ในวันที่ประชากรสูงวัยในประเทศไทยมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่โรงพยาบาลยังมีเพียงเตียงอยู่เพียงไม่กี่แสนเตียงทั่วประเทศ ตัวเลขนี้ที่ไม่เคยเพียงพอต่อจำนวนผู้ป่วยที่รอรับการดูแลอย่างทั่วถึง นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาด้านโครงสร้างพื้นฐาน แต่มันคือคำถามใหญ่ที่ท้าทายระบบสุขภาพของไทยว่า จะทำอย่างไรให้การดูแลคนป่วยเกิดขึ้นก่อนถึงโรงพยาบาล
Health at Home คือหนึ่งในคำตอบที่ชัดเจนจากหมอตั้ม หรือ นพ.คณพล ภูมิรัตนประพิณ อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ผู้สูงอายุที่ลงมือสร้างแพลตฟอร์มการดูแลสุขภาพที่บ้านตั้งแต่ปี 2016
“บ้าน” สำหรับหมอตั้ม ไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัย แต่คือจุดตั้งต้นของโครงสร้างพื้นฐานใหม่ในระบบสาธารณสุขไทยด้วยการสร้าง Health Tech ซึ่งเป็นเทคโนโลยีด้านสุขภาพที่จะช่วยทำให้บริการสุขภาพไม่ต้องกระจุกอยู่แค่ในโรงพยาบาล แต่กระจายออกไปถึงบ้านได้อย่างปลอดภัย
จากหมอ… สู่ผู้ประกอบการ
Health at Home เริ่มต้นจากบริการจัดส่งผู้ดูแลผู้สูงอายุแบบ Professional Caregiver ถึงบ้าน พร้อมการฝึกอบรมและรับรองมาตรฐานโดยสคช. เพื่อยกระดับอาชีพนี้ให้เป็นมากกว่าคนเฝ้าไข้ จนเติบโตสู่การมีศูนย์ดูแล Health at Home Care Center และคลินิก Health at Work ที่ให้บริการ Telemedicine แก่พนักงานบริษัทกว่า 500 แห่ง
ในปี 2024 Health at Home มีผู้ใช้บริการรวมกว่า 100,000 คน และมี Caregiver ในระบบกว่า 300 คนซึ่งเป็นตัวเลขที่เติบโตขึ้นอย่างช้า ๆ แต่มั่นคง
“เราโตช้า แต่โตชัวร์ เราไม่ใช่บริษัทที่เน้น Go to the moon แต่เราอยู่รอด และทำกำไรได้แล้วในปีที่ผ่านมา”
ซึ่งการเติบโตของธุรกิจนั้นเกิดจากการที่คุณหมอเข้าใจถึงอินไซต์ของการดูแลสุขภาพของคนไทยด้วยการ พิจารณาจากโครงสร้างประชากรและพฤติกรรมของครอบครัวยุคใหม่ ซึ่งค้นพบว่า คนกลุ่มที่ต้องแบกรับภาระการดูแลพ่อแม่สูงอายุไปพร้อมกับการทำงานและดูแลลูกเล็ก หรือที่เรียกว่า “Sandwich Generation” กำลังเป็นกลุ่มที่เผชิญความล้าและความเครียดอย่างหนักที่สุด
–Health at Home สตาร์ตอัพโตช้า แต่โตชัวร์
Sandwich Generation ความจำเป็นที่กลายเป็นโอกาส
ท่ามกลางสังคมที่มีแต่คนแก่ขึ้นทุกปี ปัญหาที่คนวัยทำงานต้องแบกรับกลับไม่ใช่แค่ภาวะเศรษฐกิจ แต่คือบทบาทของ “ลูกที่ดูแลพ่อแม่” ในยุคที่ครอบครัวเล็กลง ลูกมีแค่คนเดียว และไม่มีใครช่วยดูแลผู้สูงอายุในบ้าน
“นี่ไม่ใช่เรื่องของความกตัญญู แต่คือโครงสร้างทางสังคมที่เปลี่ยนไป” หมอตั้มอธิบายถึง pain point ใหญ่ของลูกหลานยุคใหม่ ซึ่งกลายเป็นจุดที่ Health at Home เข้ามาเติมเต็มว่า การที่แรงงานในบ้านไม่พอ และรัฐยังไม่มีระบบดูแลถึงบ้านที่ทั่วถึง ธุรกิจบริการดูแลผู้สูงอายุแบบ Private Care Service จึงกลายเป็นโอกาสทางธุรกิจที่ชัดเจน และมีแนวโน้มเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมให้คนดูแลสุขภาพที่บ้านมากขึ้น
ช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่คนไม่สามารถไปโรงพยาบาลด้วยตัวเองได้ ทำให้บริการ Telemedicine ได้รับการยอมรับมากขึ้นจากทั้งภาครัฐและเอกชน ประเทศไทยเริ่มมีการอนุมัติใบอนุญาต Telemedicine และเปิดให้บริการในลักษณะ Home Isolation ผ่านแอปพลิเคชันหรือแพลตฟอร์มอย่าง LINE เป็นวงกว้าง ซึ่งถือเป็นการปลดล็อกการดูแลผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลอย่างเป็นทางการ
แม้ภาครัฐจะมีโครงการทำ Telemed ผ่านโรงพยาบาลหลายแห่ง เช่น ราชพิพัฒน์ ที่เปิดคลินิก Telemed ใน Community Mall หรือศูนย์บริการในพื้นที่ชุมชน แต่ระบบเบิกจ่ายและกลไกของกฎหมายที่ยังไม่ชัดเจน ทำให้การใช้งานยังมีข้อจำกัดมาก โดยเฉพาะกับสิทธิ์ประกันสังคมหรือบัตรทอง
