คนปกติทั่วไปย่อมไม่มีใครต้องการเจ็บป่วย ไม่ว่าจะด้วยโรคใด ๆ โดยเฉพาะโรคที่ป้องกันได้ เช่น กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (non-communicable diseases: NCDs) ซึ่งต้นเหตุไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค และไม่สามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนได้ แต่เป็นโรคที่เกิดจากนิสัยหรือพฤติกรรมการดำเนินชีวิต ดังนั้น การปกป้องตัวเองไม่ให้เป็นโรคกลุ่มนี้ย่อมดีที่สุด และจะดียิ่งขึ้นหากมีเครื่องมือ หรือตัวช่วยให้ลดความเสี่ยงจากการบริโภคเกินจำเป็น
‘ป้ายกำกับจำนวนแคลอรี่’ เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสำคัญของการแจ้งเตือนปริมาณแคลอรี่ที่บริโภคในแต่ละมื้อ แต่ละวัน ซึ่งมีประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรคที่จำเป็นต้องคำนวณปริมาณแคลอรี่ต่อการบริโภคมื้อต่างๆ
ทพญ.ปิยะดา ประเสริฐสม ผู้จัดการเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน เกริ่นนำที่มาของเครือข่ายว่าเกิดจากการรวมตัวกันของบุคคลหลายกลุ่ม ทั้งทันตแพทย์ กุมารแพทย์ นักโภชนาการ นักนิเทศศาสตร์ และนักวิชาการอิสระหลายสาขา
ความเป็นมาของป้ายกำกับจำนวนแคลอรี่ เกิดขึ้นกับโรงพยาบาลและโรงงานในเครือข่ายที่อยู่ต่างจังหวัดก่อนขยายเข้าสู่กรุงเทพฯ เพราะความเข้มแข็งของเครือข่ายอยู่ในต่างจังหวัดมากกว่า และทุกโครงการที่ทำพบว่าเครือข่ายจังหวัดที่เข้มแข็งจะได้ผลดี

“ป้ายแคลอรี่ดังกล่าวเกิดจากความร่วมมือกับนักโภชนาการจะคำนวณส่วนผสมของวัตถุดิบและเครื่องปรุงรสต่าง ๆ แล้วนำมาคำนวณปริมาณแคลอรี่ในหนึ่งจาน ให้ผู้บริโภคมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจบริโภคอาหาร หรือเครื่องดื่ม ซึ่งถือเป็นข้อมูลคร่าว ๆ ไม่ได้ละเอียดเป๊ะ”
จากน้ำตาลสู่โรคอ้วนและ NCDs
ก่อนจัดตั้งเครือข่าย ในฐานะทันตแพทย์ทำให้ทพญ.ปิยะดา ได้พบผู้ป่วยเด็กที่ฟันผุมีภาวะเริ่มอ้วนและอ้วนจากพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะอาหารที่มีไขมัน น้ำตาล โซเดียมสูง สาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากการทำการตลาดที่กระตุ้นให้เด็กบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพมากขึ้น
ในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา เด็กไทยอ้วนเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า โดยเด็กเล็ก 1-5 ปี เพิ่มเป็น 11.4% และเด็กวัยเรียน 6-14 ปี เพิ่มเป็น 13.7% รวมทั้งเด็กวัยรุ่น พบ 13.1% ซึ่งยังเป็นปัญหาสาธารณสุขไทยที่สำคัญ นำไปสู่ความเสี่ยงต่อการเกิดโรค NCDs ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร
จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) ชี้ว่านับทศวรรษแล้วที่กลุ่มโรค NCDs เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของคนไทย ขณะที่กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดข้อมูลประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากโรค NCDs ประมาณ 400,000 รายต่อปี หรือคิดเป็น 77% ของผู้เสียชีวิตทั้งหมด ซึ่งในจำนวนนี้เสียชีวิตก่อนวัยอันควรถึง 14%
ส่วนข้อมูลผลสำรวจสุขภาพคนไทยโดยการตรวจร่างกายล่าสุด (ปี 2562-2563) ของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขพบหญิงไทย 46.4% และชายไทย 37.8% มีภาวะอ้วน หรือมีค่า BMI ตั้งแต่ 25 ขึ้นไป
ทั้งนี้ ทางเครือข่ายได้ทำโครงการรณรงค์เด็กไทยไม่กินหวานขึ้นกว่า 20 ปีแล้ว จากข้อมูลที่มีพบว่าเด็กไทยปลอดภัยจากน้ำตาลเพียงช่วง 6 เดือนแรกเท่านั้น เมื่อเปลี่ยนมาบริโภคนมสูตรสองที่มีส่วนผสมของน้ำตาลจะกลายเป็นคนติดหวานไปทันที ซึ่งเครือข่ายได้ผลักดันให้อย.แก้ไขประกาศนำน้ำตาลออกจากนมสูตรสอง
ทางเครือข่ายขับเคลื่อนงานโดยใช้ฐานข้อมูลซึ่งเป็นงานวิจัยและการศึกษา โดยงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ทำร่วมกับสถาบันโภชนาการเพื่อความเข้าใจการบริโภคของคนไทยทั่วประเทศเมื่อปี พ.ศ. 2548 ที่ยังใช้อ้างอิงได้ถึงปัจจุบัน ซึ่งพบว่าครึ่งหนึ่งของน้ำตาลที่คนไทยบริโภคมาจากเครื่องดื่ม และ 1 ใน 3 มาจากการบริโภคขนมถุงที่นอกจากความหวานแล้วยังแถมโซเดียมปริมาณสูงมาก
รณรงค์ลดหวาน
ที่ผ่านมาเครือข่ายได้รณรงค์ลดบริโภคความหวานในอาหาร เครื่องดื่ม การนำน้ำอัดลมออกจากโรงเรียน รวมถึงขนมหวาน ขนมกรุบกรอบ ขยายสู่การลดความหวานในเครื่องดื่ม และที่หลาย ๆ คนอาจเคยได้ยินคือ ภาษีน้ำตาล จะเห็นได้จากบริษัทผู้ผลิตเครื่องดื่มต่าง ๆ ได้ปรับสูตรเครื่องดื่มลดความหวานเพิ่มทางเลือกแก่ผู้บริโภค อีกทั้งเครือข่ายยังรณรงค์กับร้านเครื่องดื่มรายย่อยตามจังหวัดต่าง ๆ ให้เพิ่มทางเลือกลดหวานแก่ผู้บริโภคด้วย
รวมทั้งยังร่วมมือกับโรงแรมต่าง ๆ ลดปริมาณน้ำตาลบรรจุซองสำหรับเติมเครื่องดื่ม ซึ่ง “คนทั่วไปมักจะฉีกซองน้ำตาลแล้วเทลงแก้วทั้งหมดซองโดยไม่ได้ดูถึงปริมาณน้ำตาลที่เขียนกำกับข้างซอง บางคนก็เพราะเสียดาย บางคนก็เพราะความเคยชิน เมื่อเครือข่ายร่วมมือกับโรงแรมต่าง ๆ ลดปริมาณน้ำตาลลง ทางผู้บริโภคก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาใด ๆ และที่ขอความร่วมมืออีกอย่างคือ ให้วางน้ำตาลไว้ไกล ๆ หรือผู้บริโภคร้องขอจึงให้”
จากคำแนะนำของ WHO ให้ผู้ใหญ่และเด็กลดการบริโภคน้ำตาลประเภท free sugar ลงเหลือไม่เกิน 10% จากปริมาณที่บริโภคในแต่ละวัน และแนะนำเพิ่มเติมให้ลดปริมาณลงอีกเหลือเพียงไม่เกิน 5% จากปริมาณที่เคยบริโภค หรือไม่เกิน 25 กรัม หรือ 6 ช้อนชาต่อวัน เพื่อให้มีผลดีต่อสุขภาพมากขึ้น
Free sugar นี้ ครอบคลุมถึง กลูโคส ฟรุกโทส ซูโครส ที่ถูกเติมในอาหารและเครื่องดื่ม รวมไปถึงน้ำตาลที่มีตามธรรมชาติในน้ำผึ้ง ไซรัป น้ำผลไม้ และน้ำผลไม้เข้มข้น แต่คำแนะนำนี้ไม่รวมถึงน้ำตาลในธรรมชาติ เช่น ผลไม้ ผัก และนม เพราะยังไม่มีหลักฐานว่าอันตราย
