การนำเทคโนโลยีคลาวด์มาใช้อย่างมีกลยุทธ์ ถือเป็นหัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ LINE MAN Wongnai (LMWN) สู่การเป็นแพลตฟอร์มไลฟ์สไตล์ชั้นนำ (Super App) ของไทย
LMWN ถือเป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีไทยที่นำคลาวด์ Amazon Web Services (AWS) มาใช้เป็นโครงสร้างพื้นฐานหลักมาใช้ตั้งแต่ยุคแรก ๆ ตั้งแต่ราวปี 2013 ซึ่งในขณะนั้นเทคโนโลยีคลาวด์ยังไม่แพร่หลายนัก
ยอด ชินสุภัคกุล ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอ LMWN ชี้ว่า การตัดสินใจใช้ AWS ตั้งแต่ยุคแรกเริ่มนั้นมีประโยชน์อย่างยิ่ง โดยเฉพาะสำหรับทีมงานที่ขณะนั้นยังมีขนาดเล็ก การใช้คลาวด์ช่วยให้ทีมงานสามารถสร้างสรรค์และพัฒนาฟีเจอร์และบริการหลักได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องแบ่งกำลังไปบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานทางไอทีที่ซับซ้อน ทั้งเรื่องเซิร์ฟเวอร์ การดูแลรักษา และการวางแผนรองรับการขยายตัว ซึ่งเป็นงานที่ต้องใช้ทั้งกำลังคนและงบประมาณสูง
การใช้ AWS ตั้งแต่ช่วงแรก ช่วยให้บริษัทสามารถขยายธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว รองรับการเติบโตแบบก้าวกระโดด ทั้งจำนวนผู้ใช้งาน ร้านค้า และปริมาณธุรกรรมที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลได้อย่างทันท่วงที
ปัจจุบัน LMWN เป็นแพลตฟอร์มไลฟ์สไตล์ชั้นนำ ที่มีธุรกิจครอบคลุมทั้งบริการออนดีมานด์ (On-demand Services) มีร้านอาหารและร้านค้ามากกว่า 700,000 ร้าน มีธุรกรรมมากกว่า 1 ล้านครั้งต่อวัน มีโซลูชันดิจิทัลสำหรับร้านค้า (Merchant Digital Solutions) บริการชำระเงิน (Payment) รวมถึงบริการทางการเงินภายใต้แบรนด์ LINE Pay
คลาวด์ขับเคลื่อนธุรกิจ
ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา LMWN เก็บเกี่ยวประโยชน์จากเทคโนโลยีคลาวด์อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย หนึ่งในประโยชน์หลัก คือการช่วยให้บริษัทสามารถทุ่มเททรัพยากรให้กับการสร้างสรรค์ฟีเจอร์ใหม่ ๆ แทนการจัดการเซิร์ฟเวอร์ ทำให้สามารถโฟกัสที่ธุรกิจหลักได้อย่างเต็มที่
นอกจากนี้ ความยืดหยุ่นและการขยายตัวของคลาวด์ ยังเป็นปัจจัยสำคัญในการรองรับฐานผู้ใช้งานที่ขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งผู้ใช้งานหลายสิบล้านคน ร้านค้าหลายแสนราย และไรเดอร์กว่า 1.5 แสนคน รวมถึงความสามารถในการรับมือกับความต้องการที่พุ่งสูง ในช่วงโปรโมชันหรือแคมเปญพิเศษได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยโมเดลการจ่ายตามการใช้งานจริง (Pay-as-you-go)
ด้านประสิทธิภาพด้านต้นทุน คลาวด์ช่วยให้ LMWN หลีกเลี่ยงการลงทุนก้อนใหญ่ในฮาร์ดแวร์ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น และสามารถปรับลดค่าใช้จ่ายได้ตามการใช้งานจริง ซึ่ง AWS ยังช่วยให้คำแนะนำเพื่อลดต้นทุนอย่างต่อเนื่อง
