ในยุคนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก “ไมโครซอฟท์ (Microsoft)” แพลตฟอร์มเทคโนโลยีที่เข้ามาขับเคลื่อนธุรกิจให้สามารถทำงานได้อย่างราบรื่น แต่หลายคนอาจจะรู้จักกับไมโครซอฟท์ ในมุมของการเป็นซอฟต์แวร์ ก่อนจะขยับสู่การเป็น Cloud Company และในวันนี้กำลังจะก้าวเข้าสู่บทบาทใหม่กับการเป็น AI Company แบบเต็มตัว และกำลังจะเพิ่ม Use Case ในไทยให้มากขึ้นเพื่อพัฒนาศักยภาพทั้งด้าน คน ข้อมูล และเทคโนโลยีในประเทศไทยให้เติบโตไปพร้อมกัน
เดิมทีพนักงานเข้ามาใช้ออฟฟิศต่ำกว่า 30% แต่สำหรับออฟฟิศใหม่ บริษัทตั้งใจอยากให้พนักงานเข้ามาใช้ออฟฟิศมากกว่า 50% เพราะต้องการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เข้มแข็งที่ไม่สามารถสร้างได้ผ่านออนไลน์ ไม่เหมือนกับการทำงานที่สามรถทำงานแบบ Hybrid ได้ ออฟฟิศใหม่ที่ชั้น 35 Tower 4 One Bangkok พื้นที่เล็กลงกว่าเดิมเท่าตัว แต่รองรับการทำงาน เพราะบริหารแบบ Hot Seat คือไม่มีที่นั่งประจำของใคร แม้แต่ตัวเอ็มดีเอง
เปิดเป้าหมายของการสร้างต้นแบบออฟฟิศยุคใหม่ในไทย
ตลอด 50 ปีของไมโครซอฟท์ทั่วโลก และ 32 ปีในประเทศไทย ไมโครซอฟท์ได้ก้าวผ่านทุกยุคสมัยด้วยพันธกิจสำคัญ คือ การช่วยให้ทุกคนและองค์กรทุกระดับบรรลุผลสำเร็จที่มากขึ้น ซึ่งความสำเร็จนี้เกิดจากวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่งอย่างการสร้างให้พนักงานมี Growth Mindset หรือแนวคิดที่สนับสนุนให้ทุกคนเรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่องภายในองค์กร รวมถึงมุ่งมั่นที่จะปรับตัวให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี โดยเฉพาะในปัจจุบันที่ AI กลายเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจ ไม่ใช่เพียงแค่ด้านเทคนิคเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงกับมุมมองทางธุรกิจโดยตรง
และนี่คือโจทย์ที่สำคัญที่ทีมเทคนิคของไมโครซอฟท์ต้องเผชิญ คือ การต่อโมเดล AI เข้าหากันอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เหมาะสมสำหรับผู้ใช้งานได้มากที่สุด ซึ่งประกอบด้วย 3 แนวทางหลัก ได้แก่
- ทำให้ AI มีประสิทธิภาพสูงสุดด้วยการปรับปรุงโมเดลให้ทำงานได้อย่างเหมาะสม
- ทำให้คำตอบที่ AI สร้างขึ้นมีเหตุผล แต่ก็ยังควบคุมและตรวจสอบได้
- ทำให้ AI สามารถประมวลผลและตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ได้แบบเรียลไทม์
ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ไมโครซอฟท์เน้นย้ำถึงการให้ความสำคัญกับการสร้าง Impact ผ่านเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจประเภทไหน หากต้องนำ AI มาใช้จะต้องนำไปทำงานได้จริง เพราะเทคโนโลยีจะไม่มีความหมายเลยหากไม่สามารถสร้าง Impact ที่แท้จริงให้กับผู้ใช้งานได้
