จากบัณฑิตคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี สาขาการตลาด สู่การกุมบังเหียนองค์กรเทคโนโลยีที่เป็นดั่งหัวหอกสำคัญของกรุงศรี เส้นทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่เต็มไปด้วยการเรียนรู้ การปรับตัว และการ “เชื่อมจุด” ประสบการณ์ในอดีตเพื่อวาดภาพอนาคต
พันธกิจหลักของกรุงศรี นิมเบิล ภายใต้การนำของ เศรษฐศิริ เศรษฐภากรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงศรี นิมเบิล จำกัด คือการเป็น “Technology Arm” ของกลุ่มกรุงศรี ที่ไม่ได้เป็นเพียงแผนกเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทำหน้าที่สนับสนุนการดำเนินงานทั่วไป แต่มีบทบาทเชิงรุกในฐานะหน่วยงานยุทธศาสตร์ที่มุ่งสร้างขีดความสามารถทางเทคโนโลยีหลัก และขับเคลื่อนความได้เปรียบในการแข่งขันให้กับกลุ่มกรุงศรีโดยรวม
จากนักการตลาดสู่โลกไอทีและการ “เชื่อมจุด” ประสบการณ์
แม้เศรษฐศิริจะสำเร็จการศึกษาจากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี วิชาเอกด้านการตลาด ซึ่งดูผิวเผินอาจห่างไกลจากโลกไอทีโดยสิ้นเชิง ทว่าประสบการณ์การทำงานแรกเริ่มที่บริษัท FMCG ในตำแหน่งพนักงานขาย แม้จะเป็นบทบาทที่เธอรู้สึกไม่ชอบและอาจจะไม่ใช่เส้นทางที่ปรารถนา กลับกลายเป็นบทเรียนภาคสนามอันทรงคุณค่าอย่างไม่คาดคิด การได้สัมผัสกับความเป็นจริงของตลาดและความต้องการของลูกค้าโดยตรง ได้สร้างความเข้าใจพื้นฐานทางธุรกิจที่จำเป็นอย่างยิ่งยวด เมื่อเธอต้องเปลี่ยนบทบาทมาสู่งานด้านเทคโนโลยีในภายหลัง ซึ่งการเชื่อมโยงเทคโนโลยีเข้ากับความต้องการทางธุรกิจเป็นหัวใจสำคัญ ความไม่พึงพอใจในบทบาทเดิมได้กลายเป็นแรงผลักดันสำคัญให้เธอแสวงหาเส้นทางที่เหมาะสมกับตนเองมากขึ้น จนนำไปสู่การตัดสินใจครั้งสำคัญในการเบนเข็มสู่การศึกษาต่อด้านระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ (Management Information Systems – MIS)
ในช่วงเวลาที่อินเทอร์เน็ตเริ่มทวีบทบาทในชีวิตประจำวันและภาคธุรกิจ เศรษฐศิริเล็งเห็นถึงศักยภาพและการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่กำลังจะมาถึง จึงตัดสินใจเดินทางไปศึกษาต่อด้าน MIS ที่ Utah State University ประเทศสหรัฐอเมริกา การเลือก MIS แทนที่จะเป็นวิทยาการคอมพิวเตอร์ (Computer Science) ซึ่งเธอมองว่า “อาจจะหนักไป” ไม่เพียงสะท้อนการประเมินความถนัดของตนเองอย่างรอบด้านเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงการวางแผนเส้นทางอาชีพอย่างมีวิสัยทัศน์ การเลือก MIS ซึ่งเป็นสาขาที่เชื่อมโยงระหว่างโลกธุรกิจและเทคโนโลยี เป็นการตัดสินใจที่สอดรับกับพื้นฐานความรู้ด้านการตลาดเดิม ขณะเดียวกันก็เป็นการก้าวเข้าสู่แวดวงเทคโนโลยีที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว
