Share on
×

Share

ดันจีดีพีโต 3.5% อย่าหวังปาฎิหาริย์เศรษฐกิจ

จีดีพี 3% กลับมาเป็นประเด็นอีกครั้ง หลังสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ แถลงสรุปภาพรวมเศรษฐกิจครั้งแรกของปีนี้ว่า ไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้วจีดีพีโต 3.2% เร่งขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่โต 3% และสรุปทั้งปี จีดีพีขยายตัว 2.5% ดีกว่าปี 2566 ที่ขยายตัว 2% ส่วนปีนี้ 2568 คาดจีดีพีจะขยายตัวระหว่าง 2.3-3.3% หรือค่ากลางอยู่ที่ 2.8% โดยรวมเอามาตรการแจกเงินผ่านโครงการ ดิจิทัล วอลเล็ตของรัฐบาล 

ตัวเลขคาดการณ์ของสภาพัฒน์ ค่อนข้างสวนทางกับรัฐบาลที่ประกาศวางเป้าดันจีดีพีปีนี้ให้โตมากกว่า 3%

สภาพัฒน์ให้เหตุผลว่า ความเสี่ยงจากนโยบายสหรัฐฯยุคโดนัลด์ ทรัมป์ 2.0 โดยเฉพาะมาตรการขึ้นอัตราภาษีนำเข้า และการจัดเก็บภาษีศุลกากร อาจทำให้จีดีพีไม่ถึง 3% ส่วนเป้าหมายของรัฐบาลที่จะดันจีดีพีปีนี้โต 3.5% ดนุชา พิทยนันท์ เลขาฯสภาพัฒน์ฯ มองอย่างอิงหลักการว่า ต้องมีมาตรการ ส่งเสริมการลงทุนและการกระตุ้นการบริโภคโดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชน และการลงทุนภาครัฐ

ภาพรวมเศรษฐกิจปีที่แล้ว สภาพัฒน์สรุปดีขึ้นเกือบทุกหมวด แต่การลงทุนภาคเอกชนยังหดตัวโยเฉพาะการผลิตยานยนต์และอสังหาริมทรัพย์

โยงจากประเด็นความเสี่ยงข้างต้น เลขาฯสภาพัฒน์นำเสนอไอดียแบบหยั่งเชิงกีบรัฐบาลว่า…ในส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต้องดูช่วงเวลาที่เหมาะสม รวมถึงต้องพิจารณาเม็ดเงินที่เหลืออยู่ ดนุชามองว่าหลังจากรัฐบาลแจกเงินหมื่นกลุ่มเปราะบางและผู้สูงอายุแล้ว ยังมีเม็ดเงินเหลืออยู่ 1.57 แสนล้านบาท โดยช่วงครึ่งปีหลังเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม ในการกระจายเม็ดเงินลงทุนภาครัฐ

การบริหารจัดการน้ำขนาดเล็กมูลค่า 5-10 ล้านบาทต่อโครงการ เพื่อกระจายเม็ดเงินไปในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ คือโครงการที่เลขาฯสภาพัฒน์มองว่า แพ็กเกจลงทุนแบบนี้ จะเป็นปัจจัยส่งเสริมการลงทุนในระยะยาว เสริมความมั่นคงในการบริหารจัดการน้ำทั่วประเทศ และยังช่วยเพิ่มดีมานด์ความต้องการรถกระบะ ซึ่งจะส่งผลผูกโยงไปถึงอุตสาหกรรมยายนต์ที่กำลังยอบแยบอีกด้วย

สื่อยิงคำถาม แพทองธาร ชินวัตร นายกฯระหว่างประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจรที่ปักษ์ใต้สัปดาห์ก่อน โดยอ้างคำแถลงจากสภาพัฒน์ นายกฯยืนยันกลับมาว่า รัฐบาลตั้งเป้า ( จีดีพี 68) ไว้ 3% และพยายามดันให้ไป 3.5% โดยมั่นใจว่าช่วงที่เหลือของปี จะผลักดันการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างเต็ม โดยรัฐบาลจะขอความร่วมมือจาก ธนาคารพาณิชย์และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) 

