี่ยวกับสุขภาพ

ตัวอย่างเช่นในอังกฤษนั้น OTT อย่างเช่น OnlyFans ต้องปฏิบัติตามกฎการจำกัดอายุ (Age Ratings) ของ Ofcom ป้องกันไม่ให้เด็กเข้าถึงเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม โดยต้องตรวจสอบอายุของผู้ใช้ก่อนเข้าถึงเนื้อหาสำหรับผู้ใหญ่

การควบคุมอย่างที่สองคือการกำกับดูแลโฆษณา (Advertising Standards) โดยในอังกฤษนั้น OTT ต้องปฏิบัติตามกฎของ ASA (Advertising Standards Authority) ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของ Ofcom

ตัวอย่างเช่น YouTube และ TikTok ในอังกฤษต้องกำกับโฆษณาที่มีการชี้นำเด็ก เช่น โฆษณาอาหารฟาสต์ฟู้ดและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง

นอกจากนั้นยังมีการบังคับใช้ “Video-on-Demand (VoD) Code”  เช่นกำหนดให้ Netflix, Amazon Prime, Disney+, ฯลฯ ต้องมีมาตรการป้องกันข้อมูลเท็จและการบิดเบือนข่าวสาร

กฎ “Must carry ” ในอังกฤษ

ในอังกฤษ มีกฎที่คล้ายกับ “Must carry ” แต่เรียกว่า “Must-offer obligations”

กฎนี้กำหนดผู้ให้บริการโทรทัศน์แบบบอกรับสมาชิก (เช่น เคเบิลหรือดาวเทียม) ต้องจัดให้มีช่องบังคับ เช่น BBC, ITV, Channel 4, และ Channel 5 ในทุกแพ็กเกจของต นอกจากนั้นยังมีการกำหนดให้มหกรรมกีฬาใหญ่ ๆ อยู่ใน “Must-offer obligations” ด้วยคล้ายในไทย เช่น ฟุตบอลโลก ฟุตบอลยูโร และโอลิมปิก แต่หากจะมองความแตกต่างจากไทย  ก็คืออังกฤษนั้นได้ไปร่วมฟุตบอลโลกด้วยแทบจะทุกครั้ง

OTT ในอังกฤษ

ในอังกฤษการนำเนื้อหาจากสถานีโทรทัศน์มาเผยแพร่บนแพลตฟอร์ม OTT พร้อมกับเพิ่มโฆษณาของตนเอง สามารถทำได้ หากมีข้อตกลงกับเจ้าของลิขสิทธิ์ ตัวอย่างเช่น บริการสตรีมมิ่งอย่าง ITVX นำเสนอเนื้อหาจาก BBC บนแพลตฟอร์มตนเอง พร้อมกับโฆษณาเพิ่มเติม โดยอยู่ภายใต้ข้อตกลงที่ทำกับ BBC ไว้ก่อนแล้ว ซึ่งก็เป็นโครงสร้างความสัมพันธ์ที่คล้ายกับในสหรัฐอเมริกา

ตัวอย่างเช่นในปี 2017 บริการ TVCatchup เป็นแพลตฟอร์ม OTT ได้นำช่องฟรีทีวีอังกฤษทั้ง BBC, ITV, และChannel 4 ไปเผยแพร่แบบสตรีมมิ่งออนไลน์ โดยเพิ่มโฆษณาของตัวเอง และไม่ได้ขออนุญาตหรือทำข้อตกลงใดๆ จนถูก 3 สถานีดังกล่าวฟ้องร้อง

ผลคือศาลตัดสินว่า TVCatchup ละเมิดลิขสิทธิ์ และสั่งให้หยุดให้บริการ โดยทาง Ofcom ซึ่งเป็น กสทช. ของที่นั่นไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้อง

เทียบการควบคุมดูแลโฆษณาในทั้ง 2 ประเทศ

ในสหรัฐอเมริกา (FCC – Federal Communications Commission) FCC ไม่ได้กำหนดเพดานโฆษณา เว้นแต่ว่าจะเป็นรายการเด็ก แต่ในอังกฤษนั้น Ofcom หรือ กสทช.ของที่นั่น มีข้อกำหนดปริมาณโฆษณาในทีวี นั่นคือสำหรับฟรีทีวีเช่น BBC, ITV, Channel 4 นั้น จำกัดโฆษณาสูงสุด 12 นาทีต่อชั่วโมง และเฉลี่ยไม่เกิน 7 นาทีต่อชั่วโมงตลอดวัน

ส่วน OTT และสตรีมมิ่งในอังกฤษ เช่น Netflix, YouTube, และ ITVX นั้น ไม่โดนกำกับดูแลเรื่องปริมาณโฆษณาโดยตรง แต่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค เช่น ไม่หลอกลวง ไม่เป็นโฆษณาแฝง ทั้งนี้ทาง Ofcom อาจเป็นฝ่ายเริ่มต้นเอง หรือผู้ชมสามารถร้องเรียนไปที่ Ofcom หรือรวมตัวกันฟ้องภายใต้กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค

ตัวอย่างเช่นในปี 2019 Ofcom เคยสอบสวน ITV ว่าออกอากาศโฆษณาเกินข้อจำกัด แล้วพบว่า ITV ฝ่าฝืนจริงและถูกปรับในที่สุด