ประโยชน์อีกประการคือ คลาวด์ช่วยเพิ่มความเร็วในการสร้างนวัตกรรม ทำให้ LMWN สามารถเปิดตัวบริการและฟีเจอร์ใหม่ ๆ สู่ตลาดได้อย่างรวดเร็ว ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้และรักษาความได้เปรียบในการแข่งขัน
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การเข้าซื้อกิจการ Food Story ราวปี 2018 เพื่อเสริมแกร่งโซลูชันสำหรับร้านอาหาร (Point of Sale – POS) ความท้าทายคือการรวมระบบของสองบริษัทที่มีเทคโนโลยีและเซิร์ฟเวอร์แตกต่างกันเข้าด้วยกัน กระบวนการนี้เกี่ยวข้องกับการรวมฐานข้อมูล เขียนโค้ดใหม่บางส่วน และย้ายระบบทั้งหมดขึ้นไปทำงานร่วมกันบนแพลตฟอร์มคลาวด์ ซึ่งใช้เวลาราว 6 เดือนถึง 1 ปี ผลลัพธ์คือการลดค่าใช้จ่ายในการดูแลระบบ ลดจำนวนคน และได้แพลตฟอร์มที่ทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อีกตัวอย่างคือ โครงการ “คนละครึ่ง” ของรัฐบาล ซึ่ง LMWN ต้องเตรียมระบบให้พร้อมรองรับร้านค้าจำนวนมหาศาลที่จะเข้ามาสมัครร่วมโครงการในเวลาอันสั้น ความสามารถในการขยายระบบ (Scalability) ของ AWS ประกอบกับสถาปัตยกรรมคลาวด์ที่ LMWN มีอยู่ ทำให้สามารถรองรับปริมาณการใช้งานที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วได้โดยที่ระบบไม่ล่ม แสดงให้เห็นถึงความคล่องตัว (Agility) และความยืดหยุ่น (Elasticity) ที่คลาวด์มอบให้
ทั้งสองตัวอย่างนี้ชี้ให้เห็นว่า คลาวด์ไม่ได้เป็นเพียงที่สำหรับวางเซิร์ฟเวอร์ แต่เป็นรากฐานทางเทคโนโลยีที่ช่วยให้ LMWN สามารถตัดสินใจและดำเนินการตามกลยุทธ์ทางธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการควบรวมกิจการ หรือการตอบสนองต่อโอกาสที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หากไม่มีคลาวด์ การดำเนินการเหล่านี้จะช้าลง มีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น และมีความเสี่ยงมากขึ้นอย่างแน่นอน เรื่องราวของ LMWN นี้สะท้อนให้เห็นว่า คลาวด์ช่วยให้สตาร์ตอัพสามารถก้าวข้ามข้อจำกัดด้านโครงสร้างพื้นฐานแบบเดิม ๆ และเติบโตจนกลายเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดได้
คลาวด์ หนุน AI และ Data
LMWN ไม่ได้หยุดอยู่แค่การใช้คลาวด์เป็นโครงสร้างพื้นฐาน แต่ยังนำศักยภาพของปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Machine Learning (ML) มาใช้อย่างเข้มข้น โดยมี AWS เป็นแพลตฟอร์มหลังบ้าน การใช้งาน AI ที่สำคัญและมีความซับซ้อนสูงคือ การจัดงานให้ไรเดอร์ ซึ่งระบบต้องวิเคราะห์ข้อมูลมหาศาลแบบเรียลไทม์ ทั้งตำแหน่งร้านค้า ตำแหน่งไรเดอร์ สถานะความพร้อม ระยะเวลารออาหาร การรวมงาน และการกระจายรายได้ที่เป็นธรรม เพื่อจัดสรรงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยมีทีมวิศวกร AI เฉพาะทางราว 30 คนดูแลส่วนนี้