นายกฯอ้างด้วยว่าเศรษฐกิจปี 2567 ดีขึ้นทุกมิติ แต่การลงทุนภาคเอกชนหดตัว เพราะธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมหรือเอสเอ็มอีที่มีสัดส่วน 75% ของประเทศ ได้รับการปล่อยสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์น้อย โดยจะเห็นได้ว่าเป็นเวลานับ 10 ปีที่การพัฒนาธุรกิจต่างๆของภาคเอกชนลดน้อยลง บางอุตสาหกรรมที่เก่าไปแล้ว ไม่ได้รับเงินสินเชื่อในการพัฒนา ภาครัฐพยายามทำทุกเรื่องเพื่อสนับสนุนการกระตุ้นเศรษฐกิจ และกระตุ้นให้ภาคเอกชนมีการลงทุนเพิ่มเติมมากยิ่งขึ้น เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน เรื่องการปล่อยสินเชื่อให้ภาคธุรกิจ

ความเห็นนายกฯเหมือนสื่อเป็นนัย ๆ ว่า การที่ธนาคารพาณิชย์ปล่อยกู้เอสเอ็มอีน้อย และแบงก์ชาติยังไม่ลดดอกเบี้ย คือ เหตุในปัจจัยที่ให้จีดีพีปีนี้โตไม่ถึง 3% พลัส

ด้าน จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลังคนที่หนึ่ง ตอบสื่ออย่างมั่นใจมากว่า จีดีพีปีนี้โตมากกว่า 3% แน่ จากดิจิทัล วอลเล็ต เฟส 3 (ราว 1.57 แสนล้านบาท) ซึ่งจะไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจช่วงไตรมาส 2 ของปีจะทำให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ ช่วยกระเศรษฐกิจให้ได้ถึง 0.2%

นอกจากนี้  คณะอนุกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจได้เตรียมมาตรการและกลไกกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มได้อีก 0.5% และพยายามดันจีดีพีในภาพรวมให้ถึง 3.5% และปีนี้ยังมีกลไกการนำยอดการซื้อสินค้ามาลดหย่อนภาษี หรือ easy e-receipt เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

รมช.คลัง คนที่หนึ่งยังขยายมุมมองว่า การแจกเงินผ่านดิจิทัล วอลเล็ต ทำให้เม็ดเงินลงถึงประชาชน เมื่อนำไปจับจ่ายใช้สอยจะกระตุ้นเศรษฐกิจโดยตรง แต่การสร้างแหล่งน้ำทั่วประเทศของสภาพัฒน์ ซึ่งต้องผ่านการจัดซื้อจัดจ้างกว่าเม็ดเงินจะลงระบบมีความล่าช้า

ความเห็นข้างต้นสะท้อนมุมมองรัฐบาลได้ระดับหนึ่งว่า โอกาสที่รัฐบาลจะซื้อไอเดีย ใช้งบประมาณฯอย่างเหมาะสม ด้วยการสร้างแหล่งน้ำทั่วประเทศการแจกเงินของสภาพัฒน์ มีน้อยถึงน้อยมาก

เป้าหมายนายกฯแพทองธาร ดันจีดีพีปีนี้โต 3% และจะพยายามดันให้ถึง 3.5% นับว่าสุดท้าทาย เพราะไม่สำนักวิเคราะห์ไหนมองว่า จีดีพีปีนี้จะโตถึง 3% แม้แต่รายเดียว

ในความเป็นไปลักษณะนี้รัฐบาลไม่ควรตั้งความหวังจาก การแจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจมากเกินไป ดูตัวอย่างปีที่แล้วกระทรวงการคลังคาดว่าดิจิทัล วอลเล็ต จะช่วยดัน จีดีพีปี 2567 โตได้กว่า 3% ก่อนจบลงอย่างที่เห็น  

การเมืองอาจมีปาฎิหาริย์ได้ แต่การบริหารแศรษฐกิจปาฎิหาริย์ไม่มีอยู่จริง

บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน

ถ้าเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์มา โฉมหน้าเมืองเทวดาจะเป็นเช่นไร?

ปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 วาระตลอดชาติ…

แก๊งคอลเซ็นเตอร์ มี ‘ไทยเทา’ เอี่ยวด้วยหรือไม่?

×

Share

ผู้เขียน