หลังวิกฤติโควิด-19 ประเทศไทยกลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของชาวต่างชาติ ที่ถวิลหาการใช้ชีวิตแบบผ่อนคลายแต่ยังคงทำงานกับบริษัทระดับโลกได้อย่างลงตัว ทรู ดิจิทัล พาร์ค ศูนย์กลางเทคและสตาร์ตอัพที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เล็งเห็นโอกาสที่จะเป็นสะพานเชื่อมชาวต่างชาติสู่ประเทศไทย จึงเปิดตัว TDPK International Service Center ศูนย์บริการครบวงจรที่พร้อมให้บริการชาวต่างชาติที่ไม่เพียงแค่เรื่องวีซ่า แต่ยังครอบคลุมทุกมิติของการใช้ชีวิตและการลงทุน เพื่อสร้างระบบนิเวศที่แข็งแกร่งให้กับนักธุรกิจและผู้เชี่ยวชาญพิเศษจากทั่วโลก
ธาริต นิมมานวุฒิพงษ์ ผู้จัดการทั่วไปของ ทรู ดิจิทัล พาร์ค เล่าถึงจุดเริ่มต้นของ TDPK International Service Center ว่า เกิดจากวิสัยทัศน์ที่มองเห็นความต้องการของชาวต่างชาติในการมาพำนักในประเทศไทยเพิ่มขึ้น ประกอบกับนโยบายของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ที่จริงจังกับการผลักดันวีซ่าพำนักระยะยาว (Long-Term Residence Visa หรือ LTR) ทว่าในช่วงแรก ระบบการขอวีซ่ายังกระจัดกระจายและสร้างความสับสน ทรู ดิจิทัล พาร์ค จึงริเริ่มตั้งศูนย์บริการแบบ One Stop Service แห่งนี้ขึ้นเมื่อต้นปี 2568
“เราไม่ได้แค่ช่วยเรื่องวีซ่า แต่เรามอบบริการแบบครบวงจรที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ด้วย” ธาริตกล่าว
“บางคนอยากรู้วิธีตั้งบริษัทในไทย บางคนมองหาที่พักอย่างคอนโด หรือแม้แต่ครอบครัวที่ย้ายมาด้วยกันก็ต้องการคำแนะนำเรื่องร้านอาหาร โรงเรียน หรือสถานที่ออกกำลังกาย เราพร้อมตอบทุกความต้องการ”
ดัน Smart City และ Digital Hub
ความร่วมมือระหว่าง ทรู ดิจิทัล พาร์ค และ บีโอไอ ที่ยาวนานกว่า 6 ปี ได้ปูรากฐานอันแข็งแกร่งในการดึงดูดนักลงทุนและนักธุรกิจต่างชาติสู่ประเทศไทย โดยทรู ดิจิทัล พาร์ค ได้รับการแต่งตั้งจากบีโอไอให้เป็นตัวแทนที่ได้รับการรับรอง (Certified Agent) ดูแลการยื่นขอวีซ่า LTR และผู้ให้บริการด้านการสนับสนุนการเข้าสู่ตลาดไทย
สำหรับชาวต่างชาติ 4 ประเภทที่สามารถสมัคร LTR Visa คือ
- ประชากรโลกผู้มีความมั่งคั่งสูง (Wealthy Global Citizen)
- ผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ (Wealthy Pensioner)
- ผู้ที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย (Work-From-Thailand Professional)
- ผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ (Highly-skilled Professional)
ก่อนที่จะมีการตั้งศูนย์นี้ขึ้น ที่ผ่านมา บริการจากทรู ดิจิทัล พาร์ค ช่วยให้ชาวต่างชาติจาก 32 สัญชาติได้รับวีซ่า SMART “S” Visa ไปแล้วกว่า 100 ราย ในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น ดิจิทัล การเงิน ความบันเทิง และการศึกษา โดยผู้ประกอบการส่วนมากมาจากทวีปเอเชียและยุโรปตามลำดับ นอกจากนี้ ยังดูแลให้นักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญที่มีทักษะสูงได้รับวีซ่า LTR อีกกว่า 50 ราย จาก 15 สัญชาติ และมีบริษัทต่างชาติในระบบนิเวศของทรู ดิจิทัล พาร์ค มากกว่า 300 บริษัท ผ่านโปรแกรม Global Startup และ Co-Working Space
เป้าหมายในปี 2568 ของ ทรู ดิจิทัล พาร์ค คือการเพิ่มจำนวนนักธุรกิจต่างชาติที่เข้ามาในไทยผ่านศูนย์ที่เพิ่งตั้งขึ้นมาให้มากขึ้นเป็น 2 เท่า โดยเน้นกลุ่ม Work-From-Thailand Professionalและ Highly-skilled Professional
“เราเน้น 2 กลุ่มนี้เพราะต้องการสร้างให้ที่นี่เป็น Smart City และ Digital Hub ที่แท้จริง” ธาริตย้ำ
ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2568 มีผู้สนใจยื่นขอ LTR ผ่านศูนย์นี้ราว 300 ราย แม้ครึ่งหนึ่งจะพบว่าคุณสมบัติหรือเอกสารยังไม่ครบ แต่ด้วยการผ่อนคลายเงื่อนไขจากบีโอไอในปีนี้ คาดว่ายอดผู้สมัครจะพุ่งสูงขึ้น โดยกลุ่มที่ยื่นขอมากที่สุดคือชาวจีน ตามด้วยเมียนมาร์ และชาวยุโรป เช่น อังกฤษ เยอรมัน และฝรั่งเศส
“นี่คือโอกาสในการสร้างชุมชนสำหรับคนทำงานด้านเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพ ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโต” ธาริตกล่าวทิ้งท้าย
บริการแบบครบวงจรในที่เดียว
ศูนย์บริการตั้งอยู่ที่ชั้น 3 ของอาคารทรู ดิจิทัล พาร์ค ชาวต่างชาติที่สนใจสามารถขอคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ได้ใน 3 เรื่องคือ
- บริการวีซ่าและการตั้งถิ่นฐาน ร่วมสนับสนุนนโยบายบีโอไอด้วยการอำนวยความสะดวกวีซ่าหลากประเภท เช่น LTR, SMART Visa, บัตรไทยแลนด์ พริวิเลจ และวีซ่านักท่องเที่ยวพิเศษ (DTV) พร้อมให้คำแนะนำเรื่องการดูแลสุขภาพและประกัน
- บริการด้านธุรกิจครบวงจร ปรึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย การจัดตั้งบริษัท และการหาพันธมิตร รวมถึงบริการเช่าออฟฟิศเพื่อเริ่มต้นธุรกิจ
- เติมเต็มไลฟ์สไตล์ ตอบโจทย์การใช้ชีวิตด้วยบริการแนะนำฟิตเนส สปา ร้านอาหาร โรงเรียนนานาชาติ และกิจกรรมสร้างชุมชน เช่น ชมรมวิ่ง หรืองานสันทนาการ
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
รู้จัก ‘ดร.ชาญวิทย์ บุญช่วย’ ผู้ก่อตั้งบริษัทเอไอไทยแท้ Synapes และนายกฯ AIEAT
‘US Overnight Order’ โอกาสใหม่ของการลงทุนหุ้นสหรัฐฯ ในเวลากลางวันไทย