Share on
×

Share

จาก Passion สู่ธุรกิจ Solo Entrepreneur ยุคดิจิทัล: Ice Padie และ Stamp แห่ง Hue

ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวล้ำ คนรุ่นใหม่จำนวนมากกำลังสร้างเส้นทางธุรกิจของตนเอง โดยมีความหลงใหลส่วนตัวเป็นเข็มทิศนำทาง พวกเขาได้ทำตามฝัน โดยเครื่องมือดิจิทัลเป็นผู้ช่วยคนสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจแบบ Solo Entrepreneur หรือการเริ่มต้นด้วยตัวคนเดียว (ซึ่งอาจขยายทีมในภายหลัง) เรื่องราวของ ไอซ์ – พาดี้ เจ้าของแบรนด์ Happy Sunday และ แสตมป์ พรนัชชา แสงสุขเอี่ยม ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Hue คือตัวอย่างที่สร้างแรงบันดาลใจให้เห็นว่า พลังแห่งความชอบส่วนตัวเมื่อผสานกับเทคโนโลยีที่ใช่ สามารถสร้างธุรกิจให้เติบโตได้อย่างไร

Ice Padie: จาก Beauty Blogger สู่จักรวาลแห่งความสุข Happy Sunday

ไอซ์ – ภาวิดา ชิตเดชะ ที่หลายคนรู้จักจากช่องทางโซเชียลมีเดียทั้ง TikTok, YouTube, Facebook และ Instagram เริ่มต้นเส้นทางจากการเป็นเป็นบิวตี้บล็อกเกอร์ (Beauty Blogger) และยูทูปเบอร์ ช่อง icepadie มานานกว่า 11 ปี ก่อนจะต่อยอดความหลงใหลในเรื่องความงาม และมองเห็นช่องว่างในตลาด คือความต้องการผลิตภัณฑ์คุณภาพดีที่มีบรรจุภัณฑ์สีสันสดใส สนุกสนาน มาสู่การก่อตั้งแบรนด์ Happy Sunday ในปี 2561  

“จริง ๆ แล้วเราเป็นคนชอบความสดใส Happy Sunday มาจากความรักความชอบของไอซ์ ทำไมต้องเป็นแฮปปี้ซันเดย์ ชื่อแบรนด์ก็ง่าย ๆ ตรงตัว แฮปปี้ มีความสุข และทุกคนก็คงอยากจะให้วันนี้เป็นวันอาทิตย์”

แบรนด์นี้ไม่ได้มีแค่เครื่องสำอาง แต่ขยายไปสู่สินค้าไลฟ์สไตล์หลากหลายชนิด ภายใต้คอนเซ็ปต์หลักคือการ “ขายความสุข” และสร้างโลกที่สดใส มีสีสัน โดยวางตำแหน่งตัวเองเป็น Premium Lifestyle Brand จำหน่ายสินค้าหลากหลาย ทั้งเครื่องสำอาง สกินแคร์ ภายหลังขยายสู่แบรนด์ Mignoné และสินค้าไลฟ์สไตล์ เช่น ชุดนอน หมอน และกระดาษซับมัน เอกลักษณ์ของแบรนด์คือความสดใส ร่าเริง สร้างความสุขในชีวิตประจำวัน ตามสโลแกน “Make everyday your happy sunday”  

กลยุทธ์สำคัญคือการสร้างความร่วมมือกับแบรนด์ดัง เช่น Disney (คอลเลกชัน Toy Story) และการขยายช่องทางจากออนไลน์สู่หน้าร้านจริง (Pop-up store ที่สยามเซ็นเตอร์ ) เพื่อสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้า มีรายงานผลประกอบการที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญสำหรับธุรกิจที่เกี่ยวข้อง  

“จุดเปลี่ยนสำคัญคือการได้ร่วมงานกับ Disney ในปี 2563 ซึ่งเป็นก้าวใหญ่ที่พิสูจน์ว่าแบรนด์เล็ก ๆ ที่เริ่มต้นจาก Content Creator คนเดียวก็สามารถเติบโตและทำงานกับแบรนด์ระดับโลกได้”

กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของ Happy Sunday คือ กลุ่มคนรุ่นใหม่ แฟนคลับที่ติดตามคุณไอซ์มาตั้งแต่เป็นบล็อกเกอร์ และผู้ที่ชื่นชอบสินค้าที่มีดีไซน์สดใส มีความเป็นไลฟ์สไตล์ เธอใช้ชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือจากการเป็นอินฟลูเอนเซอร์ในการสร้างฐานลูกค้าและความไว้วางใจในช่วงเริ่มต้น

หัวใจสำคัญในการบริหารแบรนด์ที่มีทีมงานราว 20 คนของไอซ์ คือการนำเทคโนโลยีของ Apple มาใช้ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่ iPhone ที่เปรียบเสมือน “สมอง” ในการจดบันทึกไอเดีย ถ่ายคอนเทนต์ ไปจนถึง iPad และ MacBook สำหรับงานที่ต้องการรายละเอียด และ iMac จอใหญ่สำหรับการประชุมทีมเพื่อให้ทุกคนเห็นภาพรวมตรงกัน

“iPhone เหมือนบทสมองไอซ์ ใช้ทั้งจดไอเดียในแอป Notes ถ่ายคอนเทนต์ ส่วน iPad และ MacBook ใช้สำหรับงานละเอียด และ iMac จอใหญ่สำหรับการประชุมทีม”

เครื่องมือที่เธอเน้นย้ำถึงประโยชน์อย่างมากคือแอปพลิเคชัน Freeform ซึ่งเปรียบเสมือนผืนผ้าใบดิจิทัลไร้ขีดจำกัด ที่ทีมใช้ในการระดมสมอง วางแผนงาน แชร์แบบร่างจากทีมกราฟิก ติดตามความคืบหน้าโปรเจกต์ ไปจนถึงการอัปเดตข้อมูลต่าง ๆ แบบเรียลไทม์ ทำให้การสื่อสารภายในทีมราบรื่นและทุกคนเข้าใจเป้าหมายตรงกัน ไอซ์มองว่า ระบบนิเวศ (Ecosystem) ของ Apple ที่เชื่อมต่อทุกอุปกรณ์เข้าด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนหรือใช้อุปกรณ์ใดก็ตาม

“น้องฟรีฟอร์มเขาเป็นเหมือนผืนผ้าใบให้เราได้แบบต่อยอดไปได้เรื่อย ๆ ทีมสามารถที่จะดูกันได้หมด ทำให้ทุกคนเห็นภาพรวมตรงกันที่สุด ระบบนิเวศของ Apple ที่เชื่อมต่อทุกอย่างเข้าด้วยกัน ช่วยให้การทำงานของ Happy Sunday ไร้รอยต่อและมีประสิทธิภาพ”

ปั้น Hue จาก Passion สู่ Everyday Object สุดสร้างสรรค์

พรนัชชา แสงสุขเอี่ยม เจ้าของแบรนด์และครีเอทีพไดเรคเตอร์แบรนด์ Hue
แสตมป์ – พรนัชชา แสงสุขเอี่ยม เจ้าของแบรนด์และครีเอทีพไดเรคเตอร์แบรนด์ Hue (ขวา)

แบรนด์ Hue เกิดจากความชอบส่วนตัวในการวาดรูปและมองเห็นช่องว่างในตลาดเครื่องเขียน เติบโตแบบ Community ที่เกิดขึ้นจากการที่ผู้ใช้แชร์ผลงานและความคิดเห็น

แสตมป์ – พรนัชชา แสงสุขเอี่ยม เจ้าของแบรนด์และครีเอทีพไดเรคเตอร์แบรนด์ Hue เริ่มต้นไอเดียแบรนด์ Hue ในช่วงที่ต้องกลับมาเรียนปริญญาโทออนไลน์ที่ไทยช่วงโควิด 

“ตอนนั้นทุกคนก็เหมือนจะสร้าง hobby ของตัวเอง แตมป์ชอบวาดรูป เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้แตมป์ได้ทำ product แรกของ Hue ซึ่งคือสมุดโน้ตกระดาษสี ที่ตอบโจทย์ความต้องการของตัวเองและกลุ่มคนที่ชอบวาดรูปเหมือนกัน พร้อมใส่ใจรายละเอียดการใช้งาน เช่น กระดาษหนา และการเย็บเล่มที่เปิดได้ 180 องศา”

