Share on
×

Share

นิสัยที่สร้างได้ยากที่สุดของผู้คนวันนี้

ในช่วงกลางเดือนมีนาคม ข่าวคราวที่อยู่ในความสนใจ คงจะไม่พ้นการที่ ทักษิณ ชินวัตร ออกมาเผยว่า มีความคิดที่จะล้างหนี้ครัวเรือนโดยไม่ใช้งบประมาณของรัฐ ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันทั่วว่าเอาอีกแล้ว

บ้างก็ว่าทำไม่ได้

บ้างก็ว่าพูดเอาก่อน ทำได้ไม่ได้ก็ค่อยว่ากันทีหลัง (ก็เหมือนกับการหาเสียง  ที่ขอให้ได้คะแนนเสียงมา จะทำได้หรือไม่ว่ากันทีหลัง)

ปัญหาหนี้ครัวเรือน เป็นปัญหาหมักหมมมามากกว่า 20 ปี เป็นปัญหาที่รัฐบาลทุกยุคทุกสมัย ประกาศว่าจะแก้ไข แต่หลายสิบปีที่ผ่านมา จำนวนหนี้ครัวเรือนเติบโต ขึ้นเรื่อย ๆ จนหลายคนว่าเป็นเรื่องวิกฤติ เพราะหาได้เท่าไร ก็ต้องไปหมดกับการกลบหนี้

จากผลสำรวจสถานภาพหนี้ครัวเรือนไทย ปี 2567 พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ 99.7% มีภาระหนี้สิน และอีก 0.3% ไม่มีภาระหนี้สิน โดยหนี้สินส่วนใหญ่คือ หนี้บัตรเครดิต รองลงมาคือ หนี้ซื้อยานพาหนะ หนี้ส่วนบุคคลเพื่อการอุปโภคบริโภค หนี้ที่อยู่อาศัย หนี้เพื่อการประกอบธุรกิจ และหนี้การศึกษา

ขณะเดียวกัน เมื่อเปรียบเทียบรายได้และค่าใช้จ่ายของครัวเรือนในปัจจุบันพบว่าประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 46.3 มีรายได้น้อยกว่ารายจ่าย โดยเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้มากกว่า 1-1.5 แสนบาท/เดือน สำหรับหนี้ส่วนบุคคลหรือหนี้บัตรเครดิตนั้น ส่วนใหญ่มีการกู้ไปเพื่อใช้จ่ายซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค ซื้อสินค้าคงทน บ้าน รถ อุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ และการประกอบธุรกิจ เป็นต้น โดยในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ประชาชนราว 71.1% เคยผิดนัดชำระหนี้ และอีก 28.4 % ยังไม่เคยผิดนัดชำระ ซึ่งปัจจัยที่ทำให้ผิดนัดชำระหนี้มากที่สุดคือ เศรษฐกิจไม่ดี รองลงมาคือรายได้ลดลง สภาพคล่องธุรกิจลดลง ราคาพืชผลเกษตรตกต่ำ ค่าครองชีพเพิ่มสูงขึ้น เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีข้อมูลเพิ่มเติมอีกที่บอกว่า

​หนี้ครัวเรือนไทยชะลอลงตั้งแต่ช่วงปลายปี 2565 (ล่าสุด ไตรมาส 2/2567 เติบโตเพียง 1.3% YoY นับเป็นการเติบโตที่ต่ำที่สุดในสถิติข้อมูลหนี้ครัวเรือนที่ย้อนหลังได้ถึงปี 2546) สะท้อน 4 เรื่องหลัก ได้แก่ หนี้รถทยอยหดตัว สินเชื่อบ้านโตช้า แต่หนี้เพื่ออุปโภคบริโภคอื่นๆ ที่ไม่ใช่บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลยังเติบโต และหนี้จากแหล่งอื่นที่ไม่ใช่แบงก์และ SFIs ทยอยเพิ่มสูงขึ้น

