ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เดินหน้าสู่ความยั่งยืน เปิดแผนปี 2568 ชูลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ร่วมสร้างโอกาสทางธุรกิจของลูกค้าและพาร์ตเนอร์ผ่านความยั่งยืน ด้วยผลิตภัณฑ์ โซลูชัน และบริการเพื่อประสิทธิภาพด้านพลังงานสูงสุด รองรับการเติบโตต่อเนื่องของรายได้ เผย 5% ของรายได้นำกลับไปสร้างนวัตกรรมตอกย้ำความยั่งยืน พร้อมเร่งให้ความสำคัญลูกค้าเป็นอันดับแรก เพื่อสร้าง Impact Makers ช่วยลด Green Impact Gap
มงคล ตั้งศิริวิช ประธาน ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ดูแลกลุ่มคลัสเตอร์ ประเทศไทย ลาว และเมียนมา The World Most Sustainable Company และมีผลประกอบการทั่วโลกเติบโตอย่างต่อเนื่อง ปี 2567 มีรายได้รวม 38,153 ล้านยูโร เติบโตเพิ่มขึ้น 8% จากปี 2566 ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 35,902 ล้านยูโร ด้วยผลการดำเนินงานของธุรกิจด้านความยั่งยืนเป็นหลัก และบริษัทมีเป้าหมายเติบโตเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่ง 5% ของผลประกอบการได้นำกลับไปทำวิจัยและพัฒนาสร้างนวัตกรรมใหม่ที่มุ่งเป้าความยั่งยืน
ทั้งนี้ รายได้ของบริษัทมาจากธุรกิจส่งผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (Impact revenues) ถึง 74% เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานแก่ลูกค้า ซึ่งในประเทศไทยทำงานร่วมกับลูกค้ามากว่า 47 ปี มีโรงงานเป็น Smart Factory ที่นิคมอุตสาหกรรมบางปูโดยมีเป้าหมาย Low Carbon และ Successable Company มีพาร์ตเนอร์และลูกค้ามากกว่า 5,000 ราย
บริษัทช่วยให้ลูกค้าลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตั้งแต่ปี 2561 ถึง 2567 ได้ถึง 679 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในการดําเนินงานของซัพพลายเออร์ชั้นนําถึง 40% ซึ่งเทคโนโลยีของบริษัทตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า 3 เรื่องคือ 1. Electrification หรือระบบไฟฟ้า ที่ตอบโจทย์การบริหารจัดการไฟฟ้า 2. Digitalization หรือการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ และ 3. Software & AI ที่ใช้เพิ่มประสิทธิภาพ และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน เติบโตต่อเนื่องและเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
Customer Centric สู่ความยั่งยืน
ปีนี้ บริษัทในความสำคัญกับ 5 เรื่องหลัก ซึ่งมาจากแผนกลยุทธ์ คือ 1. เป็น Customer Centric Company ให้ความสำคัญกับลูกค้า โดยเป็นพันธมิตรด้านเทคโนโลยีเพื่อช่วยให้บรรลุเป้าหมายการลดคาร์บอนที่นำไปสู่การบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน 2. การสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับโลกแห่งอนาคต และต้องการนำเทคโนโลยีดิจิทัลไปใช้ในทุกส่วน ทั้งในส่วนปฏิบัติการของบริษัท พันธมิตร และลูกค้า เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพองค์กร โดยให้ความสำคัญต่อ 3. Great People ต้องการให้เป็นบุคลากรที่ยอดเยี่ยม มีความสามารถ ซึ่งจะนำบริษัทไปสู่ความสำเร็จ เป็น 4. Great Company และบริษัทมี Sustainability เป็นหัวใจในการทำงาน และทำให้บรรลุเป้าหมายการเป็น 5. Impact Company
ในฐานะบริษัทผู้นำด้านเทคโนโลยีระดับโลก หรือ Industrial Tech Solution Leader โดยหัวใจของเทคโนโลยี 3 ด้าน คือ 1. Electrification Energy Management 2. Industrial Automation 3. Software เป็นแพลตฟอร์มสำคัญในการเชื่อมโยง 2 ด้านแรกเข้าด้วยกันเพื่อช่วยให้ลูกค้าเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานการลดคาร์บอน และเพื่อบรรลุเป้าหมายการดำเนินงานสู่ความยั่งยืน สนับสนุนให้ลูกค้าบรรลุเป้าหมาย Energy Transition เปลี่ยนผ่านไปสู่โลกที่ใช้พลังงานสะอาด และสายการผลิตสู่ Industry 4.0