หลังสำเร็จการศึกษาด้าน MIS ก็ได้เริ่มต้นเส้นทางอาชีพสายเทคโนโลยีกับบริษัทขนาดเล็กในสหรัฐอเมริกา ซึ่งพัฒนาระบบให้กับ Defense Logistic Agency โดยรับผิดชอบการติดตั้งระบบ Commercial off-the-shelf products (COTS) การทำงานในทีมขนาดเล็กที่มีสมาชิกเพียงประมาณสองคน ทำให้เธอต้องรับผิดชอบงานในขอบเขตที่กว้างขวาง และได้เรียนรู้ทักษะหลากหลายแขนงอย่างรวดเร็ว เมื่อเดินทางกลับประเทศไทย ก็ได้ร่วมงานกับ HSBC ในแผนก Payment and Cash Management รับหน้าที่เป็นผู้ติดตั้งระบบ Cash Management ประสบการณ์ที่ HSBC ทำให้เธอได้มีโอกาสทำงานร่วมกับผู้บริหารระดับสูง (C-level) และได้สัมผัสกับการบริหารโครงการไอที (IT project management) ในระดับเริ่มต้น รวมถึงการมีส่วนร่วมในการเปิดตัว Personal Internet Banking (PIB) ครั้งแรกของ HSBC ซึ่งแม้จะเผชิญกับปัญหาและอุปสรรคมากมาย แต่ก็เป็นประสบการณ์อันล้ำค่า
ก้าวสู่ความเป็นเลิศด้าน Agile: บทเรียนล้ำค่าจาก Reuters สู่การเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง
จากนั้น เศรษฐศิริได้ร่วมงานกับรอยเตอร์ซอฟต์แวร์ (ประเทศไทย) เป็นระยะเวลานานถึง 11 ปี ในตำแหน่ง IT Project Manager หนึ่งในโครงการสำคัญที่เธอรับผิดชอบคือ “Dealing 3000” ซึ่งเป็นหนึ่งในโปรเจกต์ที่สร้างรายได้หลักให้กับรอยเตอร์ และมีลักษณะเป็นระบบ end-to-end ที่มีความซับซ้อนสูง ครอบคลุมทั้ง host servers, clients และ network ในช่วงเวลานี้เองที่รอยเตอร์เริ่มปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานจาก Waterfall project management แบบดั้งเดิมมาเป็น Agile ซึ่งเธอได้มีโอกาสเรียนรู้และนำมาปรับใช้ในช่วงปี 2008-2014 แม้ในตอนแรกเธอจะยอมรับว่า “ไม่มีความเข้าใจเลย” แต่การได้ลงมือปฏิบัติจริงตามแนวทาง Agile เป็นเวลาหลายปี แม้จะเริ่มต้นด้วยความไม่เข้าใจถ่องแท้ กลับเป็นการวางรากฐานเชิงปฏิบัติที่แข็งแกร่งโดยไม่รู้ตัว ประสบการณ์ที่ต้อง “doing Agile” ในแต่ละวันค่อย ๆ ซึมซับเข้าไป จนกระทั่งตกผลึกเป็นความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในภายหลัง
หลังออกจาก Reuters เธอได้ผันตัวไปทำงานเป็นที่ปรึกษาที่บริษัท Bridge Asia ซึ่งทำให้มีโอกาสช่วยเหลือองค์กรต่าง ๆ เช่น Ascend และกรุงไทย-แอกซ่า ในการปรับเปลี่ยนวิธีการทำงาน ประสบการณ์ในบทบาทนี้เองที่ทำให้เธอต้องแนะนำและปรับใช้หลักการ Agile ให้กับองค์กรอื่นที่มีบริบทและความท้าทายที่แตกต่างกัน ทำให้ต้องวิเคราะห์ แยกแยะ และสื่อสารแก่นแท้ของ Agile อย่างลึกซึ้ง บทบาทการเป็น “ผู้สอน” หรือ “ผู้นำการเปลี่ยนแปลง” นี้เองที่ผลักดันให้เธอเกิดความเข้าใจในระดับที่ลึกซึ้งกว่าการเป็นเพียง “ผู้ปฏิบัติ” ในองค์กรของตนเอง
เส้นทางอาชีพของเศรษฐศิริ ซึ่งเธอนิยามว่าเป็น “connecting the dots in a way” คือการร้อยเรียงประสบการณ์อันหลากหลาย ตั้งแต่การตลาด การขาย การบริหารโครงการไอทีในบทบาทต่าง ๆ จนถึงการเป็นผู้นำทีมพัฒนาและวิจัย ล้วนหล่อหลอมให้เธอกลายเป็นผู้บริหารที่มีความสามารถรอบด้านและมีวิสัยทัศน์กว้างไกลในปัจจุบัน การ “connecting the dots” นี้ไม่ใช่เรื่องของโชคช่วยหรือการรอคอยโอกาส แต่เป็นผลลัพธ์ของการเปิดรับประสบการณ์ใหม่ ๆ อย่างกระตือรือร้น การไล่ตามสิ่งที่เธอเชื่อว่า “ใช่” และ “ชอบ” และการคว้าโอกาสที่เข้ามา แม้ว่าในขณะนั้นอาจจะยังมองไม่เห็นภาพรวมทั้งหมดของเส้นทางอาชีพก็ตาม สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าการสร้างเส้นทางอาชีพที่ประสบความสำเร็จนั้นเกิดจากการผสมผสานระหว่างความใฝ่รู้ ความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง และการทำตามเสียงเรียกร้องของหัวใจตนเอง ซึ่งจะทำให้ประสบการณ์ที่หลากหลายสามารถร้อยเรียงเป็นเรื่องราวที่ทรงพลังและมีความหมายได้ในที่สุด
