Share on
×

Share

อ่าวคุ้งกระเบน: อัญมณีแห่งจันทบุรี ที่ฟื้นคืนชีวิต

ในอ้อมกอดของผืนป่าและท้องทะเลแห่งจังหวัดจันทบุรี มีอ่าวเล็ก ๆ แห่งหนึ่งนามว่า “อ่าวคุ้งกระเบน” ซ่อนตัวอยู่อย่างสงบ ไม่ใช่เพียงแค่ทัศนียภาพอันงดงามที่ดึงดูดใจนักท่องเที่ยว แต่ยังเป็นประจักษ์พยานของการพลิกฟื้นคืนชีวิตให้แก่ธรรมชาติ จากผืนป่าชายฝั่งและท้องทะเลที่เคยเสื่อมโทรม ให้กลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้งอย่างยั่งยืน

เมื่อกว่า 4 ทศวรรษก่อน อ่าวคุ้งกระเบน ซึ่งมีรูปทรงคล้ายตัวปลากระเบนอันเป็นที่มาของชื่อแห่งนี้ เคยเป็นป่าชายเลนธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งทำมาหากินของชาวบ้านผู้ประกอบอาชีพประมงและการเพาะเลี้ยงกุ้งริมชายฝั่ง อย่างไรก็ตาม การใช้ทรัพยากรโดยปราศจากการดูแลอย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นการจับสัตว์น้ำเกินกำลังธรรมชาติ การใช้เครื่องมือประมงที่ผิดวิธี การบุกรุกทำลายป่าชายเลนเพื่อทำถ่าน และการปล่อยน้ำเสียจากการเลี้ยงกุ้งลงสู่แหล่งน้ำโดยตรง ล้วนเป็นสาเหตุให้ระบบนิเวศเสื่อมโทรมลงอย่างรวดเร็ว ผืนหญ้าทะเลเสียหายอย่างหนัก พะยูน สัตว์สงวนใกล้สูญพันธุ์ ได้หายไปจากอ่าวแห่งนี้ การประมงซบเซาลง และชาวบ้านต้องประสบปัญหาการขาดรายได้

เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวและฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ จึงได้มีการจัดตั้ง “ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน” ขึ้น ณ ตำบลคลองขุด อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2524 โดยมีกรมประมงเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนงาน

ศูนย์แห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ท่องเที่ยว หากแต่เป็นหนึ่งใน “ศูนย์ศึกษาการพัฒนา” ที่มีอยู่หลายแห่งทั่วประเทศ ซึ่งตั้งขึ้นเพื่อศึกษาและแก้ไขปัญหาเฉพาะด้านในแต่ละพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาดิน น้ำ ป่าไม้ สิ่งแวดล้อม การศึกษา การคมนาคม หรือสาธารณสุข ศูนย์เหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการดูแลและพัฒนาทรัพยากร โดยเฉพาะด้านแหล่งน้ำ ซึ่งถือเป็นรากฐานสำคัญของการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิต

ภารกิจหลักของศูนย์ศึกษาการพัฒนาแห่งนี้คือ การศึกษาค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับชายฝั่ง ป่าชายเลน และการประมงน้ำเค็ม เพื่อหาแนวทางต่อยอดเป็นอาชีพและการอนุรักษ์ให้แก่ประชาชน จากนั้นจึงนำผลสำเร็จที่ได้ไปขยายผลสู่ประชาชนผ่านการจัดฝึกอบรมให้ความรู้แก่เกษตรกร โรงเรียน และหน่วยงานต่างๆ ที่สนใจ และยังเปิดโอกาสให้บริการด้านการศึกษาเรียนรู้แก่ผู้สนใจทั่วไป

