Share on
×

Share

ถึงเวลาหรือยัง ที่ไทยจะมี Marketplace เป็นของตัวเอง?

ตลาดอีคอมเมิร์ซไทยโตทะลุหลักล้านล้านบาท แต่คนไทยกลับเหลือบทบาทแค่ “ผู้ซื้อ” ขณะที่เจ้าของแพลตฟอร์มและผลกำไรกลับเป็นของต่างชาติทั้งหมด

ธนาวัฒน์ มาลาบุปผา CEO & Co-Founder of Priceza ที่ปรึกษาและนายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย (THECA) กล่าวกับ The Story Thailand ว่า อีคอมเมิร์ซไทยกำลังเติบโตด้วยตัวเลขระดับ 1,000,000 ล้านบาท แต่ในสายตาของธนาวัฒน์ กลับเห็นว่าเบื้องหลังของการเติบโตนี้ซ่อนโครงสร้างที่บิดเบี้ยวเอาไว้ ซึ่งอาจทำให้คนไทยกลายเป็นเพียงผู้บริโภค ที่ไม่มีบทบาทอื่นหลงเหลืออยู่เลยในระบบเศรษฐกิจยุคดิจิทัล จึงเสนอ 3 ทางออก และ 4 คำแนะนำสำหรับผู้ประกอบการไทย เพื่อพลิกสถานการณ์ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

สถานการณ์อีคอมเมิร์ซไทย เมื่อแพลตฟอร์มต่างชาติครองตลาด

ปี 2567 ที่ผ่านมามูลค่าอีคอมเมิร์ซไทยอยู่ที่ 1,000,000 ล้านบาท แต่หากมองลงไปจริง ๆ กว่าครึ่งคือมูลค่าที่ตกอยู่ในมือ Shopee และ Lazada สองแพลตฟอร์มต่างชาติ ยังไม่รวม Tiktok ที่ตามมาอีก 200,000 ล้านบาท รวมแล้วเกิน 70% เป็นของต่างชาติหมด ซึ่งหมายความว่า มูลค่าอีคอมเมิร์ซไทยกำลังถูกครอบงำโดยแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซต่างชาติเกินครึ่ง ทั้งนี้ ยังไม่นับรวมกับแพลตฟอร์มโซเชียลคอมเมิร์ซและแชทคอมเมิร์ซที่เข้ามามีส่วนแบ่งในตลาดอีคอมเมิร์ซอีกด้วย

เมื่อผู้ประกอบการไทยเสียอำนาจต่อรอง ในตลาดที่ถูกครอบงำโดยแพลตฟอร์มต่างชาติ ธนาวัฒน์ บอกว่า อำนาจการต่อรองของผู้ประกอบการไทยหายไปโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะในเรื่องค่าธรรมเนียมและข้อมูลลูกค้า “แต่ก่อนขายฟรี วันนี้ขึ้นทุกควอเตอร์ ค่าธรรมเนียมปัจจุบันแตะกว่า 20%”

ส่งผลให้ผู้ขายมีช่องการสร้างกำไรที่น้อยมาก แน่นอนว่า แพลตฟอร์มไม่ปล่อยข้อมูลลูกค้ามาให้ผู้ขาย ส่งผลให้ไม่สามารถจัดการกับระบบการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ CRM (Customer Relationship Management) ได้และนี่คือสิ่งที่พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์กำลังรับมืออยู่ ณ ปัจจุบัน

ผลกระทบที่ลามไปทั้งระบบเศรษฐกิจ แล้วใครบ้างได้รับผลกระทบจากสถานการณ์นี้?

ผลกระทบจากเรื่องนี้เป็นวงจรจากต้นน้ำถึงปลายน้ำ ลำดับแรกแน่นอนว่าเป็นผู้ขาย พ่อค้าแม่ค้าคนไทยต้องยอมรับว่า ไม่ใช่ทุกสินค้าที่ประเทศไทยจะสามารถผลิตได้ เพราะฉะนั้นประเทศไทยจึงทำหน้าที่เป็นผู้นำเข้า หรือตัวแทนจำหน่าย เมื่อธุรกิจไทยไปทำตลาดให้ยี่ห้อ ๆ หนึ่งเป็นที่รู้จัก แพลตฟอร์มกลับเชิญชวนให้แบรนด์นั้นเข้ามาขายในแพลตฟอร์มเอง โดยตัดผู้นำเข้า หรือตัวแทนจำหน่ายออกไป

เขาได้สรุปว่า แพลตฟอร์มต่างชาติไม่ได้แค่กินค่าธรรมเนียม แต่ยังนำข้อมูลเชิงลึกจากการซื้อขายไปใช้เจรจาดึงโรงงานจีนเข้ามาขายแข่งกับตัวแทนไทยในแพลตฟอร์มเดียวกัน เพื่อเพิ่มให้การแข่งขันแพลตฟอร์มที่สูงมากขึ้น ธุรกิจที่เคยอยู่รอดจากการเป็นตัวแทนจำหน่ายจึงถูกเบียดออกจากระบบทีละราย เมื่อแบรนด์เริ่มเป็นที่รู้จัก แพลตฟอร์มจะชวนให้เจ้าของแบรนด์ขายเองโดยตรง