ย้อนกลับมามองไทย

คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. เป็นองค์กรอิสระของรัฐ มีหน้าที่หลัก ๆ หลายอย่าง อย่างแรกคือจัดสรรคลื่นความถี่ในกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เช่นจัดการประมูล 3G 4G 5G ครั้งที่ผ่าน ๆ มา

หน้าที่ต่อมาที่เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรง คือการกำกับดูแลกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม ให้เป็นไปตามกฎหมายและมาตรฐานที่กำหนด เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคและส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรม อีกหน้าที่คือการส่งเสริมการแข่งขัน ทั้งในตลาดกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อให้ผู้บริโภคมีทางเลือกที่หลากหลายและได้รับบริการที่ดีที่สุด นอกจากนั้นยังมีหน้าที่คุ้มครองผู้บริโภคในด้านกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม ให้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นธรรม

นอกจากนี้ กสทช. ยังมีหน้าที่อื่น ๆ เช่น การกำหนดมาตรฐานทางเทคนิค การออกใบอนุญาตประกอบกิจการ การกำกับดูแลเนื้อหา พัฒนาเทคโนโลยีด้านการสื่อสาร และการแก้ไขปัญหาข้อพิพาท

ส่วนอำนาจหน้าที่มีต่อ OTT นั้น  ยังไม่มีการบัญญัติไว้อย่างเป็นทางการ  มีเพียงเอกสาร “โครงการศึกษาแนวทางการกำกับดูแลกิจการโทรทัศน์แบบ Over The Top”  ในเว็บไซต์ กสทช. ที่ broadcast.nbtc.go.th/data/academic/file/600900000004.pdf  

โดยรายงานฉบับนี้ระบุวัตถุประสงค์ว่ายังอยู่ในขั้นรวบรวมข้อมูล ศึกษา และวิเคราะห์สภาพตลาดการแข่งขันรวมถึงผลกระทบจากการให้บริการโทรทัศน์ในรูปแบบ OTT เท่านั้น

บทสรุปในไทย บนความไม่ชัดเจน

จากโครงสร้างใน 2 ประเทศตัวอย่างที่ว่าไป จะเห็นว่าถ้าหากไทยเราทำตามแนวทางต่างประเทศแบบนี้เป๊ะ ๆ การที่ระบบ OTT อย่างเช่น TrueID จะเพิ่มโฆษณาเข้าไปในช่องทีวีอื่นๆที่ “must carry” มานั้น ก็ต้องทำข้อตกลงกับทางแต่ละช่องนั้น ๆ ให้ชัดเจนก่อน

แต่ปัจจุบันในไทย ก็ยังไม่มีการเปิดเผยชัดเจนว่า TrueID ได้มีข้อตกลงแบบนี้กับช่องไหนแล้วบ้างและมีรายละเอียดอย่างไร ? 

มีกล่าวถึงไว้บ้างแค่ในคำฟ้องของบริษัททรูดิจิตัลกรุ๊ป ว่าหนังสือเอกสารจากทาง ศ.ดร. พิรงรอง ได้ทำให้มีหลายช่องทีวีจาก 127 รายที่ได้รับคำเตือนนั้น “ได้ชะลอหรือขยายเวลาทำสัญญากับทรูฯ ทำให้ทรูฯได้รับความเสียหาย”

แต่หลายๆฝ่ายก็ตั้งข้อสังเกตว่าปัจจุบันทาง TrueID ก็ยังออกอากาศช่องอื่น ๆ ได้ครบเท่าเดิม และยังมีการแทรกโฆษณาในคอนเทนต์จากช่องอื่น ๆ ตามปกติ ส่วน กสทช. ของไทยนั้น ก็มีบทบาท “ที่บัญญัติไว้” คล้าย FCC และ Ofcom แต่สำหรับบทบาท “ที่ปฎิบัติจริง” โดยเฉพาะกับสื่อ OTT นั้น  ก็ยังคงต้องติดตามกันต่อไป  ซึ่งแน่นอนว่ากรณี TrueID ที่ยังไม่จบบริบูรณ์นี้ จะเป็นหนึ่งในกรณีศึกษาและหน้าประวัติศาสตร์วงการสื่อไทยต่อไป

การเปรียบเทียบกรณีศึกษาจะช่วยให้เราเห็นภาพรวมของการกำกับดูแล OTT ในระดับสากล และนำบทเรียนจากต่างประเทศมาปรับใช้กับบริบทของประเทศไทยได้ นอกจากนี้ การศึกษาแนวทางการกำกับดูแล OTT ในประเทศต่างๆ จะช่วยให้เราเข้าใจถึงความท้าทายและโอกาสในการกำกับดูแลสื่อในยุคดิจิทัล และนำไปสู่การพัฒนากฎหมายและนโยบายที่เหมาะสมต่อไป

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

‘ศ.ดร. พิรงรอง รามสูต’ สะท้อนมุมมองต่อบทบาทของ กสทช. บนความท้าทายในโลกยุคแพลตฟอร์มดิจิทัล

Quantum Computing: พลังปฏิวัติอันยิ่งใหญ่หรือแค่คำโฆษณา?

×

Share

ผู้เขียน