หนึ่งในความสำเร็จที่โดดเด่นและเป็นหัวใจสำคัญของการฟื้นฟูอ่าวแห่งนี้คือ การจัดการน้ำเสียจากกรเลี้ยงกุ้ง ซึ่งในอดีต การปล่อยน้ำเสียและดินเลนดำ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “ขี้กุ้ง” ลงสู่ทะเลโดยตรง ทำให้ระบบนิเวศปนเปื้อน น้ำไม่หมุนเวียน และกุ้งติดเชื้อโรคตาย แต่ปัจจุบัน ศูนย์ฯ ได้พลิกโฉมการจัดการใหม่ทั้งหมด ด้วยการปลูกป่าชายเลนขนาดใหญ่ ซึ่งเปรียบเสมือน “ตะแกรงธรรมชาติ” ที่คอยดักกรองตะกอนและของเสีย ก่อนจะไหลลงสู่อ่าวคุ้งกระเบน พร้อมกับเปลี่ยนทิศทางการสูบน้ำ โดยหันมาสูบน้ำสะอาดจากฝั่งทะเลอ่าวไทยโดยตรง ผ่านระบบรางระบายน้ำเค็มระยะทางเกือบ 9 กิโลเมตร ซึ่งขับเคลื่อนด้วยเครื่องสูบน้ำความดัน 200 แรงม้าถึง 8 ตัว น

อกจากนี้ เกษตรกรยังได้รับการอบรมให้จัดสร้างบ่อเลี้ยงกุ้งเป็น 4 บ่อ ได้แก่ บ่อเก็บน้ำ บ่อเลี้ยงกุ้ง บ่อบำบัดน้ำ (ที่มีเครื่องเติมอากาศ เลี้ยงหอยนางรม และปลูกหญ้าทะเลเพื่อลดแพลงก์ตอนพืช) และบ่อเก็บตะกอนดินเลน ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยยกระดับคุณภาพน้ำและผลผลิตสัตว์น้ำให้ดีขึ้น จนสามารถส่งออกสร้างรายได้ที่มั่นคงยิ่งขึ้น

ที่น่าทึ่งยิ่งไปกว่านั้นคือ “ขี้กุ้ง” ที่เคยเป็นของเสียร้ายแรง กลับกลายเป็นทองคำ ดินเลนที่เก็บไว้จะถูกนำมาผลิตเป็น ปุ๋ยหมักชีวภาพคุณภาพสูง ด้วยการผสมผสานกับวัตถุดิบธรรมชาติ เช่น แกลบข้าว เปลือกผลไม้ ซากข้าวโพด ปุ๋ยยูเรีย และสารเร่งการย่อยสลาย พด. 1 โดยเฉพาะ “เปลือกทุเรียน” จำนวนมากในจันทบุรี ซึ่งเคยเป็นภาระในการกำจัด ก็ถูกนำมาใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ การหมักใช้เวลาเพียง 4 เดือน ก็จะได้ปุ๋ยหมักคุณภาพดีสำหรับสวนยาง สวนนาข้าว และยังสร้างรายได้เสริมให้เกษตรกร โดยขายถุงละ 4 กิโลกรัม ในราคาเพียง 5 บาท เท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีการต่อยอดด้วยการนำปุ๋ยหมักมาเลี้ยงไส้เดือน เพื่อเพิ่มมูลค่าเป็น ปุ๋ยหมักดินเลนน้ำกร่อยจากมูลไส้เดือน ที่ราคาสูงขึ้นถึงครึ่งกิโลกรัม 25 บาท นี่คือตัวอย่างของการ “เปลี่ยนของเสียให้เป็นของดี”

การพัฒนาของศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนแห่งนี้ ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ริมชายฝั่ง แต่ครอบคลุมการดูแลและพัฒนาจากยอดเขาสู่ใต้ท้องทะเลในพื้นที่กว่า 84,493 ไร่ เริ่มจากบนยอดเขาที่เคยรกร้างและถูกบุกรุก ก็ได้รับการฟื้นฟูป่าบกกว่า 11,370 ไร่ ให้กลับมาเขียวขจีอีกครั้ง ด้วยการสร้างฝายชะลอน้ำ ปลูกหญ้าแฝกเพื่ออนุรักษ์ดินและน้ำ และปลูกป่าเพิ่มเติม ซึ่งเป็นการสร้างแหล่งต้นน้ำลำธารอันอุดมสมบูรณ์ พร้อมจัดสร้างเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติป่าบกระยะทาง 1,500 เมตร สำหรับผู้สนใจ