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า หนี้ครัวเรือนไทยอาจเติบโตต่ำกว่า 1.0% ในปี 2567 เนื่องจากเศรษฐกิจในภาพรวมยังมีสัญญาณฟื้นตัวช้าซึ่งเป็นข้อจำกัดในการฟื้นตัวของรายได้ครัวเรือนและความสามารถในการก่อหนี้ก้อนใหม่ ซึ่งทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยปรับทบทวนประมาณการสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีปี 2567 ลงมาที่กรอบ 88.5-89.5%

อย่างไรก็ดี ข้อมูลจากผลสำรวจหนี้สินครัวเรือนประจำไตรมาส 3/2567 ของศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า ครัวเรือนในแต่ละกลุ่มระดับรายได้มีความสามารถในการรับมือกับภาระหนี้ที่แตกต่างกัน ดังนั้นการลดลงของสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีในภาพใหญ่ของทั้งประเทศ จึงไม่อาจสะท้อนว่า ภาระหนี้สินและปัญหาการชำระหนี้ในระดับครัวเรือนจะมีสถานการณ์ที่ดีขึ้นตามในทันที

สรุป เราก็คงจะจมอยู่กับปัญหาหนี้กันไป แม้จะมีความพยายามล้างหนี้ ที่มีข่าวออกมาว่าจะแก้ปัญหาให้กับคนเป็นหนี้ 1-3 แสนก่อน โดยการตั้งบริษัทประเภท AMC มารับซื้อหนี้จากเจ้าหนี้มาบริหารต่อ ซึ่งคงจะมีรายละเอียดอีกค่อนข้างมาก และความเป็นจริง บริษัทที่เป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์มีอยู่สิบกว่าแห่ง ตั้งขึ้นมาตั้งแต่ยุคต้มยำกุ้ง (พ.ศ.2540) ขณะที่ในปัจจุบันเรายังเผชิญกับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจไทย ที่ส่วนหนึ่งเราทำเองอีกส่วนเป็นภาวะเศรษฐกิจโลก ข้อสำคัญ เมื่อเราก่อหนี้เองจนเป็นหนี้เสียแล้ว เมื่อสถานการณ์ตัวเราคลี่คลาย จะเข็ดไหม หรือคิดว่าเป็น(หนี้)แล้วก็เป็น(หนี้)อีกได้ ไม่ต้องดูอื่นไกล “โครงการคุณสู้ เราช่วย” ครึ่งทางของโครงการ แสดงให้เห็นอะไร เครดิตบูโรสรุปข้อมูลล่าสุด

เป้าหมาย 100% ของโครงการคือ 1.9 ล้านราย วงเงิน 8.9 แสนล้านบาท

ณ วันที่ 28 มีนาคม มีลูกหนี้มาลงทะเบียน 1.1 ล้านราย (ทั้งคนที่คุณสมบัติครบและไม่ครบ)

มีคนที่ผ่านเกณฑ์ 4.5 แสนราย (ประมาณ 23%) เป็นเงิน 3.4 แสนล้านบาท

ในบัญชีทั้ง่หมดแยกเป็น 3 อันดับที่สำคัญ ได้แก่สินเชื่อบ้าน 1.27 แสนล้าน สินเชื่อส่วนบุคคล 3.9 หมื่นล้าน สินเชื่อรถยนต์ 1.6 หมื่นล้าน ซึ่งสามอันดับแรกนี้เป็นบุคคลธรรมดาที่เป็นลูกหนี้ ที่ยอมทำสัญญาปรับโครงสร้าง และยอมไม่ก่อหนี้เพิ่ม

ถ้าดูตามนี้ เราก็คงจะจมกับหนี้กันต่อไป เพราะการจะให้คนอื่นช่วยเรานั้น มันไม่ยั่งยืนหรอก เราต้องแก้ไขช่วยเหลือตัวเอง

ปัญหาใหญ่ ๆ นอกเหนือจากเศรษฐกิจที่ไม่ดีแล้ว ทำให้เราไม่มีเงินออมแล้ว พฤติกรรมในการใช้จ่ายของเราก็เป็นปัญหา นอกจากนี้ แนวคิดเรื่องการออมในปัจจุบันเปลี่ยนไป คนมองว่าการออมเป็นเรื่องที่ให้ผลช้า และใช้เวลานานในการสะสม ต่างกับเรื่องการลงทุนที่ให้ผลเร็ว และงอกงามได้ดีกว่า ทั้งที่การออมเป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้เกิดการลงทุน

