Share on
×

Share

เทรนด์การตลาดปี 2025 และ Martech Tools ที่ต้องจับตามอง

เมื่อผู้บริโภคเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างรวดเร็ว นักการตลาดจึงต้องปรับตัวให้เร็วกว่า และปี 2025 นี้ ก็เป็นอีกหนึ่งปีที่ท้าทาย เพราะการเข้ามาของเทคโนโลยีใหม่ๆ นั้นกลายเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญที่ทำให้แบรนด์ต้องเร่งปรับกลยุทธ์เพื่อให้ตามทันโลกของการทำ Marketing ที่หมุนเร็วขึ้นกว่าเดิม

ดังนั้น การแค่ “รู้ใจ” ผู้บริโภคอาจไม่เพียงพออีกต่อไป เพราะผู้บริโภคยุคใหม่ต้องการได้รับประสบการณ์ที่ “ทันใจ” จากแบรนด์ มาดูกันว่าเทรนด์ที่ต้องจับตามองสำหรับนักการตลาดในปี 2025 นี้คืออะไร และต้องใช้ Martech Tool อะไรในการเข้ามาช่วยมัดใจลูกค้า มาหาคำตอบกันกับงาน FUTURE TRENDS AHEAD SUMMIT 2025 ในหัวข้อ Thailand’s Marketing & Commerce Strategies 2025: Trends, Insights, and Innovations จาก 2 นักการตลาดชั้นนำของไทย จิตติพงศ์ เลิศประดิษฐ์ (นายกสมาคม MarTech Association – Thailand) และ ณัฐพล ม่วงทำ (การตลาดวันละตอน)

สรุป 7 เทรนด์การตลาดไทยปี 2025 รู้ก่อนเร่งเครื่องก่อน

การตลาดเติมจริต (Over-acted Marketing) 

เป็นเทรนด์การตลาดที่ต้องเล่นใหญ่เพื่อให้โลกจำ เพราะโฆษณาที่ทำแบบเดิมๆ อาจไม่พอที่จะดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคอีกต่อไป ดังนั้นจึงต้องอาศัยความเวอร์เข้ามาช่วย และการเล่าเรื่องที่ดูเป็นบทบาทสมมติที่เกินจริงเข้ามาเป็นส่วนเสริมให้แบรนด์ดูมีความน่าสนใจ 

ยกตัวอย่างเช่น การทำการตลาดด้วยมาสคอต อย่างหมีเนยที่เป็นไวรัลทั่วบ้านทั่วเมือง หรือมาดาม ดรีมเวิลด์ มาสคอตที่ระบุว่าเป็น LGBTQ+ ซึ่งสะท้อนถึงความหลากหลายทางเพศ ไปจนถึงต่างประเทศที่มีแบรนด์ Jelly Cat ร้านขายตุ๊กตาที่เปลี่ยนการซื้อตุ๊กตาให้เป็นเหมือนการสั่งอาหารเช้าในคาเฟ่ สิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนส่วนเสริมทำให้แบรนด์มี Story ที่สนุกสนาน และช่วยดึงดูดลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น

เจาะแนวคิดหนังสือ “Customer Relationship Marketing” กับ หนุ่ย – การตลาดวันละตอน

Influencer Partnership

แบรนด์ไม่จำเป็นที่จะต้องจ้างอินฟลูเอนเซอร์แค่รีวิวสินค้าด้วยการขอให้ทำแค่การแชร์โพสต์ ลงรูปรีวิว หรือลงคลิปอธิบายสินค้าอีกต่อไป แต่ให้อินฟลูเอนเซอร์มีส่วนร่วมตั้งแต่การออกแบบสินค้าไปจนถึงการตั้งราคาเพิ่มเติมได้ ซึ่งเทรนด์นี้ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและทำให้สินค้าเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น Mr. Big x น้าเน็ก ที่ออกสินค้าชื่อว่า “หมอนเสย” ร่วมกัน หรือในต่างประเทศก็มี Gap x Julia Huynh อินฟลูเอนเซอร์สาย Hoodie ที่ได้ออกแบบเสื้อผ้า Hoodie มาให้กับทางแบรนด์ เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ชื่นชอบ Hoodie เหมือนกัน เป็นต้น