ในพื้นที่เชิงเขาและบริเวณเพาะปลูก ดินเค็มและดินทรายที่เคยเป็นอุปสรรคในการเพาะปลูก ก็ได้รับการปรับปรุงบำรุงจนสามารถปลูกพืชพรรณต่าง ๆ ได้หลากหลาย มีการส่งเสริมให้เกษตรกรทำปุ๋ยหมักใช้เองเพื่อลดสารเคมี และยังส่งเสริมงานปศุสัตว์ที่เหมาะสมกับพื้นที่ อาทิ การเลี้ยงเป็ด ไก่ แพะ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง กวางรูซ่า ที่เลี้ยงเพื่อจำหน่ายเนื้อและเขากวางอ่อน ซึ่งมีสรรพคุณทางยาบำรุงร่างกายมากมาย รวมทั้งการเสริมสร้างสมรรถภาพทางเพศชาย โดยมีผลิตภัณฑ์แคปซูลจำหน่ายที่อาคารจำหน่ายสินค้า ซึ่งอาชีพเสริมเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะช่วยสร้างรายได้ให้เกษตรกรตลอดทั้งปี ในช่วงที่การประมงและการเลี้ยงกุ้งไม่สามารถทำได้ ทำให้ชาวบ้านมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน

อ่าวคุ้งกระเบน พื้นที่ป่าชายเลน

ส่วนที่ริมน้ำและท้องทะเล อันเป็นหัวใจสำคัญของอ่าวคุ้งกระเบน พื้นที่ป่าชายเลน 1,300 ไร่ ทั้งของเก่าและปลูกใหม่ ได้รับการดูแลอนุรักษ์จนกลายเป็นป่าชายเลนที่สมบูรณ์ที่สุดในจันทบุรี แม้จะต้องใช้เวลาปลูกฟื้นฟูยาวนานถึง 30 ปี แต่ผลลัพธ์คือความอุดมสมบูรณ์ที่เห็นได้ชัดเจน จากภาพในอดีตที่ว่างโล่ง มีเพียงต้นแสมทะเลเพียงต้นเดียวในโซน 200 เมตรแรก มาวันนี้คือผืนป่าอันหนาแน่นที่เต็มไปด้วยชีวิต การฟื้นคืนชีพของป่าชายเลนนี้ ได้ดึงดูดนกนานาชนิดให้หวนคืนถิ่น จากไม่กี่สิบชนิดเป็น 128 ชนิด และเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำมากมาย อาทิ ปูแสม ปลากระบอก ปูทะเล และปลาตีน รวมถึงปูก้ามดาบหลากสีสันที่สะท้อนถึงความสมบูรณ์ของระบบนิเวศ ป่าชายเลนแห่งนี้ยังเปรียบเสมือนปอดของประเทศไทยที่ช่วยลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้หลายร้อยตันต่อปี

ในท้องทะเล เราจะพบ หญ้าทะเล บริเวณใกล้สะพานปลา ซึ่งเป็นแหล่งวางไข่ อนุบาลสัตว์น้ำวัยอ่อน ที่หลบภัย และอาหารของสัตว์น้ำบางชนิด เช่น ไข่หมึกหอมที่ชอบวางไข่บนใบหญ้าทะเล นอกจากนี้ หญ้าทะเลยังเป็นอาหารโปรดของ “พะยูน” หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “หมูดุด” สัตว์สงวนที่เคยหายไปจากอ่าวเมื่อปี พ.ศ. 2517 แต่ได้หวนคืนถิ่นกลับมาเป็นตัวแรกเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2549 ซึ่งถือเป็นความสำเร็จสูงสุดของโครงการ การกลับมาของพะยูนเป็นสัญญาณอันดีที่แสดงถึงความสมบูรณ์ของระบบนิเวศที่คืนกลับมาอย่างสมบูรณ์ แม้ปัจจุบันพะยูนจะเข้ามาหากินในช่วงที่น้ำขึ้นเท่านั้น (กลางคืนในช่วงเมษายน-กันยายน และกลางวันในช่วงตุลาคม-มีนาคม) แต่การปรากฏตัวของพวกมันยังคงเป็นสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จของการอนุรักษ์