ดังนั้น ในปี 2025 นี้ ไมโครซอฟท์จะทำให้เห็น Use Case ใหม่ ๆ ของการประยุกต์ใช้ AI ในหลากหลายอุตสาหกรรมมากขึ้น และหนึ่งในจุดเน้นสำคัญคือ Inclusive AI หรือ AI ที่เข้าถึงได้สำหรับทุกคน ตัวอย่างเช่น Co-Pilot AI ที่ไมโครซอฟท์ได้พัฒนาให้รองรับการทำงานในระดับลึกมากขึ้น ด้วยฟีเจอร์ใหม่อย่าง Deep Thinking ที่สามารถอธิบายผลลัพธ์ของโจทย์คณิตศาสตร์ได้อย่างละเอียด
ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงแนวทางในการออกแบบออฟฟิศใหม่ของไมโครซอฟท์ในไทย ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ทำงาน แต่เป็นพื้นที่ที่สนับสนุนการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรในด้าน Soft Skills และสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้พนักงานสามารถเป็นตัวของตัวเองและแสดงศักยภาพออกมาได้มากที่สุด

สำรวจ “ไมโครซอฟท์” องค์กรยุคใหม่ สร้าง Innovation Hub สำหรับพนักงาน
ไมโครซอฟท์ได้ทำการสำรวจบริษัทกว่า 220 บริษัทใน 9 ประเทศ โดยสัมภาษณ์คนจำนวนกว่าล้านคน เพื่อศึกษาปัจจัยที่ทำให้สถานที่ทำงานมีประสิทธิภาพสูง (High Performance Culture) และวิธีที่องค์กรสามารถพัฒนาไปสู่ความเป็นเลิศ ผลการสำรวจชี้ให้เห็นว่า การสร้างผลกำไรไม่ใช่เพียงตัวชี้วัดเดียวขององค์กรที่ประสบความสำเร็จอีกต่อไป แต่ปัจจัยสำคัญในปัจจุบันคือ “คน”
องค์กรที่มีทีมงานที่มีประสิทธิภาพสูง (Productive Teams) จะเป็นองค์ประกอบสำคัญของวัฒนธรรมการทำงานแบบ High Performance ซึ่งนำไปสู่ความสามารถในการแข่งขันและการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว คำว่า High Performing Company ในปัจจุบันไม่ได้ถูกกำหนดจากกำไรเพียงอย่างเดียว แต่ถูกวัดจากระดับ Engagement, Productivity และ Creativity ของพนักงานด้วย
และเพื่อรองรับแนวคิดดังกล่าว ไมโครซอฟท์จึงให้ความสำคัญกับการจัดการสภาพแวดล้อมการทำงานที่สนับสนุนความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน รวมถึงการทำให้สถานที่ทำงานมีความยืดหยุ่นและปรับแต่งได้ตามความต้องการของแต่ละบุคคล ซึ่งก่อนการเปิดตัวออฟฟิศใหม่ ไมโครซอฟท์ได้ใช้ Data-Driven ในการศึกษาพฤติกรรมของพนักงานเป็นระยะเวลาหนึ่งปี โดยวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการเข้าใช้สำนักงาน เพื่อนำมาออกแบบออฟฟิศใหม่ ซึ่งไม่ได้พิจารณาเพียงความต้องการของผู้บริหารเท่านั้น แต่ยังคำนึงถึงความต้องการที่แท้จริงของพนักงาน ออฟฟิศใหม่นี้ถูกสร้างขึ้นให้เป็น Innovation Hub ที่ช่วยสร้าง Talent ที่แข็งแรงให้กับองค์กร
ดังนั้น ในด้านการออกแบบออฟฟิศของไมโครซอฟท์ในประเทศไทย จึงเป็นการผสมผสานระหว่างมาตรฐานระดับโลกของไมโครซอฟท์และการปรับให้เข้ากับบริบทท้องถิ่น (Localized) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของพนักงานในประเทศ โดยยึดหลักการออกแบบสำคัญ 4 ประการ ได้แก่
- Inclusivity การออกแบบที่รองรับทุกคน โดยสนับสนุนพนักงานทุกเพศ ทุกวัย ทุกศาสนา และทุกกลุ่ม เช่น ห้องละหมาด พื้นที่นั่งสมาธิ ห้องให้นมบุตร หรือสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้ใช้วีลแชร์
