Share on
×

Share

ไทยพัฒน์ เผยปี 68 ‘ESG’ ไม่ใช่แค่แผน แต่ต้องดำเนินกลยุทธ์ได้อย่างเป็นรูปธรรม

ปี 2568 ทิศทาง ESG จะกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่องค์กรต้องบูรณาการเข้ากับกลยุทธ์หลัก ไม่ใช่เพียงแค่การปฏิบัติตามกฎหมายหรือมาตรฐานที่กำหนด แต่เป็นการผลักดันองค์กรไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว ฃองค์กรจำเป็นต้องพัฒนาวิสัยทัศน์ที่เน้นความยั่งยืน ซึ่งไม่ได้หมายถึงเพียงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมหรือการมีส่วนร่วมในสังคม แต่ต้องเป็นกลยุทธ์ที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง เป็นรูปธรรม เน้นย้ำองค์กรต้องปรับตัว ไม่ใช่แค่เดินถูกทางแต่ต้องไปถึงที่หมาย

ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ ประธานสถาบันไทยพัฒน์ กล่าวถึงแนวทางการดำเนินธุรกิจในยุคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว “ผมเชื่อว่าทุกท่านล้วนมีเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือการมองไปข้างหน้าว่าธุรกิจของเราจะเติบโตไปในทิศทางใด ท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา”

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา คำว่า ‘ความยั่งยืน’ ได้รับการกล่าวถึงอย่างแพร่หลายจนกลายเป็นแนวคิดที่คุ้นเคย อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญคือการทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ว่าความยั่งยืนในปัจจุบันไม่ได้หมายถึงเพียงแค่การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมหรือการมีส่วนร่วมกับสังคมเท่านั้น แต่ยังเป็นปัจจัยสำคัญต่อการอยู่รอดของธุรกิจอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นที่มาว่า ธุรกิจไทยต้องเปลี่ยนจากการมี “วิถียั่งยืน” ซึ่งหมายถึงการดำเนินธุรกิจที่สอดคล้องกับแนวคิดความยั่งยืน ไปสู่การพัฒนา “วิสัยยั่งยืน” ที่สามารถนำองค์กรไปถึงเป้าหมายได้จริง ท่ามกลางข้อจำกัดด้านทรัพยากรและกฎระเบียบที่ซับซ้อนมากขึ้น

ESG ไม่ใช่แค่แผน แต่เป็นโครงสร้างหลักขององค์กร

แนวคิด ESG ไม่ใช่เพียงกรอบนโยบายที่องค์กรต้องดำเนินการ เพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดของนักลงทุนหรือหน่วยงานกำกับดูแล แต่เป็นองค์ประกอบที่กำหนดทิศทางและอนาคตขององค์กรในระยะยาว ปีนี้จะเป็นปีแห่งการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญในโลกของ ESG (Environmental, Social, and Governance) องค์กรต่าง ๆ ไม่เพียงแต่ต้องมีนโยบายด้านความยั่งยืนเท่านั้น แต่ยังต้องปรับตัวให้สามารถดำเนินกลยุทธ์ความยั่งยืนได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะในบริบทที่ความท้าทายระดับโลกกำลังกดดันให้ธุรกิจต้องวางแผนระยะยาวที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล

การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในสหรัฐอเมริกาและยุโรปส่งผลต่อมาตรฐานและกฎหมายด้าน ESG ที่กำลังพัฒนาอยู่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำกับดูแลด้านสิ่งแวดล้อมและแรงกดดันจากภาคการลงทุน ที่ต้องการให้บริษัทเปิดเผยข้อมูลด้าน ESG อย่างเป็นระบบมากขึ้น องค์กรที่ต้องการเติบโตอย่างยั่งยืนจึงต้องเตรียมพร้อมรับมือกับแนวโน้มที่เปลี่ยนแปลงนี้ พร้อมพัฒนาแนวทางการดำเนินงานให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดสากล

“วันนี้เราไม่ได้พูดถึงแค่การมีแผน ESG เท่านั้น แต่ต้องพูดถึง ความสามารถในการขับเคลื่อน ESG ขององค์กรด้วย” ดร.พิพัฒน์กล่าว พร้อมย้ำว่าแนวคิด ESG ไม่ใช่แค่กลยุทธ์เพิ่มเติม แต่ต้องเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ธุรกิจหลักที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง

กลยุทธ์ ESG ต้องเป็น “หนึ่งเดียว”

ปัจจุบันหลายองค์กรมีเป้าหมายความยั่งยืนที่ชัดเจน แต่กลับพบว่ากลยุทธ์ที่ตั้งไว้นั้นอาจทับซ้อนหรือคลุมเครือ องค์กรจึงต้องปรับแนวคิดสู่ Singular Strategy หรือกลยุทธ์หนึ่งเดียว ซึ่งหมายถึงการบูรณาการ ESG เข้าเป็นส่วนหนึ่งของแผนธุรกิจหลัก ไม่ใช่เป็นเพียงแผนงานแยกส่วนที่ขับเคลื่อนไปคู่ขนานกับธุรกิจหลักอีกต่อไป

แนวโน้มและความท้าทายขององค์กรต่อความยั่งยืน

นักลงทุนสถาบันให้ความสำคัญกับข้อมูลด้าน ESG มากขึ้น โดยมีสถิติระบุว่า 80% ของผู้ลงทุนเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะส่งผลต่อกลยุทธ์การลงทุนของตนเอง องค์กรจึงจำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลด้าน ESG อย่างครบถ้วน เพื่อให้ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ลงทุนและผู้มีส่วนได้เสีย

หนึ่งในแนวทางที่สำคัญคือ การเปลี่ยนผ่านจากนโยบายสีเขียว (Green Policy) สู่แผนปฏิบัติการที่เป็นรูปธรรม (Transition Plan) หลายองค์กรมีแนวทางด้านความยั่งยืนอยู่แล้ว แต่จำเป็นต้องมีแผนปฏิบัติที่ชัดเจนเพื่อปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป้าหมาย Net Zero ซึ่งกำหนดให้ทั่วโลกบรรลุภาวะการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 การบรรลุเป้าหมายดังกล่าวไม่ได้หมายถึงการลดการปล่อยก๊าซเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องคำนึงถึงการเติบโตของธุรกิจและการบริหารจัดการการปล่อยก๊าซในทุกระดับ

แผนปฏิบัติการ Net Zero ควรประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่

  1. การลดการปล่อยก๊าซในระดับองค์กร (Scope 1 & 2) ลดการปล่อยก๊าซภายในกระบวนการดำเนินงานของบริษัท
  2. การลดการปล่อยก๊าซในห่วงโซ่อุปทาน (Scope 3) บริหารจัดการการปล่อยก๊าซจากซัพพลายเชน ซึ่งมักเป็นแหล่งการปล่อยที่ใหญ่ที่สุด
  3. การวางแผนการเปลี่ยนผ่าน (Transition Plan) สร้างแนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม โดยไม่พึ่งพาการชดเชยคาร์บอน (Carbon Offset) เพียงอย่างเดียว

คำว่า Green และ Transition ถูกหยิบยกขึ้นมาอย่างมากในวงการ ESG โดย Green หมายถึงการทำให้องค์กรปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ในขณะที่ Transition หมายถึงกระบวนการเปลี่ยนผ่านจากรูปแบบธุรกิจดั้งเดิมไปสู่ธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

“วันนี้ทุกบริษัทไม่ได้เริ่มจากศูนย์ แต่มีมรดกทางคาร์บอนที่ต้องจัดการ” ดร.พิพัฒน์กล่าว พร้อมยกตัวอย่างการวางแผน Net Zero ที่ต้องคำนึงถึงการเติบโตของธุรกิจควบคู่ไปกับการลดการปล่อยคาร์บอน เน้นย้ำว่า บริษัทไม่สามารถพึ่งพาการซื้อคาร์บอนเครดิตเพียงอย่างเดียวได้ เพราะนั่นเป็นเพียงการชดเชย (Offset) ไม่ใช่การลดการปล่อยจริง ๆ เราต้องลดจากต้นทางก่อน แล้วจึงค่อยไปพิจารณาการชดเชยในภายหลัง หรือการจัดทำ Transition Plan ที่เป็นรูปธรรม