ธนาคารปูม้า

นอกจากนี้ ศูนย์ฯ ยังมีโครงการ “ธนาคารปูม้า” ที่สำคัญ ซึ่งจะปล่อยลูกปูม้าขนาด 1 มิลลิเมตรลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ เพราะในอ่าวมีอาหารอุดมสมบูรณ์สำหรับลูกพันธุ์สัตว์น้ำวัยอ่อนอยู่แล้ว ทำให้ลูกปูม้าไปเติบโตเองในธรรมชาติ ซึ่งเป็นการเพิ่มชีวมวลลูกปูม้าในท้องทะเล ทำให้ชาวบ้านสามารถจับปูม้าได้ตลอดทั้งปี และยังมี โรงเพาะพันธุ์สัตว์น้ำ ที่มีการเพาะพันธุ์สัตว์น้ำเศรษฐกิจและสัตว์น้ำสวยงามหลากหลายชนิด อาทิ กุ้งขาวเวียดนาม กุ้งกุลาดำ ปลากะพงขาว หอยหวาน และปลานีโม่ หรือปลาการ์ตูน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแหล่งความรู้และการสร้างอาชีพ

ในด้านนวัตกรรม ศูนย์ฯ ยังส่งเสริมให้เกษตรกรหันมาเพาะเลี้ยงสาหร่ายในช่วงที่เว้นว่างจากการเลี้ยงกุ้ง โดยมีหลัก ๆ 2 ชนิด คือ สาหร่ายพวงองุ่น และ สาหร่ายผักกาดทะเล ซึ่งล้วนมีคุณค่าทางโภชนาการสูง สาหร่ายพวงองุ่นอุดมด้วยวิตามินและช่วยต้านอนุมูลอิสระ ส่วนสาหร่ายผักกาดทะเลมีโปรตีนสูงถึง 31% และวิตามินมากมาย สาหร่ายทั้งสองชนิดนี้ไม่เพียงสามารถบริโภคได้โดยตรง แต่ยังสามารถนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์หลากหลาย เช่น สเปรย์แอลกอฮอล์ สบู่ เซรั่ม เส้นก๋วยเตี๋ยว เส้นบะหมี่ หมี่กรอบ น้ำสาหร่าย และคุกกี้ ซึ่งเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตจากท้องทะเลอย่างชาญฉลาด

เพื่อให้ธรรมชาติเกิดความสมดุลและยั่งยืน ในแต่ละปี ศูนย์ฯ ยังมีการจัดกิจกรรมปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำลงสู่ท้องทะเลไม่น้อยกว่า 20 ล้านตัว และมีการวาง ปะการังเทียม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 เพื่อเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำ พร้อมทั้งอนุรักษ์ปะการังธรรมชาติ หอยมือเสือ และไม้ทะเล ซึ่งทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เกิดมาจากแนวคิดและพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทรงห่วงใยความเป็นอยู่ของพวกเรา และความยั่งยืนของทรัพยากรดิน น้ำ และป่าไม้ในอนาคต นี่คือสิ่งที่เราทุกคนควรตระหนักและร่วมมือร่วมใจกันดูแลรักษา เพื่อส่งต่อความอุดมสมบูรณ์นี้ให้ลูกหลานของเราต่อไป

เปิดประสบการณ์ท่องเที่ยวอ่าวคุ้งกระเบน

ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนในวันนี้ จึงไม่ได้เป็นเพียงแหล่งเรียนรู้เชิงวิชาการ แต่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่มอบประสบการณ์อันน่าประทับใจและแฝงไว้ด้วยความรู้มากมาย นักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสธรรมชาติได้อย่างใกล้ชิดบน เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติป่าชายเลน ดื่มด่ำกับความร่มรื่นและความหลากหลายทางชีวภาพของป่าชายเลน ชมวิถีชีวิตของสัตว์เล็กสัตว์น้อย พร้อมฟังคำบรรยายจากวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ หรือจะสนุกกับการพายเรือคายัคชมทัศนียภาพของป่าชายเลนอ่าวคุ้งกระเบน (ให้บริการ 15 ต.ค. – 15 มี.ค. ของทุกปี ราคา 50 บาท/คน/ชั่วโมง)