บริษัทอยู่ในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก มีผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีกว่า 150,000 คน เน้นการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ โดย 5% ของรายได้ที่มีเป้าหมายสู่ความยั่งยืน
เทคโนโลยีดิจิทัล + ระบบไฟฟ้า = ยั่งยืน
มงคล เผยว่า กลยุทธ์พลังงานไฟฟ้า 4.0 เป็นกุญแจสําคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานทั้งในด้านอุปสงค์และการลดคาร์บอนออกไซด์ในการจัดหาพลังงาน โดยใช้แนวคิดที่เป็นสูตรสำเร็จ “เทคโนโลยีดิจิทัล + ระบบไฟฟ้า = ยั่งยืน” เพื่อตอบโจทย์เมกะเทรนด์ดังกล่าว โดยเฉพาะใน 4 กลุ่มตลาดหลักที่สำคัญคือ อาคาร ดาต้าเซ็นเตอร์ อุตสาหกรรม และระบบโครงสร้างพื้นฐาน
ทั้งนี้ 37% ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลกเกิดจากอาคาร ซึ่งเทคโนโลยีอาคารและการจัดการพลังงานของบริษัทสามารถช่วยลดการใช้พลังงานได้ประมาณ 40% และลดการก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในการดําเนินงานของอาคารได้ถึง 77%
ส่วนกลุ่มบ้านพักอาศัยมีโซลูชันการจัดการพลังงานภายในบ้านเต็มรูปแบบ หรือ Home Energy Management Solutions (HEMS) ที่ผสานกับ AI ช่วยบริหารจัดการการผลิต การจัดเก็บ และการใช้พลังงาน เจ้าของบ้านสามารถควบคุมการใช้พลังงานและต้นทุนที่เกี่ยวข้องได้
ด้านดาต้าเซ็นเตอร์ อุตสาหกรรม และระบบโครงสร้างพื้นฐาน บริษัทมีบริการด้านพลังงานและความยั่งยืน ซอฟต์แวร์และโซลูชันเพื่อนําลูกค้าไปสู่ Net Zero ผ่าน EcoStruxure นวัตกรรมที่เปลี่ยนทุกความท้าทายให้เป็นโอกาส
สูตรสำเร็จ Impact Makers
ชไนเดอร์ทำงานความยั่งยืนมากว่า 10 ปี โดยมีแผนชัดเจน และนำเทคโนโลยีของบริษัทมาใช้ และมีแนวทางลดคาร์บอนลง ซึ่งภายในปี 2030 จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้ง 3 Scopes และภายในปี 2050 จะเป็น Net Zero และในฐานะหนึ่งในผู้สร้างผลกระทบเชิงบวก (Impact Makers) ที่ประสบความสำเร็จในการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้บรรลุเป้าที่ตั้งไว้ บริษัทให้ความสำคัญในการสร้างความยั่งยืนภายในองค์กรและพร้อมส่งต่อความมุ่งมั่นไปยังพันธมิตร เพื่อส่งเสริมการเป็น Impact Makers ไปด้วยกัน
บริษัทวางแนวคิดที่เป็นสูตรสำเร็จการบริหารจัดการด้านความยั่งยืน 3 แกนหลัก คือ 1. Strategize การวางแผนสร้างกลยุทธ์เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพให้เกิดขึ้นในระบบนิเวศทั้งซัพพลายเชน 2. Digitize การนำเทคโนโลยีมาใช้ตั้งแต่เริ่มต้นทั้งการให้คำปรึกษาตลอดจนการวัดผล และ 3. Decarbonize การลงมือทำอย่างมีประสิทธิผล โดยนำเทคโนโลยีล้ำหน้าพร้อมระบบวิเคราะห์มาช่วยในการลดการปล่อยคาร์บอนไนออกไซด์
AI ประโยชน์สูง ใช้พลังงานมาก
มงคล ยังกล่าวถึงเมกะเทรนด์ที่เป็นแรงขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของโลก ซึ่งเทคโนโลยีของบริษัทจะช่วยให้ลูกค้าปรับตัวรับมือโลกอนาคต คือ 1. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นความเสี่ยงที่มีนัยสําคัญสูงถึง 70% ส่งผลกระทบต่อธุรกิจโดยรวมในเอเชีย 48% เห็นว่าเป็นความเสี่ยงของการทำธุรกิจ 41% ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น 32% สร้างความเสียหายทางกายภาพและทรัพย์สินของบริษัท จำเป็นต้องมีเทคโนโลยีเข้าช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
2. การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ช่วยให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น คล่องตัว มีประโยชน์มาก และได้การตอบรับที่ดี มีการนำ AI มาประยุกต์ใช้ในการทำงาน แต่ความท้าทายที่เกิดขึ้นพร้อมกันคือ AI ใช้พลังงานสูง ผลสำรวจ 4 ปีพบการใช้พลังงานเพิ่ม 4.2 เท่า การประมวลผลด้วย AI ใช้พลังงานสูงกว่า Search Engine 10 เท่า และการลงทุนด้าน AI ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยเงินลงทุนกว่า 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขนาดตลาด AI ในปี 2032 จะมีถึง 1.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