MBTI Marketing

การตลาดแบบเดิมจะพยายามติดตามพฤติกรรมของลูกค้า เพื่อนำมาออกแบบ Customer Journey แต่เทรนด์ใหม่นี้กำลังเป็นกระแสที่ทำได้ไกลกว่านั้นด้วยการใช้ MBTI (Myers-Briggs Type Indicator) ซึ่งเป็นแบบทดสอบทางจิตวิทยาที่คน Gen Z นำมาใช้ในการวิเคราะห์บุคลิกภาพกันบ่อยๆ ดังนั้น นักการตลาดจึงอาจจะนำเทรนด์นี้มาใช้ต่อยอดเพื่อออกแบบสินค้าและคอนเทนต์ให้ตรงใจมากขึ้น 

Emotion AI Marketing

คนยุคใหม่ เริ่มที่จะสะดวกใจในการคุยกับ AI มากกว่ามนุษย์ จากการที่มี ChatGPT เข้ามา จึงทำให้รูปแบบการพูดคุยกับ AI ได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะ AI นั้นให้ความรู้สึกที่เป็นกลาง ไม่ตัดสิน หลายคนจึงใช้ ChatGPT เพื่อขอคำแนะนำในเรื่องต่างๆ มากขึ้น แบรนด์ที่ต้องการเข้าถึงกลุ่มนี้ต้องเริ่มคิดใหม่เกี่ยวกับการใช้ AI เนื่องจากสิ่งนี้จะไม่ใช่แค่เครื่องมือที่มนุษย์ใช้ แต่อาจกลายเป็นเพื่อนของผู้บริโภค นอกจากนี้ ระบบ Chatbot และ AI ที่สามารถแสดงอารมณ์และตอบโต้เหมือนมนุษย์ กลายเป็นสิ่งที่คนรุ่นใหม่ให้ความไว้วางใจมากขึ้นด้วย ทำให้ในอนาคตอาจไม่ต้องใช้มนุษย์ในการตอบแชทอีกต่อไป

Pet-Centric Marketing

ตลาดสินค้าและบริการสำหรับสัตว์เลี้ยงเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สังเกตได้จากการเริ่มมีพื้นที่เฉพาะทางรองรับกลุ่มคนเลี้ยงสัตว์มากขึ้น เช่น โรงแรม Pet-Friendly คอนโดเลี้ยงสัตว์ได้ บริการสปาสัตว์เลี้ยง ไปจนถึงการมี Community สำหรับสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะ โดยมีกลุ่ม“Pet Humanization” หรือคนที่รักสัตว์เลี้ยงเหมือนลูกเป็นตัวขับเคลื่อน เพราะเป็นกลุ่มที่พร้อมจ่ายเพื่อให้สัตว์เลี้ยงมีชีวิตที่ดีที่สุด ดังนั้น แบรนด์ที่ต้องการเจาะตลาดนี้ ต้องลองออกแบบสินค้า/บริการที่เอาใจเจ้าของสัตว์เลี้ยงโดยตรง

Single Influencer

ความโสดไม่ใช่ปมด้อยแต่เป็นไลฟ์สไตล์สำหรับคนยุคนี้ เพราะในปัจจุบันเราจะเห็นกลุ่ม Influencer ที่ใช้ชีวิตโสดกำลังได้รับความนิยม จากการทำคอนเทนต์ที่สะท้อนการใช้ชีวิตโสดที่สนุกและสดใส ซึ่งเทรนด์นี้เปิดโอกาสให้แบรนด์สร้างแคมเปญที่เข้าถึงกลุ่มคนโสดแบบสนุกๆ ได้มากขึ้นจากกลุ่มอินฟลูเอนเซอร์ที่มีไลฟ์สไตล์ที่แตกต่าง เช่น คนที่ไปท่องเที่ยวคนเดียว คนที่รีวิวร้านอาหารคนเดียว ฯลฯ ซึ่งแบรนด์ที่ทำสินค้าหรือบริการก็ควรเริ่มต้นทำสินค้าหรือบริการที่ตอบสนองกับสไตล์คนโสดที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ให้ได้

Single Usage

เมื่อคนโสดเยอะขึ้น พื้นที่อยู่อาศัยเล็กลง และคนรักความสะดวกสบายมากกว่าที่เคย สินค้าที่ใช้ครั้งเดียวแล้วจบจึงได้รับความนิยม เช่น สกินแคร์แบบซองเดียว ใช้แล้วทิ้ง, ผลิตภัณฑ์ซีอิ๊วแบบเม็ด, ผลิตภัณฑ์ที่ทำออกมาเป็นกระดาษล้างจาน ฯลฯ ซึ่งช่วยลดการดูแลรักษา แถมประหยัดมากขึ้นสำหรับคนยุคใหม่ แบรนด์เองเวลาจะทำ Product ก็อาจจะต้องดูว่าปริมาณแบบไหนกันแน่ที่กลุ่มเป้าหมายต้องการ อาจจะไม่ใช่การซื้อเยอะแล้วคิดว่าคุ้มอีกต่อไป