ธุรกิจไทยที่สูญเสียรายได้ รัฐที่เก็บภาษีได้น้อยลง เพราะสินค้าต่ำกว่า 1,500 บาทไม่ต้องเสียภาษีศุลกากรหรือ VAT และสุดท้ายเงินก็ไหลออกนอกประเทศอย่างต่อเนื่อง “วันนี้รัฐบาลถึงต้องพยายามหาเงินจากช่องทางอื่น เพราะเก็บจากอีคอมเมิร์ซแบบเดิมไม่ได้นั่นแหละ” ธนาวัฒน์กล่าวย้ำ
แม้ผู้บริโภคจะได้ของถูก เขาต่างเตือนว่าเป็นข้อดีระยะสั้นที่แลกกับความเสียหายในระบบระยะยาว เพราะเศรษฐกิจไม่สามารถหมุนเวียนภายในประเทศได้อีก สุดท้ายเมื่ออยู่ในวงจรนี้ต่อไปยาว ๆ ไม่เป็นผลดีแน่นอน แพลตฟอร์มและผู้ขายล้วนเป็นของต่างชาติ ส่งผลให้เริ่มตัดทอนวงจรคนที่อยู่ในห่วงโซ่ธุรกิจของคนไทยออกไปเรื่อย ๆ

ระบบชำระเงินและขนส่งก็ถูกครอบงำด้วยใช่หรือไม่? แน่นนอนว่าผลกระทบยังลามไปถึงระบบสนับสนุน เช่น การขนส่งและระบบชำระเงิน ซึ่งเริ่มถูกควบคุมโดยบริษัทในเครือแพลตฟอร์มต่างชาติมากกว่าประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นบริษัทลูกด้านโลจิสติกส์ของ Shopee หรือ Lazada ที่ทำกำไรสูงสุด หรือระบบชำระเงินที่หลายแห่งก็เริ่มเป็นของต่างชาติเช่นกัน

ประเทศไทยควรมี “เอกราชทางการค้าออนไลน์”

ธนาวัฒน์ เสนอมุมมองต่อ Thailand Marketplace ถึงเวลาแล้วหรือยัง… ที่เราจะมี Thailand Marketplace เป็นของตนเอง “เสนอ 3 ทางออกที่ควรทำขนานกันไปทั้งหมด”

เริ่มต้นที่การสร้างช่องทางให้คนมาซื้อของได้

1) สนับสนุน Marketplace ไทยที่มีศักยภาพ ไม่ต้องสร้างใหม่

รัฐบาลควร “จิ้ม” ให้ชัด เลือกจับมือและผลักดันแพลตฟอร์ม Marketplace ของคนไทยที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว แทนการกระจายงบไปทั่วโดยที่ไม่มีใครเกิดจริง ธนาวัฒน์ กล่าวว่า“ในมุมมองผม คนที่รัฐควรเข้าไปเลือกและผลักดันไปเลย คือ NocNoc เราต้องเลิกแนวคิดการกลัวว่าจะไม่สนับสนุนทุกเจ้าได้แล้ว เพราะรัฐไม่มีเงินมากพอไปสนับสนุนเท่าเทียมกันทุกราย NocNoc เป็นแพลตฟอร์มของคนไทย และทีมงานพร้อมมากๆ ซึ่งผมไม่ได้มีส่วนได้เสียหรือหุ้นอะไรกับ NocNoc แต่จากประสบการณ์ที่ผมทำงานมาในวงการ E-Commerce 15 ปี ผมคิดว่าต้องเลือกเจ้าที่มีความพร้อมในแง่ Platform และทีมงาน นอกจากนี้ยังมี SCG, WHA, และ ThaiBev”

2) สนับสนุนให้แบรนด์หรือผู้ประกอบการค้าปลีกไทยมีช่องทางOwn Channel ของตนเอง

สนับสนุนให้ Brands และ Retailers สร้าง Own Channel ของตนเอง หรือ D2C Website E-Commerce ของตนเอง รัฐควรลงไปจับมือกับผู้พัฒนาแฟลตฟอร์มการทำเว็บไซต์ E-Commerce สำเร็จรูปของไทย ไม่ว่าจะเป็น LnwShop, BentoWeb, KetShopWeb และอื่น ๆ ให้สู้กับแพลตฟอร์มต่างชาติที่พยายามตีตลาด รัฐควรสนับสนุนให้เปิดร้านค้าออนไลน์ของตนเองได้โดยง่าย และอาจใช้งบไปกระตุ้นการซื้อขายออนไลน์ให้เกิดผ่านช่องทาง Own Channel ของแต่ละแบรนด์มากขึ้น