LMWN ไม่ได้ใช้คลาวด์เพียงเพื่อโครงสร้างพื้นฐาน แต่ยังนำศักยภาพของ AI และ ML มาใช้อย่างเข้มข้น โดยมี AWS เป็นแพลตฟอร์มสนับสนุน การใช้งานที่สำคัญ ได้แก่ การจัดงานให้ไรเดอร์ ซึ่งเป็นความท้าทายที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง การจับคู่คำสั่งซื้อกับไรเดอร์ที่เหมาะสมต้องพิจารณาปัจจัยมากมายแบบเรียลไทม์ ทั้งตำแหน่งร้านค้า ตำแหน่งไรเดอร์ สถานะความพร้อมของไรเดอร์ (ว่าง, กำลังไปรับงานอื่น, กำลังส่งงาน) ระยะเวลารออาหารที่ร้าน การรวมงาน (เช่น รับอาหารร้านเดียวกันส่งใกล้กัน) การกระจายรายได้ที่เป็นธรรมให้กับไรเดอร์ และการจัดการประเภทงานที่หลากหลาย (Food, Mart, Ride) ซึ่งอาจแย่งชิงทรัพยากรไรเดอร์คนเดียวกัน AI ถูกนำมาใช้เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลมหาศาลและตัดสินใจจัดสรรงานให้ “ถูกต้อง” และ “มีประสิทธิภาพ” ที่สุด โดยมีทีมวิศวกร AI เฉพาะทางราว 30 คนดูแลส่วนนี้
LMWN ยังนำ AI และ ML มาใช้จำลองสถานการณ์ (Simulation) โดยใช้พลังการประมวลผล (Compute Power) จำนวนมากจาก AWS เพื่อทำการจำลอง (Simulation) โมเดลโลจิสติกส์และการจัดการไรเดอร์ต่าง ๆ ช่วยให้สามารถวางแผนและปรับปรุงการจัดสรรทรัพยากรได้อย่างแม่นยำ ความยืดหยุ่นของ AWS ทำให้ LMWN สามารถเพิ่มหรือลดกำลังการประมวลผลสำหรับการจำลองได้ตามต้องการ โดยไม่ต้องลงทุนซื้อเครื่องเซิร์ฟเวอร์ราคาสูงไว้รองรับช่วงที่ต้องการพลังประมวลผลสูงสุดเพียงช่วงสั้น ๆ
สำรหรับแผนการใช้ AI ในอนาคตนั้น LMWN มีแผนจะนำ AI มาใช้ในส่วนอื่น ๆ เพิ่มเติมภายในไม่กี่เดือนข้างหน้า ทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพ Customer Service (วิเคราะห์คำถาม, ช่วยตอบคำถาม), เพิ่มประสิทธิภาพของ Software Engineer (ช่วยเขียนโค้ด) และที่สำคัญคือ การพัฒนา Personalization Engine ให้ล้ำหน้ายิ่งขึ้น สามารถแนะนำร้านค้าหรือบริการที่ตรงใจผู้ใช้แต่ละคนได้อย่างแม่นยำ โดยอาจก้าวไปถึงขั้นคาดการณ์พฤติกรรมในอนาคตได้ดีกว่า ML แบบเดิม
การนำ AI มาใช้อย่างเข้มข้นนี้ สอดคล้องกับแนวคิด “Data-Driven Decision” ที่การตัดสินใจอาศัยข้อมูลและการวิเคราะห์ ไม่ใช่ความรู้สึกหรือการคาดเดา สำหรับ LMWN แล้ว AI ไม่ใช่แค่ฟีเจอร์เสริม แต่เป็นความสามารถหลักในการดำเนินงาน (Core Operational Competency) ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในธุรกิจที่ต้องจัดการความซับซ้อนแบบเรียลไทม์
การทำงานร่วมกันระหว่าง LMWN และ AWS แสดงให้เห็นว่า AWS ไม่เพียงแต่จัดหาพลังประมวลผลมหาศาลที่จำเป็นสำหรับ AI แต่ยังรวมถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลและบริการ AI/ML สำเร็จรูป ที่ช่วยให้ LMWN สามารถพัฒนาและใช้งานระบบ AI ที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ภารกิจ “Digitalize Thailand”
สำหรับทิศทางในอีก 18 เดือนข้างหน้า LMWN จะมุ่งลงทุนใน 3 ส่วนหลักคือ ธุรกิจ Food Delivery และ On-Demand Service ซึ่งยังคงเป็นหัวใจสำคัญ บริการด้านการชำระเงิน (Payment) และ Financial Service ที่เพิ่งเริ่มต้นและต้องการการลงทุนเพิ่ม และโซลูชันสำหรับร้านค้า (Merchant Solutions) โดยจะต่อยอดจากระบบ POS ไปยังกลุ่มธุรกิจอื่นนอกเหนือจากอาหาร เช่น ความงาม บริการอื่นๆ และค้าปลีก