อนาคตของ E-Coomerce เน้น Automate ทุกอย่างให้เร็วและแม่นยำขึ้น

พูดถึงเทรนด์กันไปแล้ว คราวนี้มาดูตลาดที่เติบโตในยุคปัจจุบันนี้อย่างตลาด E-Coomerce กันบ้างว่า ในปีนี้มีกระแสอะไรที่น่าสนใจบ้าง โดย จิตติพงศ์ เลิศประดิษฐ์ นั้นให้ข้อมูลไว้เทรนด์ของการขายของบนอีคอมเมิร์ซนั้นจะกลายเป็นการบริหารจัดการทุกกระบวนการขายแบบ End-to-End ผ่าน Martech (Marketing Technology) มากขึ้น โดยแบ่งแนวทางการใช้เครื่องมือออกเป็น สองกลุ่มหลัก ได้แก่ B2C (Business-to-Consumer) และ B2B (Business-to-Business)

Martech Tool สำหรับธุรกิจ B2C

การบริหารจัดการคอนเทนต์บน Social Media ด้วยเครื่องมือจัดการคอนเทนต์บน Social Media ที่สามารถวางแผนโพสต์ล่วงหน้า และกระจายคอนเทนต์ไปยังช่องทางต่างๆ ซึ่งทำให้ธุรกิจที่มีช่องทางการสื่อสารกับลูกค้าที่หลากหลาย สามารถดูแลแพลตฟอร์มที่มีอยู่ได้ง่ายและเร็วมากขึ้น

Order Management Platform เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจบริหารสินค้าข้ามแพลตฟอร์ม เช่น Lazada, Shopee หรือการขายของออนไลน์บนเว็บไซต์ของตัวเองได้ง่ายขึ้น ด้วยประโยชน์หลายด้าน เช่น การกระจายสินค้าตาม SKU ที่กำหนด เช่น ส่งไป Lazada 30 ชิ้น, Shopee 30 ชิ้น ฯลฯ, การอัปเดตหมายเลข Tracking อัตโนมัติ, การเชื่อมต่อคำสั่งซื้อจากทุกช่องทางเข้าไว้ด้วยกัน 

การใช้ Chat Bot โดยเฉพาะในธุรกิจที่ขายผ่าน Live Commerce หรือใช้แชทปิดการขาย ต้องมี Chatbot คอยช่วยลด Human Error และช่วยทำงานเวลาที่แอดมินไม่อยู่ได้ เช่น เวลาลูกค้าทักแชทเพื่อสั่งซื้อสินค้าในเวลากลางคืน ระบบก็จะแสดงราคาสินค้าพร้อมสรุปออเดอร์ให้ หากลูกค้าทำการโอนเงินและส่งสลิปมา ระบบก็จะตรวจสอบสลิปโอนเงินผ่าน AI OCR ได้ สุดท้ายส่งข้อมูลไปยังระบบจัดการออเดอร์ (OMS) ให้อัตโนมัติ

ใช้ Customer Data Platform (CDP) ในการช่วยรวบรวมข้อมูลลูกค้าเพื่อนำมาวิเคราะห์แนวโน้มการซื้อ เช่น วิเคราะห์ว่าลูกค้าซื้อสินค้าประเภทไหนบ่อย, ดูพฤติกรรมการซื้อซ้ำ และแนวโน้มการกลับมาซื้อ ฯลฯ ซึ่งสามารถนำไปใช้กับระบบ Automation Marketing เพื่อส่งโปรโมชันแบบ Personalization ได้

รู้จัก หนุ่ย-ณัฐพล ม่วงทำ นักย่อยกลยุทธ์ “การตลาดวันละตอน”

