Share on
×

Share

จับตารัฐบาลโต้คลื่นภาษีทรัมป์

โกลาหลกันไปทั้งโลก หลัง โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศใช้อัตราภาษีต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) ขึ้นภาษีศุลกากรกับประเทศคู่ค้าที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้าสูง ๆ เมื่อวันที่ 2 เมษายน ที่ผ่านมา

บรรดาประเทศที่คล้าย ๆ ถูกสหรัฐฯขึ้นบัญชีดำ ต่างวิ่งวุ่นจองคิวเตรียมนำข้อเสนอไปเอาใจทรัมป์ ขณะที่ภาคการเงินวูบไหวไปตามความปั่นป่วนของการค้า ตลาดหุ้นจากฝั่งตะวันออกไปตะวันตกร่วงกราวมีสภาพไม่ต่างจากทุ่งสังหาร

ตลาดหุ้นบ้านเราช่วง 3 วันทำการ (วันที่ 3 เมษายน 8 เมษายน และ 9 เมษายน ที่ผ่านมา) หายไปเกือบ 100 จุด ก่อนเด้งกลับขึ้นมาเล็ก ๆ หลังทรัมป์ประกาศยืดเวลาบังคับใช้อัตราภาษีศุลกากรใหม่ออกไปอีก 90 วัน เมื่อวันที่ 10 เมษายน ที่ผ่านมา

การจัดเก็บภาษีของทรัมป์มี 2 ส่วนหลัก ส่วนแรกภาษีพื้นฐาน 10% ทุกประเทศที่ส่งสินค้าสหรัฐฯ เจอเหมือนกัน ส่วนที่สองเรียกเก็บเพิ่มจากประเทศที่เกินดุลการค้าสหรัฐฯ สูงหรือที่ทรัมป์ตราหน้าว่า “เอาเปรียบ”

ทรัมป์ทยอยประกาศอัตราภาษีต่างตอบแทนกับประเทศที่ได้ดุลการค้าสหรัฐฯ สูง เริ่มจากคู่ค้าใหญ่อย่างจีน เม็กซิโก และแคนาดา ตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ก่อนรัวชุดใหญ่ 22 ประเทศกับสหภาพยุโรป (สมาชิก 27 ประเทศ) เมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา โดยแต่ละประเทศถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มสูงต่ำตามตัวเลขขาดดุลการค้าและความสัมพันธ์เชิงผลประโยชน์อื่น ๆ ที่สหรัฐฯ มีกับประเทศนั้น ๆ เป็นสำคัญ

ประเทศไทยในฐานะประเทศที่ได้ดุลการค้าสหรัฐฯ อันดับ 10 อยู่ในข่าย “เอาเปรียบสหรัฐฯ” หวยออกที่ 37% แม้สูงเป็นอันดับ 4 ของอาเซียน และไม่ติดท็อป 5 ของประเทศร่วมชะตากรรม แต่อัตราภาษีที่ไทยถูกสหรัฐฯ เรียกเก็บเพิ่มมากพอผลักให้ค้าส่งออกไทยเซซวน

ประเมินกันว่าหากอัตราภาษีดังกล่าวมีผลบังคับใช้จะส่งผลให้ส่งออกไทยไปสหรัฐฯ เสียหายไปเกือบครึ่ง ที่ผ่านมาไทยส่งออกไปสหรัฐฯ ราว 20% ของมูลค่าการส่งออกรวม สำนักวิเคราะห์เศรษฐกิจประเมินว่าพิษจากสงครามการค้าที่ฉุดให้ส่งออกลดลงจะส่งผลให้จีดีพีไทยปีนี้หายไปราว 1% เหลือขยายตัวไม่ถึง 2.5% ตามที่สำนักต่าง ๆ เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้

แน่นอนว่าตัวเลขการค้าที่หายไปจากพิษภาษีทรัมป์ส่งผลให้เป้าหมายผลักดันเศรษฐกิจปีนี้ให้โต 3% หรือมากกว่า ตามที่นายกฯ แพรทองธาร ชินวัตร เคยประกาศก่อนหน้านี้ โอกาสเป็นไปได้ริบหรี่มาก

