ที่งาน Future Trends Ahead Summit 2025 มีหัวข้อที่น่าสนใจเกี่ยวกับการบริหารภาครัฐที่กำลังเผชิญจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ อย่างการบริหารภาครัฐยุคใหม่ผ่านแนวคิด 3C 4D โอกาสและความท้าทายของไทยในเศรษฐกิจโลก และเมกะเทรนด์ด้าน AI ความยั่งยืน สังคมสูงวัย และภูมิรัฐศาสตร์ ไทยต้องเตรียมพร้อมอย่างไรเพื่อรับมือกับอนาคตที่กำลังมาเร็วกว่าที่คิด
ในหัวข้อ “Future of Thai Public Management: Adapting to the 3C 4D Phenomenon” โดย รศ.ดร.ปกรณ์ ศิริประกอบ คณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ข้อมูลว่า ภาครัฐไทยกำลังก้าวเข้าสู่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ เทคโนโลยีเข้ามาเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหาร และประชาชนมีความคาดหวังสูงขึ้นต่อคุณภาพการให้บริการสาธารณะ แนวคิด 3C และ 4D จึงกลายเป็นกรอบแนวทางสำคัญที่ภาครัฐต้องปรับใช้เพื่อให้ทันต่อโลกสมัยใหม่ ไม่ใช่แค่เพื่อเอาตัวรอดจากความเปลี่ยนแปลง แต่เพื่อสร้างระบบราชการที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง
3C ปรับบทบาทภาครัฐเพื่อสร้างความร่วมมือและการมีส่วนร่วม
- Complaint Management – การบริหารภาครัฐยุคใหม่ได้รับอิทธิพลจาก New Public Management (NPM) ที่เปลี่ยนแนวคิดของประชาชนจาก ผู้รับบริการ มาเป็น ลูกค้า โดยเน้นผลลัพธ์และความพึงพอใจเป็นสำคัญ อย่างไรก็ตาม ประชาชนยุคปัจจุบันมีความคาดหวังที่สูงขึ้น เมื่อไม่ได้รับบริการตามที่คาดหวังก็พร้อมจะเรียกร้องสิทธิ์ของตนเอง
ประชาชนวันนี้ไม่ใช่แค่ผู้รับบริการ แต่เป็นลูกค้าที่รู้สิทธิของตัวเองมากขึ้น ดังนั้น Complaint Management จึงเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของการบริหารภาครัฐยุคใหม่ ภาครัฐต้องพัฒนาเครื่องมือที่สามารถตอบสนองต่อข้อร้องเรียนได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เพื่อลดแรงเสียดทานและสร้างความไว้วางใจระหว่างรัฐกับประชาชน - Citizen Active & Citizen Centric – แนวคิด New Public Service (NPS) เน้นให้ภาครัฐมองประชาชนเป็น พลเมือง (Citizen) ที่มีบทบาทในการกำหนดและขับเคลื่อนนโยบาย เป้าหมายสำคัญคือ การสร้าง Active Citizen หรือพลเมืองที่มีส่วนร่วมในการพัฒนาและบริหารประเทศ ภาครัฐต้องเปิดพื้นที่ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น ตั้งแต่การแสดงความคิดเห็นทางนโยบาย ไปจนถึงการร่วมมือกันออกแบบบริการสาธารณะ
- Collaboration – ในอดีต ภาครัฐมักทำหน้าที่เป็น ผู้ให้บริการหลัก แต่ปัจจุบันแนวทางนี้ไม่เพียงพออีกต่อไป จาก Old Public Management (OPM) ที่รัฐดำเนินการเองทุกอย่าง มาเป็น New Public Management (NPM) ที่ให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วม และล่าสุดแนวคิด New Public Service (NPS) มุ่งเน้นความร่วมมือกับ ภาคเอกชน องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร และภาคประชาสังคม เพื่อสร้างระบบบริการที่มีคุณภาพ ครอบคลุม และยั่งยืน
4D ขับเคลื่อนภาครัฐด้วยเทคโนโลยีและความยืดหยุ่น
1. Digital Government – ในยุคที่เทคโนโลยีกลายเป็นศูนย์กลางของการดำเนินชีวิต E-Government ไม่เพียงพออีกต่อไป แต่ต้องพัฒนาไปสู่ Smart Government ที่สามารถใช้ Generative AI, Big Data และ IoT เพื่อสร้างระบบที่แม่นยำและรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น ฮ่องกง ที่พัฒนา Mobile-Friendly Government Services ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการรัฐผ่านมือถือได้ง่ายขึ้น หรือการใช้ AI เพื่อแปลภาษาข้อมูลเว็บไซต์ภาครัฐให้รองรับการใช้งานในหลายภาษา