น้ำตาลที่กล่าวถึงเหล่านี้แฝงอยู่ในอาหารที่ผ่านกระบวนการแปรรูป ซึ่งมักมองไม่เห็นในรูปของรสหวาน เช่น ซอสมะเขือเทศปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะ มีน้ำตาลมากถึง 1 ช้อนชา
“การรณรงค์ทำในส่วนของการลดการปรุงเพิ่มของผู้บริโภค เพราะอาหารที่บริโภคนอกบ้าน ผู้ผลิตมักใส่เครื่องปรุงต่างๆ ไว้อยู่แล้ว ซึ่งอาจไม่ทราบว่า มีปริมาณเท่าไร ผู้บริโภคจะทำได้คือการเติมเพิ่มในส่วนของตัวเอง”
แม่จัน อ่อนหวาน
ทพญ.ละอองนวล อิสระธานันท์ ทันตแพทย์ชำนาญการพิเศษ โรงพยาบาลแม่จัน จังหวัดเชียงราย เล่าว่า โรงพยาบาลได้เข้าร่วมโครงการเด็กไทยไม่กินหวานในปี 2565 และมีพัฒนาการมาอย่างต่อเนื่องทั้งกิจกรรม และกลุ่มเป้าหมาย เช่น เข้ารณรงค์ในโรงเรียนระดับประถมในโครงการโรงอาหารอ่อนหวาน อาหารปลอดภัย ซึ่งโรงเรียนปลูกผักเลี้ยงสัตว์เองอยู่แล้วก่อนจะนำมาปรุงอาหารให้เด็ก ๆ รับประทาน และรณรงค์กับร้านกาแฟในลดหวานในเครื่องดื่ม ซึ่งได้การตอบรับที่ดี มีคนสั่งหวานน้อยมากขึ้น จากเดิมจะสั่งรายการปกติ หรือหวานมากเกิน 50% ได้ลดลง 20-30%
ต่อมายังได้ลดขนาดช้อนของเครื่องปรุงรสในโรงอาหารของโรงพยาบาล วัดระดับความหวาน-เค็มในน้ำซุป คิดรายการอาหารสุขภาพ ตรวจเครื่องปรุงรส จัดทำอาหารว่างสุขภาพสำหรับการประชุมในโรงพยาบาล และติดป้ายกำกับจำนวนแคลอรี่ ซึ่งได้ผลตอบรับที่ดี โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ บุคลากรทางการแพทย์ต่างใส่ใจต่ออาหารและเครื่องดื่มที่บริโภคเพิ่มขึ้น
อีกหนึ่งผลงานคือ ปี 2568 ได้ไปคุยกับบาริสต้าที่ขายน้ำหวานและกาแฟให้ทำเครื่องดื่มหวานน้อย โดยอธิบายถึงประโยชน์และโทษของการบริโภคหวานเกินไป จากปกติเคยใส่ความหวาน 30 ml. ให้ลดลงครึ่งหนึ่งโดยไม่ต้องสั่ง ซึ่งผู้บริโภคก็ไม่ได้ว่าอะไร ไม่ได้บอกว่า ไม่หวานเหมือนเดิมหรืออะไร ยังขายได้เหมือนเดิม และจะรณรงค์เพิ่มเติมกับเครือข่ายสุขภาพของอำเภอ และเครือข่ายเกษตรกรปลูกพืชผักเพื่อผลิตสินค้าปลอดภัยอีกด้วย รวมทั้งจะรณรงค์กับร้านเครื่องดื่มให้เพิ่มจำนวนร้านเข้าร่วมมากขึ้น
ผลตอบรับดี
พิไลพร ระย้าย้อย เจ้าของร้านมงคล อาหารตามสั่ง เล่าว่า จากการขึ้นป้ายแสดงจำนวนแคลอรี่ในรายการอาหาร พบว่า ลูกค้าต่างให้ความสนใจ และถ้ามีเมนูอาหารสุขภาพประจำวันก็จะได้รับคำสั่งซื้อในรายการนั้น ๆ
“ลูกค้าทั้งที่เป็นเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล รวมถึงผู้ป่วย และญาติผู้ป่วย ต่างก็ให้ความสนใจต่อรายการอาหารสุขภาพ การมีจำนวนแคลอรี่กำกับ ทำให้ตัดสินใจได้ดีขึ้น”
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
SAF ทางรอดการบินยั่งยืน: แอร์บัสชี้ศักยภาพไทย ศูนย์กลางผลิตป้อนตลาดโลก
ถึงเวลาหรือยัง ที่ไทยจะมี Marketplace เป็นของตัวเอง?