สุดท้าย ต้องมี Traffic จำนวนผู้ที่เข้าชม

3) สนับสนุนให้เกิดแพลตฟอร์มการตลาดแบบ Affiliate “ถ้าไม่มีการตลาด คนก็ไม่เห็น”

ผลักดันการตลาดแบบ Affiliate ผ่านพลังของครีเอเตอร์ไทยกว่า 9 ล้านคน โดย Priceza เสนอตัวพัฒนาแพลตฟอร์มกลางที่ช่วยให้ร้านค้าร่วมมือกับครีเอเตอร์เพื่อขายของแบบมีค่าคอมมิชชั่น “แทนที่รัฐจะให้เงิน 10,000 บาทแบบเท่า ๆ กัน ควรให้คนที่ขายของได้จริงดีกว่า” โดยข้อเสนอทั้งหมดนี้คาดการณ์ว่าจะถูกเสนอผ่านคณะกรรมาธิการรัฐสภา ผ่านบทบาทของเขาในฐานะที่ปรึกษาที่ศึกษาเรื่องผลกระทบของอีคอมเมิร์ซอยู่แล้ว

ทำไมข้อเสนอเดิมถึงไม่สำเร็จ?

เขาอธิบายว่า “ที่ผ่านมาไม่มีใคร จิ้ม ให้ชัดว่าจะดันแพลตฟอร์มไหน หรือบริษัทไหน รัฐบาลแบ่งงบออกไปหลายที่จนไม่มีที่ไหนเกิดจริงเหมือนไต้หวันที่ผลักดัน TSMC อย่างเจาะจง เลือกจับมือและผลักดันกับเจ้าที่มีศักยภาพทางเทคโนโลยี ทีมงาน และองค์ความรู้”

แล้วถ้าไม่ทำอะไรเลย จะเกิดอะไรขึ้น?

เขาตอบทันทีว่า “ตลาดไทยอีคอมเมิร์ซไทยจะถูกครอบงำ โดยแพลตฟอร์มต่างชาติโดยสมบูรณ์แบบ” จะไม่มีอะไรเหลือให้คนไทยเลย คนขายก็เป็นต่างชาติ ข้อมูลลูกค้าก็อยู่กับต่างชาติ ประเทศไทยจะกลายเป็นแค่ประเทศผู้บริโภค เขายังเสริมว่า นโยบายภาษีตอบโต้สินค้าจีนของสหรัฐฯ จะยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลง เพราะจีนจะหันมารุกตลาดที่เปิดทางมากกว่า เช่นประเทศไทย ที่ยังไม่มีมาตรการป้องกันด้านภาษีนำเข้าสินค้าออนไลน์

ต่อไปนี้ผู้ประกอบการควรเตรียมรับมืออย่างไร?

ธนาวัฒน์ แนะนำ 4 สิ่งที่ผู้ประกอบการไทยควรเร่งทำทันที

  1. การเป็นมือโปรในสินค้าของคุณให้จริง ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญในสินค้าของตนเอง ไม่ใช่แค่ขายของ แต่ให้คำแนะนำได้ มีบริการหลังการขายแบบครบจบ
  2. ช่องทาง กระจายช่องทางการขาย ไม่ฝากความหวังไว้ที่ Marketplace เพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีเว็บไซต์สร้าง Own Channel แอป และโซเชียลของตนเอง
  3. การบริการ บริการให้เร็ว ใช้เทคโนโลยี เช่น AI ช่วยตอบแชตหรือบริหารจัดการ
  4. การตลาด ต้องสร้างเครือข่ายนักขายผ่านคอนเทนต์ครีเอเตอร์ ให้คนอื่นช่วยขาย แบ่งค่าคอมฯ สร้างระบบร่วมกัน

เขายังเน้นว่า ไม่ว่าจะขายอะไร ต้องเข้าใจลูกค้าเชิงลึก เพราะยิ่งรู้ลึกในหมวดสินค้า ยิ่งสามารถสร้างความแตกต่างได้ พร้อมเตือนว่า ถ้าเราไม่รีบปรับ วันนี้คนไทยจะค่อย ๆ หายไปจากระบบเศรษฐกิจที่ตนเองเคยเป็นเจ้าของ และกลายเป็นเพียงแค่คนซื้อในประเทศของตนเอง

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

NIA จับมือ ออมสิน เปิดหลักสูตรฟรี ‘ออกแบบธุรกิจนวัตกรรมสีเขียว’ ปั้นผู้ประกอบการรักษ์โลก รับเทรนด์อนาคต

การเดินทางที่มากกว่าจุดหมาย: เคทีซี-แควนตัส ชวนเปิดประสบการณ์ใหม่ สู่แดนออสซี-กีวี

×

Share

ผู้เขียน