Martech Tool สำหรับธุรกิจ B2B

ธุรกิจ B2B มีกระบวนการขายที่ซับซ้อนกว่าการขายสินค้าให้ลูกค้าทั่วไป การตัดสินใจซื้ออาจต้องผ่านหลายขั้นตอน เช่น จากวิศวกร →ฝ่ายจัดซื้อ →เลขาผู้บริหาร  → CEO ทำให้เจอความท้าทายหลายอย่าง เช่น เจอกับSale Cycle ยาวกว่า 60 วัน, ต้องมีทีมขายหลายคนเพื่อปิดดีล จากการที่เจอกระบวนการตัดสินใจซับซ้อน และต้องเจอคนหลายระดับ, ช่องทางการขายหลักมักไม่ใช่ Social Media แต่เป็น CRM และ Sale Pipeline 

ดังนั้น B2B ต้องใช้ระบบ CRM (Customer Relationship Management) เพื่อติดตามลูกค้าตั้งแต่ Lead → ลูกค้าที่สนใจ → ลูกค้าที่พร้อมซื้อ เช่น บริษัทเครื่องจักรที่ขายสินค้าเครื่องละ 20-30 ล้านบาท มักใช้ CRM เพื่อติดตามกระบวนการขายที่มีลูกค้าเข้ามาต่อวัน 200 ราย แต่สุดท้ายเหลือเพียง 20 รายที่ซื้อจริง ระหว่างนั้นก็ต้องคอย Tracking ดูว่าลูกค้าอยู่ใน Stage ไหนแล้วบ้าง

นอกจากนี้ การทำ E-Commerce สำหรับ B2B ต้องใช้ระบบอัตโนมัติอย่าง Hyper-Automated ที่ช่วยลดขั้นตอนที่ยุ่งยากออกไปบ้าง เช่น ระบบจัดการคำสั่งซื้ออัตโนมัติ, การปรับราคาอัตโนมัติสำหรับลูกค้าแต่ละกลุ่ม, การส่งข้อมูลสินค้าไปยังลูกค้าตามความสนใจ เป็นต้น

แนะแนววางกลยุทธ์การตลาดสำหรับปี 2025 

รู้จักการทำ Immediately Marketing 

แบรนด์ต้องสามารถตอบสนองความต้องการได้ “ทันใจ” หรือที่เรียกว่า Immediately Marketing ซึ่งเป็นแนวทางการตลาดที่สามารถโต้ตอบกับลูกค้าได้ทันที โดยอาศัย Martech และระบบอัตโนมัติเข้ามาช่วย เช่น สร้าง Loyalty Program ด้วยระบบสะสมแต้มและสิทธิพิเศษเพื่อกระตุ้น Engagement, การ Trigger ลูกค้าบางอย่าง เช่น ตั้งค่าให้ระบบตอบสนองลูกค้าอัตโนมัติเวลาที่ลูกค้าเข้ามาดูสินค้าในจำนวนหน้าที่กำหนด, การออกแบบแบบฟอร์มเก็บข้อมูลที่จูงใจลูกค้าให้กรอกข้อมูลได้ง่ายขึ้น เช่น ธุรกิจอสังหาฯ อาจขอให้ลูกค้ากรอก Lead ข้อมูลก่อนพาไปชมบ้าน แต่บางคนอาจไม่อยากให้ข้อมูลเพราะได้สิ่งที่ต้องการแล้ว ดังนั้นต้องออกแบบวิธีเก็บ Lead ให้เหมาะสม เช่น ให้ข้อมูลพิเศษ หรือข้อเสนอพิเศษกับลูกค้าที่ให้ข้อมูลกับแบรนด์ตั้งแต่ก่อนเข้าชมบ้านตัวอย่าง เป็นต้น

วาง CRM Strategy

ด้วยการออกแบบ CRM Strategy เพื่อดูแลลูกค้าหลังจากที่ได้ข้อมูลเอาไว้ก่อนตั้งแต่แรก หลังจากนั้นให้เก็บข้อมูลลูกค้าผ่าน Customer Data Platform (CDP) และทำ Marketing Automation Campaign เช่น Onboarding ลูกค้าใหม่, ส่งคอนเทนต์ที่เหมาะกับแต่ละบุคคล ฯลฯ ซึ่งการทำ Marketing Automation ไม่ได้มีแค่ท่า Hard Sale เท่านั้นแต่ในความเป็นจริง ควรใช้เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า เช่น ทำ Onboarding ส่งอีเมลแนะนำสินค้าและบริการหลังจากที่ลูกค้าสมัคร และทำ Content Nurturing ตามความสนใจของลูกค้า 