2. Data-Driven Government – การตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูล (Data-Driven Decision Making) เป็นปัจจัยสำคัญของภาครัฐยุคใหม่ ข้อมูลคือพลังของภาครัฐยุคดิจิทัล การใช้ Big Data, AI Analytics, Policy Labs และ Internet of Things (IoT) จะช่วยให้ภาครัฐสามารถคาดการณ์แนวโน้ม และปรับนโยบายให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนแบบเรียลไทม
3. Diversity & Inclusion – แนวคิด Sustainable Development Goals (SDG) ขององค์การสหประชาชาติให้ความสำคัญกับ Equity, Sustainability และ Environmental Protection ภาครัฐต้องคำนึงถึง ความหลากหลายของประชากร ไม่ว่าจะเป็น การออกแบบบริการที่ครอบคลุมทุกเพศ (All-Gender Restrooms) การสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับผู้ด้อยโอกาส การออกนโยบายที่ช่วยลดช่องว่างทางสังคม บริการภาครัฐต้องตอบสนองประชาชนทุกกลุ่ม ไม่ใช่แค่บางกลุ่ม
4. Disruption-Proof Public Service – โลกปัจจุบันเผชิญกับภาวะความไม่แน่นอนสูงขึ้น เช่น ภาวะโลกร้อน (Global Boiling) ผลกระทบจาก COVID-19 การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี เช่น AI และ Automation แนวคิด VUCA (Volatility, Uncertainty, Complexity, Ambiguity) และ BANI (Brittle, Anxious, Nonlinear, Incomprehensible) สะท้อนถึงความซับซ้อนของโลกที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้า การบริหารภาครัฐต้องมีความยืดหยุ่นสูง และพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลง
โดยสรุป หากภาครัฐสามารถนำแนวคิด 3C 4D ไปปรับใช้ได้อย่างแท้จริง จะสามารถสร้างระบบราชการที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้มากขึ้น การเปลี่ยนผ่านนี้ไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นความจำเป็นสำหรับอนาคตของภาครัฐไทย
หัวข้อ The Keynote on Trade 2025: Opportunities, Challenges, and the Road Ahead สนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย พูดถึง โลกธุรกิจและเศรษฐกิจโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากผลกระทบของนโยบายเศรษฐกิจของประเทศมหาอำนาจ การแข่งขันทางการค้าถูกยกระดับจากสงครามภาษี (Trade War) ไปสู่สงครามเทคโนโลยี (Tech War) ที่ส่งผลต่อทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจ ประเทศไทยไม่สามารถอยู่เฉยได้อีกต่อไป ธุรกิจไทยต้องเร่งปรับตัว รับมือกับความเปลี่ยนแปลง และสร้างโอกาสของตัวเอง
สงครามการค้าและผลกระทบต่อธุรกิจไทย
การแข่งขันระหว่างจีนและสหรัฐฯ ได้ขยายจากเรื่องการค้าสู่เทคโนโลยี สหรัฐฯ ใช้มาตรการภาษีและข้อจำกัดทางกฎหมายเพื่อสกัดกั้นความก้าวหน้าของจีน เช่น การขึ้นภาษีชิปเซ็ต อุปกรณ์ EV และแผงโซลาร์เซลล์ ในขณะที่จีนตอบโต้ด้วยการควบคุมการส่งออกวัตถุดิบที่จำเป็นต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น แร่หายาก (Rare Earths) ในภาวะแบบนี้ ไทยจำเป็นต้องวางกลยุทธ์รองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นห่วงโซ่อุปทานสำคัญของโลก
เวียดนาม จากคู่แข่งสู่พันธมิตรทางเศรษฐกิจ “เราต้องเปลี่ยนคู่แข่งเป็นคู่ค้า” สนั่นกล่าว พร้อมเน้นว่าประเทศไทยและเวียดนามสามารถสร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ์แทนการแข่งขันโดยตรง เวียดนามกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในฐานะฐานการผลิตของบริษัทระดับโลก เช่น Apple, Samsung และ Intel เนื่องจากมีค่าจ้างแรงงานต่ำและได้รับสิทธิพิเศษจากนักลงทุนต่างชาติ นอกจากนี้ VinFast ได้กลายเป็นแบรนด์ยานยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของอาเซียน ส่งผลให้เวียดนามเป็นศูนย์กลางการผลิต EV ที่สำคัญ อย่างไรก็ตาม ไทยยังคงได้เปรียบในด้าน แบรนด์ อาหาร และการท่องเที่ยว ซึ่งสามารถใช้เป็นจุดแข็งเพื่อสร้างความร่วมมือและเพิ่มขีดความสามารถทางเศรษฐกิจ