ที่กระชังปลาและธนาคารปูม้า นักท่องเที่ยวจะได้เรียนรู้วิถีประมง ชมการสาธิตการเลี้ยงสัตว์น้ำ และเรียนรู้แนวคิดธนาคารปูม้าเพื่อการอนุรักษ์ นอกจากนี้ยังสามารถร่วมสนุกกับการให้อาหารปลา และสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษกับการลูบหัว “น้องฉลามเสือดาว” ที่แสนเป็นมิตรและไม่ดุร้าย สามารถป้อนปลาเหยื่อให้น้องฉลามเสือดาวได้อย่างปลอดภัย

และไม่ควรพลาดการเยี่ยมชม แหล่งผลิตสาหร่าย เพื่อเรียนรู้กระบวนการเพาะเลี้ยงและการแปรรูปสาหร่ายพวงองุ่นและสาหร่ายผักกาดทะเล สัมผัสผลิตภัณฑ์นวัตกรรมจากท้องทะเล และที่ อาคารจำหน่ายสินค้า นักท่องเที่ยวสามารถเลือกซื้อผลิตภัณฑ์แปรรูปจากหอยนางรม สาหร่าย พริกไทย น้ำปลา กะปิ และสินค้าเกษตรอื่น ๆ ของกลุ่มแม่บ้านเกษตรกร ซึ่งเป็นการสนับสนุนเศรษฐกิจท้องถิ่นโดยตรง

ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเยี่ยมชมกว่า 700,000 คนต่อปี อ่าวคุ้งกระเบนจึงเป็นเครื่องยืนยันถึงความสำเร็จในการจัดการทรัพยากรชายฝั่งอย่างยั่งยืน เป็นเสมือนพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิต ที่บอกเล่าเรื่องราวแห่งความพากเพียร การฟื้นฟู และการอนุรักษ์ ที่แสดงให้เห็นว่าเมื่อพระบารมีแผ่ไพศาล และความร่วมมือร่วมใจของประชาชนบังเกิด ผลลัพธ์ที่ได้คือความอุดมสมบูรณ์ที่ยั่งยืนจากยอดเขาสู่ใต้ท้องทะเล 

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของ ซีรีส์บทความ “Routes to Roots” โครงการท่องเที่ยวเมืองรองสุดพิเศษที่ถือกำเนิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่าง The Cloud, ทีม Social Designer Lab จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ True Corporation หัวใจสำคัญของโครงการนี้คือการนำข้อมูลการเดินทาง (mobility data) จากทรู มาวิเคราะห์อย่างเข้มข้น เพื่อสร้างสรรค์คลัสเตอร์หรือกลุ่มจังหวัดท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ โดยมุ่งหวังให้เห็นภาพวัฒนธรรมร่วมที่ชัดเจนยิ่งขึ้น และส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนให้เติบโตอย่างยั่งยืนและลึกซึ้ง และในครั้งนี้ เราจะปักหมุดหมายแรกของการเดินทางจากทั้งหมด 6 เส้นทางทั่วประเทศ ที่เน้นหนักเรื่องราวของ “อาหาร” ณ จังหวัดจันทบุรีและตราด ดินแดนบูรพาริมฝั่งทะเลตะวันออก ที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของเครื่องเทศหอมกรุ่น และรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ รอให้คุณมาสัมผัสและค้นพบเรื่องราวที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังจานอร่อยและวิถีชีวิตของผู้คนอย่างแท้จริง

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

พลิกโฉมเศรษฐกิจท่องเที่ยวไทย ด้วย Mobility Data

อิเกีย: จากเฟอร์นิเจอร์ สู่การสร้างความยั่งยืนในทุกมิติของชีวิต 

×

Share

ผู้เขียน