วางแผนทำ Customer Data

หลังจากพยายามรวบรวมข้อมูลของลูกค้ามาเก็บไว้ นักการตลาดจะต้องเจอกับความท้าทายหลายอย่าง เช่น ข้อมูลลูกค้ามีหลายแหล่ง (Social Media, E-commerce, Website, CRM), Format ของข้อมูลแตกต่างกัน, การแบ่ง Segmentation ซึ่งก็ต้องมีการ Data Cleansing ก่อนใช้ มีการเชื่อมโยงข้อมูลผ่าน Data Warehouse หรือ CDP มีการวางว่า Data ชุดไหนใครเป็นคนใช้ เช่น บริษัทขนาดใหญ่ควรแยก Data Mart ตามแผนก เช่น ฝ่ายจัดซื้อ → Purchase Data, ฝ่ายขาย → Sales Data รวมถึงควรมี Data-driven Champion ในแต่ละฝ่าย ไม่ใช่ให้แค่ทีมไอทีหรือทีมการตลาดดูแล

ใช้ AI กับการจัดการข้อมูลลูกค้า

เช่น ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลจาก E-Commerce Platform เพื่อดูว่าสินค้าไหนขายดี, ใช้ AI ดึงข้อมูลจาก Data Warehouse เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า หรือถ้าลูกค้าให้ Consent (ยินยอมให้ใช้ข้อมูล) สามารถสร้าง Personalized Experience ได้ เช่น แสดงประวัติการซื้อสินค้าและแนะนำโปรโมชันที่เหมาะสม

แพลตฟอร์มที่จะมาแรงในปี 2025

สำหรับแพลตฟอร์มที่จะเอามามีอิทธิพลในปี 2025 นี้ก็คงจะหนีไม่พ้น Chat GPT หรือ Generative AI ต่างๆ ซึ่งเด็กยุคใหม่ใช้ AI Chat มากขึ้น แทนที่จะเสิร์ชใน Google แล้วในขณะนี้ สาเหตุเพราะAI ตอบคำถามให้ “เสร็จในตัว” โดยไม่ต้องคลิกหลายเว็บไซต์ เช่น แทนที่จะค้นหา “อาหารที่ต้องกินในโอซาก้า” บน Google การใช้ Chat GPT ก็สะดวกกว่าตรงที่ AI จะสรุปข้อมูลอาหารยอดนิยม พร้อมแนะนำร้านอาหารที่ควรไปมาให้เลย ดังนั้น ธุรกิจที่อยากถูกหยิบขึ้นมาเป็นคำตอบให้กับกลุ่มเป้าหมายก็ต้องทำให้ AI นำเสนอแบรนด์ของคุณเป็นคำตอบ นั่นคือ การทำ Search Generative Experience (SGE) เนื่องจาก AI จะไม่ดึงข้อมูลจากแค่ Keyword เหมือนกับการทำ SEO แต่จะเลือกข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือและสอดคล้องกับสิ่งที่คนค้นหา ดังนั้น เทรนด์การค้นหาก็จะเปลี่ยนจาก Keyword-Based เป็น Context-Based ทีม Marketing และ PR จึงต้องร่วมมือกัน เพื่อให้ AI นำเสนอธุรกิจของคุณเป็น “Final Answer” ให้ได้

จะเห็นว่า ปี 2025 นี้เป็นปีที่นักการตลาดต้องปรับตัวเร็วกว่าเดิม เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เทรนด์ และเทคโนโลยีใหม่ๆ กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้น โดยเฉพาะ AI, Automation และ การทำ Data-Driven Marketing อย่างการเก็บข้อมูลด้วย Martech Tool ต่างๆ เพื่อนำข้อมูลมาใช้งานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนั้น จึงควรรู้เท่าทันกระแส และติดตามการใช้งาน Tool ต่างๆ ที่เข้ามาเสริมทัพให้การทำงานนั้นรวดเร็วและมัดใจกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ เพื่อให้เอาชนะคู่แข่งในสนามการแข่งขันที่ดุเดือดบนโลกออนไลน์และกลายเป็น Top of mind ได้อย่างแท้จริง

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

Jubilee ผนึก POP MART เปิดตัวคอลเลกชันพิเศษ ขยายตลาดสู่ Gen Z

CKPower ปี 2567 กวาดรายได้ 10,789 ล้านบาท

บางจากฯ ปรับโครงสร้างธุรกิจ เพิ่มประสิทธิภาพและความคล่องตัว

×

Share

ผู้เขียน