- Modern Workplace รองรับการทำงานแบบ Hybrid ด้วยการออกแบบพื้นที่ต่างๆ ให้รองรับการทำงานร่วมกันแบบไฮบริด เนื่องจากพนักงานบางทีมต้องทำงานร่วมกับลูกค้าและทีมภายในบ่อยครั้ง อย่างการออกแบบห้องประชุมติดตั้งเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น กล้อง AI ที่ช่วยให้พนักงานที่ทำงาน WFH สามารถมองเห็นเนื้อหาบนกระดานไวท์บอร์ดได้อย่างชัดเจน ฯลฯ
- Wellness ส่งเสริมสุขภาวะที่ดีในการทำงาน ด้วยการออกแบบพื้นที่การทำงานดีต่อสุขภาพ เช่น ทุกโต๊ะทำงานสามารถปรับระดับความสูงได้ เพื่อรองรับทั้งการทำงานแบบนั่งและยืน, การออกแบบพื้นที่ให้มีห้อง Focus Room จำนวนมาก เพื่อลดสิ่งรบกวนและช่วยให้พนักงานสามารถทำงานที่ต้องใช้สมาธิได้ดี เป็นต้น
- Sustainability – การใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมด้วยการใช้วัสดุรีไซเคิลและเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

“Agentic AI” พลิกโฉมการทำงานด้วย AI อัจฉริยะ
AI เป็นเทคโนโลยีที่ผู้คนเริ่มคุ้นเคยกันดี แต่ช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาเราเจอกับเทรนด์ใหม่ นั่นคือ Agentic AI ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในวงการ AI จากแต่ก่อนที่ AI ถูกใช้งานในลักษณะของการถูกควบคุมและฝึกฝนโดยมนุษย์ แต่ในปัจจุบัน AI ได้พัฒนาไปอีกขั้น เพราะสามารถทำงานและตัดสินใจได้ด้วยตัวเองแล้ว
ตัวอย่างเช่น ในการประชุม AI Agent สามารถเข้าร่วมและช่วยอำนวยความสะดวกในการประชุมให้เป็นไปอย่างราบรื่น หรือแม้แต่การทำหน้าที่เป็น Project Manager ช่วยบริหารงานและติดตามความคืบหน้าของโปรเจกต์ นอกจากนี้ ยังมี AI Agent ที่ทำหน้าที่เป็น Helpdesk คอยตอบคำถามลูกค้าแบบอัตโนมัติแล้ว ฯลฯ
สิ่งที่น่าสนใจคือ ผู้ใช้งาน Microsoft 365 Co-Pilot สามารถสร้าง AI Agent ของตัวเองได้ ทำให้เกิดความยืดหยุ่นในการทำงานมากขึ้น หากองค์กรสามารถระบุได้ว่างานประเภทใดสามารถใช้ AI เข้ามาจัดการแทนได้ ก็จะช่วยเพิ่ม Productivity, Agility, Quality และ Creativity อย่างมหาศาล ดังนั้น ปัจจุบันขีดจำกัดของ AI ไม่ใช่เรื่องของเทคโนโลยีอีกต่อไป แต่เป็นจินตนาการของมนุษย์เราต่างหากว่า จะนำ AI ไปใช้อย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด ยกตัวอย่างการใช้ AI ในองค์กร เช่น
AI ในงาน HR
การสัมภาษณ์พนักงานมักใช้เวลาและทรัพยากรคนจำนวนมาก เพื่อแก้ปัญหานี้ องค์กรสามารถพัฒนา AI Agent ขึ้นมาเพื่อช่วยสัมภาษณ์ผู้สมัครได้ เช่น ทำการสัมภาษณ์ผ่าน Video Call กับ AI Agent ได้ โดยมีชุดคำถามที่กำหนดไว้ล่วงหน้า และ AI จะดึงข้อมูลจากเรซูเม่ของผู้สมัครเพื่อนำไปเปรียบเทียบกับ Job Description ให้ ซึ่งระบบนี้ช่วยให้การสัมภาษณ์เสร็จสิ้นได้ภายใน 1 วัน แทนที่จะใช้เวลาหลายสัปดาห์
การใช้ AI สร้าง Knowledge Base