การเติบโตของ Hue ส่วนหนึ่งมาจากพลังของ Community ที่ผู้ใช้ต่างแชร์ผลงานและสร้างแรงบันดาลใจให้กัน จนทำให้คุณแสตมป์ตัดสินใจครั้งใหญ่ แสตมป์ตัดสินใจออกจาก Comfort Zone มาทำ Hue เต็มตัว 

“ความจริงคนรอบข้างไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่ แต่ว่ามองย้อนกลับไป รู้สึกว่าเป็นการตัดสินใจที่ดีมาก ๆ และดีใจที่เลือกเชื่อตัวเองตอนนั้น”

Hue ไม่ได้หยุดแค่เครื่องเขียน แต่ขยายสู่การทำ Solo Exhibition ชื่อ That’s Sometime ซึ่งการ Solo Exhibition ทำให้เธอได้ค้นพบความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ไม่จำกัดอยู่แค่เครื่องเขียน แต่เป็น Everyday Object ที่ทำให้ชีวิตประจำวันสนุกขึ้น

เธอเริ่มต้นการ Collaboration กับแบรนด์ต่าง ๆ รวมถึงการสร้างสรรค์ Everyday Object ที่ทำให้ชีวิตประจำวันสนุกขึ้น เช่น โปรเจกต์ล่าสุด “แก๊งพี่หมาและบิลแข็บ ๆ” (พวงกุญแจรูปหมาและแมว) ที่ได้แรงบันดาลใจจากภาพน่ารัก ๆ ของสัตว์เลี้ยงที่รอเจ้าของท่ามกลางอากาศร้อน

เบื้องหลังการออกแบบ แสตมป์ใช้เทคโนโลยีอย่างคล่องแคล่ว เธอใช้ iPad และแอป Nomad Sculpt ในการสเก็ตช์ไอเดียเป็นภาพ 3 มิติ ซึ่งทำให้กระบวนการที่ซับซ้อนง่ายขึ้นมาก จากนั้นจึงส่งไฟล์ไปยัง Mac เพื่อใช้โปรแกรม Rhino ในการเพิ่มรายละเอียดเชิงเทคนิค ก่อนส่งต่อไปยังขั้นตอนการผลิต เช่น การพิมพ์ 3 มิติด้วยวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 

HUE-Brand-design

นอกจากนี้ เธอยังใช้ MacBook Air ชิป M ที่ช่วยลดเวลาเรนเดอร์ภาพลงได้มาก และใช้ iPhone ในการถ่ายภาพผลิตภัณฑ์เพื่อนำเสนอความเป็นธรรมชาติและจริงใจ

“iPad ทำให้การขึ้น 3D ที่ว่ามันยากมาก ๆ ทำให้มัน simplify ขึ้นแล้วเข้าถึงคนได้เยอะมาก ๆ พอ เรามี iPad ใช้ Apple Pencil จะลากตรงไหนก็ง่ายไปหมด เครื่องมือเหล่านี้ทำให้เราทำทุกอย่างได่ง่ายขึ้นมาก ๆ และทำให้แตมป์สามารถสร้างผลงานที่ส่งความสุขไปให้ทุกคนหลาย ๆ คนได้”

Passion ขับเคลื่อนเทคโนโลยีสนับสนุน

เรื่องราวของไอซ์ – ภาวิดา ชิตเดชะ เจ้าของแบรนด์ Happy Sunday และ แสตมป์ – พรนัชชา แสงสุขเอี่ยม เจ้าของแบรนด์ Hue ที่เริ่มต้นธุรกิจด้วยตัวคนเดียว เป็นเครื่องยืนยันว่าการมีเครื่องมือที่เหมาะสมสามารถลดข้อจำกัดและเพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างมหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องจัดการทุกอย่างด้วยตนเอง 

ระบบนิเวศของ Apple ที่พวกเขาเลือกใช้ มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงการทำงานระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ ให้ราบรื่น ลดขั้นตอนซ้ำซ้อน และช่วยให้พวกเขาสามารถจดจ่อกับหัวใจหลักของธุรกิจได้ หนึ่งในกุญแจสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความคล่องตัวและประสิทธิภาพในการทำงานแบบนี้ คือชุดคุณสมบัติที่เรียกว่า Continuity ที่ออกแบบมาเพื่อให้อุปกรณ์ Apple ทำงานร่วมกันได้อย่างไร้รอยต่อ 