ESG จากความสมัครใจ สู่มาตรฐานบังคับ

การเปิดเผยข้อมูล ESG กำลังเปลี่ยนจากระบบสมัครใจ (Voluntary) ไปสู่ข้อบังคับ (Mandatory) โดยเฉพาะในภาคตลาดทุน “วันนี้เราไม่ได้ถามว่า ควรเปิดเผยข้อมูล ESG หรือไม่ แต่ต้องถามว่า เราพร้อมเปิดเผยข้อมูล ESG ในมาตรฐานไหน” ดร.พิพัฒน์กล่าว มาตรฐานอย่าง IFRS S1 และ S2 ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อบูรณาการ ESG เข้ากับการรายงานทางการเงิน กำลังกลายเป็นมาตรฐานสากลที่ทุกองค์กรต้องปฏิบัติตาม ในขณะเดียวกัน การเปิดเผยข้อมูลด้านความหลากหลายทางชีวิภาพ (Biodiversity) กำลังได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากคณะทำงาน TNFD (Taskforce on Nature-related Financial Disclosures) ทิศทางต่อไปคือการสร้างความโปร่งใสให้กับข้อมูล ESG เพื่อให้สามารถนำไปใช้ประเมินความเสี่ยงและโอกาสทางธุรกิจได้

ทั้งนี้ การตั้งเป้า Net Zero ไม่ใช่แค่เรื่องของการลดการปล่อยก๊าซ แต่รวมถึง Biodiversity Target หรือเป้าหมายด้านความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งกำลังได้รับความสนใจมากขึ้น องค์กรต้องเริ่มคำนึงถึงแนวทาง เลี่ยง-ลด-ฟื้นฟู-ชดเชย เพื่อให้ธุรกิจดำเนินไปโดยไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ

โดยสรุป ทิศทาง ESG ประจำปี 2568 จะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในโลกธุรกิจ โดยจะเน้นให้ ESG ไม่ใช่แค่แผนงานที่องค์กรต้องดำเนินการตามกฎหมายหรือมาตรฐาน แต่ต้องเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ธุรกิจหลัก เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว องค์กรต้องเปลี่ยนจากวิถียั่งยืนไปสู่ขีดความสามารถในการพัฒนาบุคลากรและบริหารทรัพยากรให้ ESG ขับเคลื่อนได้จริง โดยผนวก ESG เข้าเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์องค์กรและการบริหารที่คำนึงถึงผลกระทบด้านสภาพภูมิอากาศ นอกจากนี้ ต้องมีแผนการเปลี่ยนผ่านเตรียมรับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น และธุรกิจต้องคำนึงถึงระบบนิเวศควบคู่กับการตั้งเป้าหมาย Net Zero ในการลดคาร์บอน

อย่างไรก็ตาม วันนี้องค์กรไทยส่วนใหญ่อยู่บนวิถีความยั่งยืนแล้ว แต่คำถามสำคัญคือองค์กรของเรามีวิสัยยั่งยืนหรือยัง หากเปรียบเป็นการเดินทาง เราอาจอยู่บนถนนที่ถูกต้องแล้ว แต่ยังไม่แน่ว่าจะไปถึงจุดหมายได้หรือไม่ เพราะการบรรลุเป้าหมายไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพียงแค่ทิศทาง แต่ยังต้องมีพลังขับเคลื่อนที่เพียงพอ องค์กรที่เข้าใจประเด็นเหล่านี้จะสามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคง และเป็นส่วนหนึ่งของโลกที่เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

LINE ชูจุดแข็งฟีเจอร์แชต เปิดตัว 3 บริการใหม่ “LINE PREMIUM – LINE GIFT – LINE HEALTH”

อายิโนะโมะโต๊ะ ชู ‘วัฏจักรอาหารยั่งยืน’ ตอบรับเทรนด์ผู้บริโภคยุคใหม่ใส่ใจโลก

×

Share

ผู้เขียน