หลายองค์กรมีข้อมูลจำนวนมาก แต่ขาดระบบที่ช่วยแชร์และบริหารจัดการข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ AI สามารถช่วยสร้างระบบ Knowledge Base โดยให้ Co-Pilot เขียนชุดคำถามที่เกี่ยวข้องกับความรู้ในองค์กร จากนั้นให้พนักงานผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบและเติมข้อมูลเพิ่มเติม หลังจากนั้นก็ใช้ AI ทำ Speech-to-Text เพื่อแปลงบทสนทนาและเอกสารเป็นข้อมูลดิจิทัล และนำไปจัดเก็บบนแพลตฟอร์มเช่น Azure ทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายและเป็นระบบมากขึ้น
จากตัวอย่างข้างต้นจะเห็นว่า AI ไม่ได้จำกัดอยู่แค่บางอุตสาหกรรมหรือองค์กรขนาดใหญ่เท่านั้น แต่สามารถถูกนำไปใช้ได้ในหลากหลายธุรกิจ ตั้งแต่ Startup ไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ แนวโน้มของ AI ในอนาคตจะมุ่งไปที่การพัฒนา AI Agent ให้สามารถทำงานร่วมกับมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานแล้ว ยังช่วยให้มนุษย์โฟกัสการทำงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และการตัดสินใจที่ซับซ้อนได้ดีขึ้น ส่วนงานเล็กน้อยก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ AI Agent ทำแทน

ปัจจัยสำคัญในการใช้ AI ให้สำเร็จ
การใช้งาน AI ให้ประสบความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรื่องของการใช้เทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่ Data คือหัวใจสำคัญที่ทำให้ AI ฉลาดและทำงานได้อย่างแม่นยำ ซึ่ง AI จะไม่มีประสิทธิภาพเลยหากขาดข้อมูลที่ดีและมีคุณภาพสูง
นี่จึงเป็นความท้าทายที่หลายองค์กรเจอ คือ การจัดการกับ Structured Data ที่ถูกสะสมมานานในหลากหลายรูปแบบ เพราะข้อมูลเหล่านี้มักไม่มีการกำหนด Structured และคำนิยามการใช้งานในแต่ละข้อมูลที่ชัดเจนเพียงพอ ทำให้ยากต่อการนำไปประมวลผลร่วมกับ AI ดังนั้น ปัญหาหลักของการใช้งาน AI จึงไม่ใช่เทคโนโลยีของ AI เอง แต่เป็นการบริหารจัดการ Data ให้พร้อมใช้งานและสอดคล้องกับการประยุกต์ใช้ AI ในองค์กร
อีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญไม่แพ้กันคือ Security เนื่องจากการทำงานของ AI อาจเกี่ยวข้องกับข้อมูลที่เป็นความลับขององค์กร จึงจำเป็นต้องมีมาตรการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลที่แข็งแกร่งเพื่อป้องกันการรั่วไหลและการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต
สรุปแล้วการออกแบบออฟฟิศแห่งใหม่ของไมโครซอฟท์ในประเทศไทย ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการสร้าง Innovation Hub ที่ช่วยดึงดูดและรักษา Talent ที่มีคุณภาพ และส่งเสริมวัฒนธรรมการทำงานแบบ High Performance ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญที่ช่วยให้ไมโครซอฟท์เติบโตและก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของ AI ได้อย่างมั่นคง ด้วยการเน้นย้ำถึงความสำคัญของการสร้าง “คน” และการบริหารจัดการสภาพแวดล้อมการทำงานให้รองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน ไปพร้อม ๆ กับการประยุกต์ใช้ AI ให้เข้ามาช่วยสร้าง High Performance Culture ได้อย่างเป็นรูปธรรม