LMWN คาดการณ์ว่าตลาดฟู้ดเดลิเวอรี่จะเกิดการควบรวมกิจการเหลือผู้เล่นหลัก 2-3 ราย ซึ่งเป็นแนวโน้มเดียวกับตลาดโลก เนื่องจากธุรกิจนี้ต้องการความหนาแน่นของคำสั่งซื้อ (Density of Orders) สูงเพื่อประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ LMWN ซึ่งเป็นผู้นำตลาด เชื่อว่าการแข่งขันจะเปลี่ยนไปเน้นคุณภาพบริการและเทคโนโลยีมากขึ้น LMWN ซึ่งปัจจุบันเป็นอันดับ 1 ในตลาด Food Delivery และ POS เชื่อว่าการมีผู้เล่น 2-3 รายยังคงทำให้เกิดการแข่งขันที่ดีและราคาที่เป็นมิตรต่อผู้บริโภค ดังที่เห็นในตลาดใหญ่อย่างจีนหรือสหรัฐฯ
การคาดการณ์เรื่องการควบรวมตลาด ยิ่งตอกย้ำความจำเป็นที่ผู้เล่นที่เหลืออยู่เช่น LMWN ต้องลงทุนในเทคโนโลยี อย่าง Cloud และ AI อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้มาซึ่งประสิทธิภาพในการดำเนินงานที่จำเป็นต่อการแข่งขันและสร้างผลกำไรในสภาวะที่มีผู้เล่นน้อยราย
แม้จะมีการควบรวมของผู้เล่นรายอื่น LMWN ยังคงมั่นใจในสถานะของตนและไม่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ขนานใหญ่ แต่ยังคงเปิดรับ การควบรวมและซื้อกิจการ (M&A) โดยเน้นไปที่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง (Adjacent Services) ที่จะเข้ามาเสริมสร้าง Ecosystem ของบริษัทให้แข็งแกร่งขึ้น และคาดว่าอาจมีดีลเกิดขึ้น 1-2 ดีลภายในปีนี้
สำหรับการย้ายระบบไปยัง AWS Thailand Region ที่เพิ่งเปิดตัว LMWN LMWN กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาอย่างรอบคอบ แม้จะเห็นประโยชน์ชัดเจนทั้งในด้าน Latency, Data Residency และโอกาสในการลดต้นทุน แต่กระบวนการย้ายระบบขนาดใหญ่และซับซ้อน ต้องใช้เวลาในการวางแผน ประเมินผลกระทบ และพิจารณาถึง Service บางอย่างที่อาจยังต้องพึ่งพา Region สิงคโปร์ในช่วงแรก การย้ายจึงน่าจะเป็นลักษณะค่อยเป็นค่อยไป พิจารณาเป็นราย Service โดยให้น้ำหนักกับปัจจัยด้านความเร็ว (Latency) ข้อกำหนดด้านข้อมูล และความคุ้มค่า ควบคู่ไปกับการจัดลำดับความสำคัญเทียบกับโครงการอื่น ๆ ของบริษัท
LMWN ตอกย้ำวิสัยทัศน์ “Digitalize Thailand” ที่ต้องการใช้เทคโนโลยีเพื่อยกระดับทุกภาคส่วนใน Ecosystem ทั้งผู้ใช้ ร้านค้า และไรเดอร์ พร้อมสร้างการลงทุนด้านเทคโนโลยีในประเทศกว่า 2 พันล้านบาทต่อปี และพัฒนาแพลตฟอร์มสัญชาติไทยสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนผ่านการ IPO
การพัฒนานี้ไม่เพียงแต่สร้างประโยชน์ในเชิงธุรกิจ แต่ยังส่งผลต่อการสร้างงาน การเติบโตของ GDP การส่งเสริมระบบนิเวศเทคโนโลยี และการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนในสังคมผ่านบริการดิจิทัลที่สะดวกและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
จาก Passion สู่ธุรกิจ Solo Entrepreneur ยุคดิจิทัล: Ice Padie และ Stamp แห่ง Hue
AOT โชว์ศักยภาพพื้นที่รอบสนามบิน 6 แห่ง ดึงเอกชนลงทุน ปั้นศูนย์กลางเศรษฐกิจใหม่