“Personal finance is only 20% head knowledge. It’s 80% behavior” เดฟ แรมซีย์ นักเขียนและยักจัดรายการวิทยุชื่อดัง ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน
อย่างเรื่องพริกน้ำปลา อาหารคู่จานของคนไทยที่ขาดไม่ได้ เชื่อไหมวันนี้มีคนทำเป็นขวดพริกน้ำปลาสำเร็จรูป แค่เปิดฝาควักตักออกมาใช้ได้เลย ไม่ต้องซอยพริก เติมน้ำปลา อย่างที่เราท่านเคย ๆ ทำกันมาหลายปี
มองในมุมหนึ่ง คือความสะดวกสบายที่ไม่ต้องตระเตรียม แต่อีกมุมหนึ่งแค่พริกน้ำปลา ยังต้องเสียเงินซื้อแบบสำเร็จรูปอีกหรือ?
หรือเรื่องยาคอลลาเจน ที่กรอกหูกรอกตาเราว่ากินแล้วสบายเนื้อสบายตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า จนอดคิดไม่ได้ว่า คนไข้ที่เต็มโรงพยาบาลวันนี้ ถ้ากินยาประเภทนี้แล้วสำเร็จ หมอคงไม่ต้องรักษาไข้กันแล้ว
เราจึงเสพย์ติดกับบรรดาโฆษณาชวนเชื่อเหล่านี้กันไปหมดแล้ว!!
ไปเจอคำพูดหนึ่งในสื่อสังคม เขาบอกว่า เราอยู่ในยุคที่เรียกว่า Lifestyle Inflation
แปลว่าอะไร…
เขาอธิบายว่า คือโรคติดต่อทางการเงิน (หมายถึงการใช้เงิน) ยิ่งรวย ยิ่งติดง่าย เรียกว่าหาได้เยอะ ก็ใช้เยอะ ยิ่งมีรายได้สูง ก็จะรู้สึกว่าตนนั้นมีอำนาจในการจับจ่ายใช้สอย
แน่ละ!! เราซื้อได้ แต่..จำเป็นต้องซื้อไหม
อันนี้เป็นอิทธิพลของสื่อสังคมที่มาเร็ว เคลมเร็ว แต่ทิ้งร่องรอยไว้มากมาย
ทุกวันนี้ เราใช้สื่อสังคมทั้งได้สตางค์และเสียสตางค์
เหรียญมี 2 ด้าน สื่อสังคมก็มี 2 ด้านเช่นกัน มีทั้งโลกมืดที่เห็นโลกนั้นเลวร้าย หดหู่สิ้นหวัง เต็มไปด้วยความชั่วร้าย ในขณะที่อีกด้าน คือมุมมองโลกในด้านบวก มองโลกยังมีความหวัง ความน่ารักอยู่ เป็นโลกที่เต็มไปด้วยการเรียนรู้
โลกของสิ่อสังคมก็ไม่ต่างจากโลกใบใหญ่ใบนี้ เพียงแต่เราสามารถเรียนรู้ ศึกษาและรับรู้ได้ง่ายด้วยปลายนิ้วเร็วขึ้น ทำให้ทัศนคติการเรียนรู้ของคนเราเร็วและเปลี่ยนแปลงได้ง่าย วันนี้คิดแบบนี้ บ่าย ๆ ได้ข้อมูลใหม่อาจเปลี่ยนได้อีก
ในสถานการณ์ที่โลกวันนี้ มีความผันผวนค่อนข้าง (ถึงมากที่สุด) การหารายได้อาจจะไม่ใช่ของง่าย ๆ อีกต่อไป การหารายได้เพิ่ม อาจจะไม่ง่ายเหมือนหลายปีที่ผ่านมา การลดรายจ่ายน่าจะเป็นสิ่งที่ควรทำ ไม่ว่าจะมีรายได้มากเพียงไรก็ตาม การลดรายจ่ายเพื่อสร้างรายได้ ยังเป็นทางเลือกที่เราทำเองได้มากกว่าการหารายได้เพิ่ม
ถามว่า ยังมีเส้นทางสำหรับการเริ่มต้นไหม มีข้อคิดเล็ก ๆ น้อยที่อยากฝากให้ลองดูว่า