Continuity ประกอบด้วยอะไรบ้าง และแต่ละส่วนช่วยสนับสนุนการทำงานได้อย่างไร

Continuity เป็นชื่อเรียกรวมของชุดคุณสมบัติที่ออกแบบมาเพื่อให้การทำงานระหว่างอุปกรณ์ Apple เช่น Mac, iPhone, iPad และ Apple Watch มีความเชื่อมโยงกัน แนวคิดพื้นฐานคือการเปิดใช้งานฟังก์ชันข้ามอุปกรณ์เมื่ออุปกรณ์เหล่านี้อยู่ใกล้กัน โดยจำเป็นต้องเปิด Wi-Fi และ Bluetooth รวมถึงลงชื่อเข้าใช้ด้วย Apple ID บัญชีเดียวกัน 

ตัวอย่างของคุณสมบัติในกลุ่มนี้คือ Handoff ซึ่งอนุญาตให้ผู้ใช้เริ่มทำงานบางอย่างบนอุปกรณ์หนึ่ง เช่น การเขียนอีเมล แล้วไปทำต่อจากจุดเดิมบนอีกอุปกรณ์หนึ่งได้ หรือ Universal Clipboard ที่ทำให้สามารถคัดลอกเนื้อหา ข้อความหรือรูปภาพ จากอุปกรณ์หนึ่ง แล้วนำไปวางบนอีกอุปกรณ์หนึ่งที่อยู่ใกล้เคียงได้ ฟังก์ชันเหล่านี้มีจุดประสงค์เพื่อลดขั้นตอนในการถ่ายโอนข้อมูลหรือสลับการทำงานระหว่างอุปกรณ์

นอกเหนือจาก Handoff และ Universal Clipboard แล้ว Continuity ยังครอบคลุมความสามารถอื่น ๆ อีกหลายอย่าง เช่น Continuity Camera ที่อนุญาตให้ใช้กล้องของ iPhone เป็นเว็บแคมสำหรับ Mac หรือใช้ในการสแกนเอกสาร/ถ่ายภาพเพื่อส่งเข้า Mac โดยตรง 

ฟังก์ชัน Sidecar ช่วยให้ผู้ใช้สามารถใช้ iPad เป็นหน้าจอเสริมสำหรับ Mac ได้ ทั้งในโหมดขยายพื้นที่แสดงผลหรือสะท้อนหน้าจอหลัก ส่วน Universal Control ทำให้สามารถใช้คีย์บอร์ดและเมาส์หรือแทร็คแพดชุดเดียวเพื่อควบคุม Mac และ iPad ที่วางอยู่ใกล้กันได้ 

นอกจากนี้ยังมีความสามารถอื่น ๆ เช่น การรับสายโทรศัพท์หรือข้อความ SMS/MMS ที่ส่งเข้า iPhone บน Mac หรือ iPad การปลดล็อก Mac อัตโนมัติด้วย Apple Watch และการส่งไฟล์ระหว่างอุปกรณ์ผ่าน AirDrop คุณสมบัติเหล่านี้รวมกันช่วยให้เกิดการทำงานที่ต่อเนื่องและเชื่อมโยงกันมากขึ้นระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ ในระบบนิเวศของ Apple 

เรื่องราวของไอซ์ พาดี้ และแสตมป์ เป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนว่า การสร้างธุรกิจจากสิ่งที่รักในยุคนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป เมื่อมี Passion เป็นพลังขับเคลื่อน และมีเทคโนโลยีที่เหมาะสมเป็นเครื่องมือสนับสนุน ตั้งแต่การสร้างสรรค์ไอเดีย การออกแบบ การทำงานร่วมกัน ไปจนถึงการสื่อสารและการตลาด ช่วยให้ผู้ประกอบการรุ่นใหม่สามารถเปลี่ยนความฝันให้กลายเป็นความจริง สร้างธุรกิจที่เติบโตและบอกเล่าเรื่องราวที่ไม่เหมือนใครได้อย่างน่าประทับใจ

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

เจาะลึก 4 เทรนด์ไลฟ์สไตล์ใหม่ เน้น ‘ความสุขที่เกิดขึ้นทันที’ ไม่รอสะสมทรัพย์

งานวิจัยจาก Salesforce เผย 70% ของ SMB ไทยนำ AI มาใช้ในธุรกิจแล้ว

×

Share

ผู้เขียน

Asina Pornwasin Avatar