การออมเป็นเรื่องสะสม ซึ่งจะผูกติดกับเวลา แต่คนส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นกับเรื่องผลตอบแทน เมื่อพิจาณาแล้วจะพบว่าเป็นความแตกต่าง เหมือนกับคนละสายพันธุ์ก็ว่าได้ การออมเป็นเรื่องการเพิ่มจำนวน เหมือนกับการบวกในทางคณิตศาสตร์ โดยผลตอบแทนเป็นเรื่องรอง ดังนั้น การออมจึงไม่สามารถสร้างผลตอบแทนหรือเรียกว่ากำไรได้ เป็นเรื่องของความมั่นคง ขณะที่การลงทุนเปรียบเสมือนการคูณ ในทางคณิตศาสตร์เช่นกัน แต่ค่ามันต่างกัน การคูณด้วยจำนวนมากเท่าไร ก็จะได้ผลตอบแทนมากเท่านั้น แต่อีกด้านที่คนจะโดนความโลภครอบงำคือ ความเสี่ยง ความสำคัญของการมีอิสรภาพทางการเงิน ก็คือการมีฐานเงินออมที่มั่นคงแข็งแรง มีเงินสำรองไว้ยามฉุกเฉิน และมีส่วนหนึ่งที่สำหรับการลงทุน(ย้ำว่าเป็นส่วนหนึ่งของเงินที่มีทั้งหมด ไม่ใช่เงินทั้งหมดไปกับการลงทุน) เพราะการลงทุนมีความเสี่ยง ที่มักจะล้มเหลวการไม่รู้จังหวะ

ดังนั้น การที่จะคิดเรื่องการลงทุน เราต้องมีเงินทุนเสียก่อน การจะมีเงินทุนได้นั้น การสะสมด้วยการออมเป็นสิ่งสำคัญ ในการบริหารการเงิน เงิน 100 บาท คุณต้องสร้างเงินออม10-20% ของรายได้ มีรายจ่ายได้ 40% และก่อหนี้ได้ไม่เกิน 30-35% โดยการจะสร้างหนี้นั้น ต้องไม่กระทบกับเงินออม และไม่กระทบการใช้จ่าย

เรื่องการก่อหนี้ เป็นเรื่องที่อาจขัดแย้งกับพฤติกรรมในการใช้ชีวิตของผู้คน ที่สุ่มเสี่ยงที่จะกับการก่อหนี้ (กลับไปย่อหน้าต้น ๆ จะพบว่าหนี้สินเชื่อบุคคล หมดไปกับการบริโภค) พฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนในยุคปัจจุบันยากที่จะสร้างเงินออมได้ ถ้าหากไม่ได้ถูกฝึกฝนให้รู้จักวินัยในการใช้ชีวิต

ทุกวันนี้แค่ไถอ่านข้อมูลในสื่อสังคมหรือนั่งหน้าจอทีวี.ต้องเตรียมเงินไว้ซื้อของตามแรงกระตุ้นจากสื่อเหล่านี้ วันละหมื่นก็คงไม่พอ แล้วจะสร้างนิสัยการออมได้อย่างไร

ดังนั้น ผู้คนวันนี้การสร้างนิสัยการออม น่าจะเป็นบทแรกของการใช้ชีวิต มากกว่าหรืออาจจะสำคัญกว่าการหารายได้ด้วยซ้ำ!!!

บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน

เศรษฐกิจผันผวน เช็กด่วน! เงินสำรองพร้อมไหม?

หาเงินมันเหนื่อย เชื่อเถอะ ไม่มีเงินเหนื่อยกว่า

เวลา/โอกาสไม่อาจย้อนกลับไป แต่เริ่มต้นใหม่ได้เสมอ

×

Share

ผู้เขียน