3 ทิศทางกำหนดการค้าโลก 2025

โลกการค้าในปี 2025 กำลังถูกขับเคลื่อนด้วย 3 แนวทางหลัก ได้แก่ America First, China’s Strategy 2025, และ Supply Chain Realignment
America First มุ่งเน้นการลดการขาดดุลการค้าผ่านมาตรการภาษีที่เข้มงวด และส่งเสริมการผลิตภายในประเทศภายใต้นโยบาย Made in Americaขณะที่จีนใช้กลยุทธ์ Belt & Road Initiative (BRI) 2.0 เพื่อขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจในประเทศกำลังพัฒนา และผลักดัน Made in China 2025 เพื่อเป็นศูนย์กลางด้าน AI, Semiconductor และ EV
ขณะเดียวกัน Supply Chain Realignment กำลังเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทานของโลก หลายบริษัทใช้กลยุทธ์ China +1 Strategy เพื่อลดการพึ่งพาจีน และกระจายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นๆ เช่น เวียดนาม อินเดีย และไทย ขณะที่สหรัฐฯ และยุโรปผลักดันแนวคิด Friendshoring & Nearshoring โดยนำซัพพลายเชนกลับมาใกล้ภูมิภาคของตนเอง ไทยต้องเป็น Smart Player ไม่ใช่แค่ Follower สนั่นเน้นว่า “Smile Curve ชัดเจนว่า มูลค่าไม่ได้อยู่ที่การผลิต แต่อยู่ที่ R&D และการสร้างแบรนด์” หากไทยยังคงอยู่ในกับดักประเทศรายได้ปานกลาง (Middle Income Trap) การเติบโตทางเศรษฐกิจจะหยุดชะงัก ไทยต้องเร่งพัฒนา 5 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่
- ปฏิรูปการศึกษา ใช้โมเดลการเรียนรู้แบบ Project-Based Learning และพัฒนาหลักสูตรที่ตรงกับความต้องการของตลาด
- พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน R&D ส่งเสริมการลงทุนในงานวิจัยและเทคโนโลยี
- กระตุ้นให้ภาคเอกชนลงทุนในเทคโนโลยีของตัวเอง ลดการพึ่งพาการลงทุนจากต่างชาติ
- สร้างสตาร์ตอัพและบริษัทเทคโนโลยีไทย สนับสนุน Tech Startup ในด้าน AI, Fintech และ Cybersecurity
- พัฒนาศักยภาพด้านการตลาดและสร้างแบรนด์ไทยในระดับโลก ทำให้สินค้าของไทยเป็นที่รู้จักมากขึ้น
โดยสรุป อนาคตของไทยต้องวางรากฐานที่แข็งแรงตั้งแต่วันนี้ เราไม่มีเวลารอ เนื่องจากโลกธุรกิจกำลังเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ประเทศที่สามารถปรับตัวและสร้างโอกาสของตัวเองได้จะเป็นผู้นำในเวทีโลก โอกาสไม่ได้มีไว้รอ แต่ต้องสร้างขึ้นมา
หัวข้อ Twists & Turns 2025: Megatrends in AI, Sustainability, Aging, and Geopolitics โดย ดร.สันติธาร เสถียรไทย นักเศรษฐศาสตร์ นักเขียนและผู้บริหาร แนวโน้มสำคัญที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจและสังคมในปี 2025 โดยเน้น 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ AI, ความยั่งยืน (Sustainability), สังคมสูงวัย (Aging Society), และภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical)
4 เทรนด์ Twists & Turns ที่พลิกเกมโลก

โลกกำลังหมุนเร็วขึ้น และกฎของเกมธุรกิจกำลังเปลี่ยนแปลง ปี 2025 จะไม่ใช่โลกใบเดิมที่เราคุ้นเคย ทุกสิ่งกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็น AI ที่ฉลาดขึ้น สงครามภูมิรัฐศาสตร์ที่ซับซ้อนขึ้น เศรษฐกิจที่พลิกขั้ว หรือประชากรที่สูงวัยขึ้น เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วกว่าที่เคย คำถามคือ เราจะรับมือและคว้าโอกาสจากคลื่นลูกใหญ่นี้ได้อย่างไร?