ส่วนความต้องการใช้พลังงานประมวลผลของดาต้าเซ็นเตอร์เพิ่มขึ้นเกิน 10 เท่าตัว โดย 93% ของบริษัทในเอเชียได้ปรับใช้กลยุทธ์การเปลี่ยนสู่ดิจิทัลที่หลากหลายเพื่อสนับสนุนเป้าหมายความยั่งยืน แต่ยังคงเผชิญความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้น
3. การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานสู่การใช้พลังงานสะอาด ซึ่งต้องปรับตัว 2 ด้าน คือ Energy Supply และ Energy Demand โดย 29% ของบริษัทที่ในเอเชียเห็นว่าพลังงานสะอาดยังมีไม่เพียงพอต่อการใช้งาน จำเป็นต้องทำงานด้าน Energy Demand ซึ่งเทคโนโลยีของบริษัทจะเข้ามามีบทบาทอย่างมาก เพื่ออัปเกรดระบบไฟฟ้า และการบริหารจัดการพลังงาน ด้วยระบบไฟฟ้าในปัจจุบันจะช่วยทำให้การใช้พลังงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น โซลูชันของบริษัทจะช่วยลดพลังงานสูญเสียโดยไม่จำเป็น
การวิจัยของ World Economic Forum พบว่า หากใช้มาตรการเพื่อเปลี่ยนแปลงความต้องการพลังงานภายในปี 2030 จะประหยัดได้ถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี ถึงต้องลงทุนเพิ่ม แต่ ROI จะใช้เวลาน้อยกว่า 10 ปี
บริษัทไทย 98%มีเป้าหมายยั่งยืน
ปีที่แล้ว บริษัทได้ทำสํารวจด้านความยั่งยืน Green Impact Gap ร่วมกับพันธมิตร Milieu Insight ในกลุ่มผู้นำธุรกิจจำนวน 4,500 ราย ใน 9 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ไต้หวัน เวียดนาม และผู้นำธุรกิจ 500 รายในไทย
ผลสำรวจพบ 95% ของบริษัทในกลุ่มประเทศดังกล่าวมีเป้าหมายด้านความยั่งยืน แต่มีเพียง 47% ที่มีแผนกลยุทธ์ครอบคลุมเพื่อบรรลุเป้าหมาย 1 ใน 3 ของบริษัทที่สำรวจมีแผนลงทุน Digitalization และ Supply Chain มากกว่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายใน 2 ปี มีผู้ตอบแบบสอบถาม 43% มอง Sustainability เป็นตัวขับเคลื่อนนวัตกรรม และทำให้บริษัทมีขีดความสามารถทางการแข่งขันเพิ่มขึ้น
ส่วนช่องว่างการดําเนินการด้านความยั่งยืนของไทย อยู่ที่ 50% แม้ 98% มีเป้าหมายด้านความยั่งยืน แต่ดําเนินการตามกลยุทธ์เพียง 48% และ 83% ให้ความสําคัญกับความยั่งยืน โดย 74% ของผู้บริหารระดับสูงมองว่าความยั่งยืนเป็นสิ่งสําคัญสําหรับบริษัท 39% มองการดำเนินโครงการด้านความยั่งยืนนําไปสู่โอกาสทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้น และ 40% มีแผนลงทุนที่นำไปสู่ความยั่งยืน 42% ยังไม่มั่นใจเรื่องภาวะเศรษฐกิจทำให้ไม่กล้าลงทุน 39% กังวลถึงงบประมาณภายในองค์กร รวมถึงแรงจูงใจในการลงทุน จากการสนับสนุนของภาครัฐและกฎกติกาที่ต้องปรับเปลี่ยน
ที่ผ่านมา การทำงานลดคาร์บอนต้องใช้ทรัพยากรและค่าใช้จ่ายจำนวนมาก 51% ประสบปัญหา Greenwatching และ 1 ใน 3 เห็นว่าความปลอดภัยด้านพลังงานสะอาดมีไม่เพียงพอ ซึ่งเรื่องเหล่านี้จัดการได้ด้วยเทคโนโลยี
ในฐานะที่บริษัทเป็น Impact Company จึงเชิญชวนลูกจ้าง พาร์ตเนอร์ ซัปพลายเออร์ มาทำงานร่วมกันเป็น Impact Makers หรือกลุ่มสร้างผลกระทบเชิงบวกเรื่องความยั่งยืน โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ มีมากกว่า 50% ใช้เรื่องซัปพลายเชน 60% ใช้ AI เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และ 70% นำ Automation มาใช้ในโรงงาน
เมื่อเปรียบเทียบแล้ว กลุ่ม Impact Makers 54% มีแผนการทำงานที่ชัดเจนด้านการลดคาร์บอน ขณะที่กลุ่มนอก Impact Makers เพียง 35% ที่มีแผนการทำงาน นอกจากนี้ กลุ่ม Impact Makers 25% มีแนวโน้มทำแผนระยะยาว 62% ทำงานออกนอกบริษัทตัวเอง ด้วยการมุ่งผลกับซัปพลายเออร์ เพื่อลดคาร์บอน และ 76% ทำงานสอดคล้องกับมาตรฐานสากล
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
SCG HEIM โชว์ประสิทธิภาพบ้านรองรับแผ่นดินไหว
วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง: จากผู้บุกเบิก สู่ผู้นำยุคแห่งการเติบโตของพลังงานลมไทย