สถานการณ์ข้างต้นเป็นการคาดการณ์ ณ ตอนนี้ หากยังไม่รวมผลข้างเคียงอื่น ๆ โดยเฉพาะผลกระทบจากประเทศที่ได้รับแรงกระแทกจากมาตรการภาษีทรัมป์โดยเฉพาะจีน อย่างที่ทราบกันว่าทรัมป์พยายามสกัดการผงาดขึ้นของจีน มาตรการทางภาษีคือหนึ่งในอาวุธที่ทรัมป์นำออกมาใช้และจัดเต็มกับจีน ขณะที่จีนก็อัดกลับสหรัฐฯ อย่างไม่เกรงใจเช่นกัน

สถานการณ์ล่าสุด เมื่อวันที่ 12 เมษายน ที่ผ่านมา จีนประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯในอัตรา 125% (จากเดิม 84 %) เท่ากับที่สหรัฐเรียกเก็บจากจีนเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 10 เมษายน (รวมแล้วสหรัฐฯขึ้นภาษีสินค้าจีน 145%) พร้อมประกาศลั่นว่าจะต่อสู้จนถึงที่สุด

จีนเป็นตลาดส่งออกอันดับสองของไทยรองจากสหรัฐฯ ที่เป็นเบอร์หนึ่ง การที่คู่ค้าระดับ VIP ของไทยตีกัน นอกจากผลกระทบทางตรงที่ได้รับแล้ว ไทยเลี่ยงผลกระทบทางอ้อมจาก แรงกระแทกที่จีนได้รับจากภาษีทรัมป์ยาก

สัปดาห์ก่อนหน้านี้ พิชัย ชุณหวชิระ รองนายกฯ และรมว.คลัง ในฐานะหัวหน้าคณะเจรจากับสหรัฐฯ แถลงแนวทางการเจรจากับสหรัฐฯ ว่าจะยึดหลักวิน-วิน โดยตั้งเป้าว่าจะปรับการค้ากับสหรัฐฯ ให้เข้าสู่จุดสมดุลภายใน 10 ปี

รัฐบาลวางกรอบเพื่อขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายดังกล่าวไว้ 5 แนวทางด้วยกัน คือ 1) นำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ มากขึ้น เน้นสินค้าเกษตร เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ถั่วเหลือง เครื่องในสุกร 2) ลดหรือยกเว้นสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ที่ไทยเก็บไม่สูงราว 100 รายการ 3) ใช้มาตรการที่ไม่ใช่ภาษีเพื่อลดอุปสรรคทางการค้า 4) เข้มงวดการออกใบรับรองการกำเนิดสินค้าเพื่อป้องกันการเลี่ยงภาษี และห้า – หาโอกาสลงทุนในสหรัฐฯ

รัฐบาลเรียกแนวทางดังกล่าวว่าทางสายกลาง และใช้เป็นแกนความคิดขับเคลื่อนในการเจรจากับสหรัฐฯ หลีกเลี่ยงการตอบโต้ทางภาษี มุ่งเน้นการเปิดตลาดให้สินค้าจากสหรัฐฯเข้าไทย ผลักดันภาคเอกชนที่มีศักยภาพไปลงทุนในสหรัฐฯ เป็นสำคัญ ส่วนมาตรการภาษีจะเก็บไว้ใช้เมื่อจำเป็นจริง ๆ เท่านั้น

แนวทางดังกล่าวคงลดความเสี่ยงที่ไทยจะถูกจัดเต็มจากสหรัฐฯ ลงได้บ้าง แต่ไม่สามารการันตีได้ว่าทรัมป์จะโอเคหรือไม่ สภาพการณ์ตามที่กล่าวมานั้น ชี้ว่าความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างประเทศ กำลังมาถึงจุดเปลี่ยน จากค้าเสรีมาเป็นการค้าแบบยื่นหมูยื่นแมว ภาวะเศรษฐกิจและปัญหาปากท้องชาวบ้านจากนี้ไปจะเหวี่ยง ขึ้น ลง มาก น้อย เพียงใด ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลโต้คลื่นการเปลี่ยนแปลงที่กำลังก่อตัวได้ดีระดับไหน

ผู้เขียน: “ชญานิน ศาลายา” เป็นนามปากกาของ “คนข่าว” ที่เฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงของวัฎจักรเศรษฐกิจตลอดช่วง 4 ทศวรรษเศษ

บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน

ปลูกกล้วยแทนปลูกข้าว ..คิดได้

แก๊งคอลเซ็นเตอร์ มี ‘ไทยเทา’ เอี่ยวด้วยหรือไม่?

เมื่อการค้าโลก ตีลังกาเอาหัวลง

ถ้าเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์มา โฉมหน้าเมืองเทวดาจะเป็นเช่นไร?

×

Share