- ไลฟ์สไตล์วันนี้เปลี่ยนไปตลอดเวลา แต่การใช้ชีวิตของเราจะมากกว่ารายได้ที่มีไม่ได้เลย การดำรงชีวิตคงไม่สามารถบอกได้ว่า แบบไหนวิธีไหนดี สิ่งสำคัญคือต้องไม่ขาดทุน ต้องไม่ติดลบ
- อย่ามั่นใจตัวเองว่า “เอาอยู่” มั่นใจเกินเหตุว่าสามารถกำหนดได้ จริง ๆ แล้วคุณไม่สามารถคสบคุมได้หมดหรอก
- อย่าเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น ๆ มากเกินไป จนเดินตามคนอื่นไปเสียหมด
- อย่างน้อยคุณต้องวางแผนให้กับตัวเอง ต้องมีการกำหนดเป้าหมาย ต้องรู้จักวางแผนการเงิน ต้องรู้ว่าเมื่อวันหนึ่งมีรายได้ลดหรือไม่มีรายได้แล้ว จะอยู่อย่างไร เงินเก็บเงินออมยังมีความสำคัญและจำเป็น ไม่ว่าจะมีอายุเท่าไร หรือมีรายได้มากน้อยเพียงไร
ในช่วงต้นปี เรานำกระแส NO BUY 2025 มาพูดถึง เมื่อเราถูกท้าทายว่าในเวลา 1 เดือน เราจะไม่ซื้อไม่สะสมสิ่งที่เรียกว่าไม่จำเป็นไม่สำคัญต่อการใช้ชีวิตได้หรือไม่ วันนี้ก็มีอีกกระแสที่ถูกพูดถึงกันคือแนวคิดเรื่อง LAGOM ที่มาจากสวีเดนที่บอกว่า
“ไม่ต้องมาก ไม่ต้องน้อย แค่พอดีก็พอ”
ในโลกที่เราถูกเร่งเร้าให้ต้อง “มากกว่านี้” ตลอดเวลา — มีมากขึ้น ทำมากขึ้น ประสบความสำเร็จมากขึ้น — หลายคนเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้า หลงทาง และไม่รู้ว่าจริงๆ แล้ว “พอดี” ของชีวิตมันอยู่ตรงไหน
แต่ที่สวีเดนมีคำหนึ่งที่ฝังอยู่ในวิถีชีวิตของผู้คน คำที่อาจฟังดูเรียบง่ายแต่ทรงพลังมาก — คำว่า “Lagom” (ลาโกม)
Lagom แปลตรงๆ ได้ว่า “ไม่มากไป ไม่น้อยไป” หรือ “พอดีๆ” ไม่สุดโต่ง ไม่ละเลย — แค่พอดีสำหรับความสุขและความพอใจในชีวิต
Lagom ไม่ได้หมายถึงความธรรมดา แต่คือความรู้สึกว่า ‘แค่นี้ก็ดีแล้ว’ ในวัฒนธรรมสวีเดน Lagom ซึมลึกอยู่ในทุกมิติของชีวิต
การกิน การใช้เงิน ไปจนถึงการบริโภคอยู่บนฐานของความพอเหมาะ
#ไม่ติดหรู
พอใจกับสิ่งที่มีอยู่ ไม่ได้บอกให้”หยุดฝัน” หรือ “ไม่ทะเยอทะยาน” แต่สอนให้คุณรู้จักความพอดีในแบบของตัวเอง — รู้ว่าเมื่อไรควรเร่ง เมื่อไรควรหยุด เมื่อไรควรพอ
ไม่หลงไปกับวัตถุ ไม่วุ่นวายกับการเปรียบเทียบชีวิต(คนอื่น)
กระแสที่ว่านี้แพร่หลายไปยังหลายประเทศ บ้างก็ไม่ได้เรียกชื่อนี้แต่ความหมายคล้าย ๆ กัน บ้านเราก็คือ วิถีชีวิตที่เรียกว่า เศรษฐกิจพอเพียง ใช่ไหม ลองคิดดู
บทความอื่น ๆ ที่ของผู้เขียน
นิสัยที่สร้างได้ยากที่สุดของผู้คนวันนี้
เศรษฐกิจผันผวน เช็กด่วน! เงินสำรองพร้อมไหม?
หาเงินมันเหนื่อย เชื่อเถอะ ไม่มีเงินเหนื่อยกว่า