- AI Twist – AI ไม่ใช่แค่เครื่องมืออีกต่อไป แต่มันกำลังกลายเป็นการปฏิวัติทางปัญญา เห็นได้จาก ChatGPT ที่ใช้เวลาเพียงสองเดือนในการเข้าถึงผู้ใช้ 100 ล้านคน เทียบกับ Facebook ที่ต้องใช้เวลาถึงสี่ปี หรือ Deepseek ที่กำลังสร้างความเปลี่ยนแปลงในวงการ AI การแข่งขันไม่ได้อยู่ที่ใครพัฒนาเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ากว่าเท่านั้น แต่ยังอยู่ที่การทำให้ AI สามารถเข้าถึงได้ง่ายยิ่งขึ้น
ในแง่ของการทำงาน AI มีบทบาทสำคัญในกระบวนการเบื้องหลัง เช่น การเขียนบทความ การวิเคราะห์ข้อมูล และการสร้างไอเดีย ธุรกิจที่สามารถปรับการทำงานให้มนุษย์และ AI ทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพจะได้เปรียบ ในขณะเดียวกัน AI กำลังเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภค การตลาดที่ใช้ AI สามารถวิเคราะห์และทำนายพฤติกรรมลูกค้าได้แม่นยำขึ้น ทำให้ธุรกิจที่ไม่ปรับตัวอาจถูกทิ้งไว้ข้างหลัง - Geopolitical Twist – สงครามภูมิรัฐศาสตร์ไม่ได้เป็นเรื่องของประเทศมหาอำนาจเท่านั้น แต่กำลังส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนของธุรกิจและเศรษฐกิจโลก
หนึ่งในแนวโน้มสำคัญคือการเปลี่ยนแปลงของการลงทุนระดับโลก เงินทุนจำนวนมากกำลังไหลออกจากจีน และอาเซียนกำลังก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางใหม่ของเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตาม ไทยต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ ซึ่งดึงดูดนักลงทุนต่างชาติได้มากกว่า
นอกจากนี้ ไทยกำลังเผชิญภาวะสมองไหล ผู้มีความสามารถจำนวนมากกำลังย้ายออกไปทำงานต่างประเทศ ในขณะเดียวกัน ประเทศไทยกำลังกลายเป็นจุดหมายปลายทางใหม่ของชาวต่างชาติที่ต้องการเข้ามาลงทุนและใช้ชีวิต ทำให้โครงสร้างตลาดแรงงานและเศรษฐกิจในประเทศต้องปรับตัวอย่างต่อเนื่อง - Demographic Twist – เมื่ออายุขัยของประชากรเพิ่มขึ้น คำถามสำคัญคือ สุขภาพของผู้คนจะดีขึ้นตามไปด้วยหรือไม่ แนวโน้มใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นคือแนวคิด Healthspan หรือคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว ซึ่งจะมีความสำคัญมากกว่าคำว่า Lifespan ที่หมายถึงการมีชีวิตที่ยืนยาวเพียงอย่างเดียว
Care Economy กำลังกลายเป็นหนึ่งในภาคธุรกิจที่เติบโตเร็วที่สุด ตลาดสินค้าและบริการที่ช่วยให้ผู้สูงวัยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เช่น เทคโนโลยีเพื่อสุขภาพ โภชนาการเชิงลึก การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และการดูแลผู้สูงอายุ มีแนวโน้มขยายตัวสูง ธุรกิจที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มประชากรนี้จะมีโอกาสเติบโตได้อย่างมหาศาล - Sustainability Twist – ปัญหาสิ่งแวดล้อมกำลังทวีความรุนแรงมากขึ้น และจะกลายเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่กระทบต่อทุกอุตสาหกรรม ตั้งแต่ภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรมการผลิต ไปจนถึงการท่องเที่ยว การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ เช่น ปัญหาฝุ่น PM2.5 น้ำท่วม และภาวะโลกร้อน กำลังสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของผู้คน
หากธุรกิจไม่สามารถปรับตัวได้ จะเผชิญกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แนวทางสำคัญสำหรับธุรกิจคือการวางแผนเชิงรุกเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม Sustainability ไม่ใช่แค่เรื่องของ CSR แต่เป็นกลยุทธ์ที่สามารถสร้างผลกำไรระยะยาวได้ การพัฒนาธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนตั้งแต่ต้นทางจะช่วยลดความเสี่ยงและสร้างมูลค่าเพิ่มในอนาคต
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
“เครื่องบินส่งมอบช้า” ฉุดการบินไทยขยายตลาด ลุ้นนำหุ้นกลับเข้าเทรด มิ.ย.นี้ หลังออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ
SCB วาง 3 กลยุทธ์ ตั้งเป้าขึ้นแท่นเบอร์ 1 ธุรกิจ Wealth ในปี 69
เปิดตัวเพจ “Wisdom on the House” พื้นที่เรียนรู้ฟรี ที่ใครก็เข้าถึงได้