ในทางกลับกัน ภาคเอกชนสามารถเคลื่อนไหวได้เร็วกว่ามาก เพราะมีผู้จ่ายเงินชัดเจน เช่น บริษัทหรือบริษัทประกัน และนี่คือเหตุผลที่ Health at Work สามารถพัฒนาโมเดลร่วมกับองค์กรต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วและยืดหยุ่นกว่า
ดังนั้น Health at Work จึงเป็นอีกก้าวที่ชัดเจนของ Health at Home ในการพัฒนาแพลตฟอร์ม Telemedicine ที่เข้าถึงได้ผ่าน LINE Mini App ทั้งสะดวก ปรึกษาได้จากทุกที่ และร่วมมือกับบริษัทประกันกว่า 9 รายในการจัดส่งยา ลดต้นทุน ลดเวลารอคิว และลดภาระงานของแพทย์ในระบบ
“70% ของคนไข้ที่ไปโรงพยาบาล จริง ๆ แล้วดูแลผ่าน Telemedicine ได้ทั้งหมด”
และด้วยการผสมผสานระหว่างระบบประกันสุขภาพ เทคโนโลยี และความเข้าใจเชิงลึกในพฤติกรรมของผู้ใช้บริการ ทำให้ Health at Work กลายเป็นอีกโมเดลที่น่าจับตามอง และสามารถขยายผลไปสู่กลุ่ม B2C ได้ผ่านการเป็นพันธมิตรกับ LINE Health อีกด้วย
เป้าหมายต่อไปกับสร้างจิ๊กซอว์ที่ขาดหายให้ระบบสุขภาพของไทย
หมอตั้มเชื่อว่าโรงพยาบาลไทยแข็งแรงแล้ว แต่สิ่งที่ยังขาดคือ ระบบสนับสนุนภายนอกที่จะช่วยให้ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องไปโรงพยาบาลเสมอไป โดยเฉพาะในกลุ่มสูงวัย
“Health at Home อยากเป็นเบอร์หนึ่งในใจคนไทย เมื่อคิดถึงการดูแลสุขภาพที่บ้าน หรือ Telemed เราไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็น Infrastructure ใหม่ของระบบสาธารณสุขที่ควรจะมี”
นี่จึงทำให้การวางโครงสร้างของการบริการของ Health at Home สามารถตอบโจทย์ความต้องการของการดูแลสุขภาพได้ตั้งแต่ที่บ้านได้ถึง 3 รูปแบบ ได้แก่
- Health at Home (Home Care Service)
- ส่ง Professional Caregiver ไปดูแลผู้สูงอายุที่บ้าน ทั้งแบบรายวัน/รายเดือน เลือกได้ว่าจะให้ไป-กลับหรืออยู่ประจำ
- ให้บริการดูแลกิจวัตรประจำวัน, เฝ้าไข้, กายภาพเบื้องต้น
- ผ่านการอบรมจาก Health at Home และได้รับการรับรองจาก สคช.
- เหมาะกับผู้สูงอายุที่มีภาวะติดบ้าน/ติดเตียง และครอบครัวที่ไม่มีคนดูแล
- ค่าบริการ: แบบรายเดือน 25,000 บาทขึ้นไป หรือค่าบริการแบบรายครั้ง เช่น พาไปโรงพยาบาลจะคิดค่าบริการเริ่มที่ 1,200 บาท/ครั้ง
- Health at Home Care Center
- ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุแบบมีพยาบาลดูแลตลอด 24 ชม. และได้รับการตรวจจากคุณหมออย่างสม่ำเสมอ
- รองรับได้ 21 เตียงที่ปากเกร็ด และ 32 เตียงที่สะพานใหม่
- เหมาะสำหรับผู้สูงอายุที่ต้องการดูแลต่อเนื่อง เช่น อัลไซเมอร์, อัมพฤกษ์, ระยะสุดท้าย
- ค่าบริการ: เริ่มต้น 29,000 บาท/เดือน
- Health at Work (Telemedicine for Corporates)
- ให้บริการ Telemedicine ผ่าน LINE Mini App สำหรับพนักงานบริษัท
- ปรึกษาแพทย์จากที่บ้านหรือที่ทำงาน พร้อมจัดส่งยาให้
- ร่วมมือกับบริษัทประกัน 9 แห่ง และร้านขายยาทั่วประเทศกว่า 100 แห่ง
- ช่วยลดต้นทุนการเคลมประกัน และลดภาระของโรงพยาบาลในโรคเบื้องต้น
- ล่าสุดร่วมมือกับ LINE Health เพื่อเข้าสู่ B2C เต็มตัว และขยายฐานผู้ใช้งาน
ด้วยระยะเวลาการเดินทางมากว่า 10 ปี Health at Home พิสูจน์ให้เห็นว่า Startup สายสุขภาพไม่จำเป็นต้องเติบโตแบบหวือหวา หากแต่วางรากฐานอย่างมั่นคง เข้าใจปัญหาจริง ก็พร้อมที่จะอยู่ในตลาดอย่างยั่งยืน นี่อาจไม่ใช่เส้นทางที่เร็วที่สุด แต่เป็นเส้นทางที่ดีและทำให้กลายเป็นธุรกิจที่สร้างประโยชน์ให้กับคนไทยได้จริงในระยะยาว
“ในโลกที่ผู้สูงอายุมีมากขึ้นเรื่อย ๆ การดูแลที่บ้านไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่คืออนาคตของสาธารณสุขไทย”
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
บิทคับ บุกตลาด Longevity ดึง ‘หมอฟรัง-Dr.Topp-Maxdicine’ ชวนคนไทยอายุยืนยาว
พลังหญิงขับเคลื่อน SCBX: เปิดเส้นทางท้าทาย สู่ผู้นำยุคใหม่