ภารกิจขับเคลื่อนยุทธศาสตร์กรุงศรีสู่อนาคต
บริษัท กรุงศรี นิมเบิล จำกัด ก่อตั้งขึ้นในฐานะบริษัทในเครือกรุงศรี เพื่อให้กลุ่มกรุงศรีสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงนวัตกรรมเพื่อประโยชน์ของลูกค้า พร้อมเสริมสร้างความเป็นผู้นำในตลาด การจัดตั้งเป็นบริษัทแยกออกมาช่วยเอื้อให้เกิดความคล่องตัว วัฒนธรรมองค์กรที่เป็นเอกลักษณ์ และความสามารถในการดึงดูดบุคลากรผู้มีความสามารถเฉพาะทางด้านเทคโนโลยี ซึ่งสอดคล้องกับชื่อ “นิมเบิล” ที่สื่อถึงความว่องไวและความสามารถในการปรับตัว
ในฐานะกรรมการผู้จัดการ กรุงศรี นิมเบิล เศรษฐศิริมีภารกิจสำคัญในการ “ดูแลด้าน กลยุทธ์การขับเคลื่อนกรุงศรี นิมเบิล ให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งในฐานะที่เป็นหน่วยงานสำคัญในการสนับสนุนด้านเทคโนโลยีและพัฒนานวัตกรรมเพื่อรองรับกับการแนวโน้มเปลี่ยนแปลงของโลกการเงินและสอดคล้องกับเป้าหมายการดำเนินงานของกรุงศรีในระยะยาว” บทบาทนี้เทียบเท่าผู้บริหารระดับสูงที่ต้องมองการณ์ไกลและวางแผนการเติบโตอย่างยั่งยืน การดำเนินงานของกรุงศรี นิมเบิล ภายใต้การนำของเธอจะต้องสอดรับกับแผนธุรกิจระยะกลาง (MTBP) ของกรุงศรี ที่มุ่งสู่การเป็น “ธนาคารชั้นนำเพื่อความยั่งยืนในระดับภูมิภาค” (The Leading Sustainable and Regional Bank) โดยมีเทคโนโลยีและการพัฒนาดิจิทัลเป็นเสาหลักสำคัญ ซึ่งกรุงศรีได้ลงทุนไปแล้วกว่า 15,000 ล้านบาท
เศรษฐศิริมีบทบาทสำคัญในการพัฒนา Open Banking API ของกรุงศรีมาตั้งแต่ต้น ปัจจุบัน กรุงศรีมีพอร์ทัลสำหรับนักพัฒนา (developers.krungsri.com) ที่นำเสนอ API หลากหลายประเภท เช่น Fund Transfer API, Corporate Pay Bill, Direct Debit, KMA Push Payment, Pay with KMA/KBOL, PromptPay Alert, eDocument presentment, Krungsri Beyond Procure และ Binding Krungsri Account การมี API ที่ครอบคลุมเช่นนี้ถือเป็นก้าวสำคัญสู่การเป็นธนาคารแบบแพลตฟอร์ม (Platformification) ช่วยให้กรุงศรีสามารถเชื่อมต่อกับพันธมิตรภายนอก สร้างบริการใหม่ๆ และยกระดับประสบการณ์ลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว
กรุงศรี นิมเบิล: ก่อตั้งบนรากฐาน Agile ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและบุคลากร
เศรษฐศิริเล่าว่า กรุงศรี นิมเบิล ถูกสร้างขึ้นบนรากฐานของ Agile อย่างแท้จริง ทำให้ Agile ไม่ใช่เป็นเพียงวิธีการที่นำมาปรับใช้ภายหลัง แต่เป็นส่วนหนึ่งของ DNA ขององค์กรตั้งแต่เริ่มต้น โดยให้ความสำคัญกับ 3 ปัจจัยหลักในการดำเนินงาน ได้แก่ ประสิทธิภาพในการส่งมอบผลงานที่สร้างผลกระทบต่อธุรกิจ (delivery effectiveness), การสร้างแพลตฟอร์มเทคโนโลยีที่มั่นคง สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ และขยายขนาดได้ (reusable, scalable, stable platform), และที่สำคัญคือ การพัฒนาบุคลากรให้มีความพร้อม (people development)
กรุงศรี นิมเบิล ก่อตั้งขึ้นมาราว 5-6 ปี ด้วยพันธกิจการเป็น “Technology Arm” ของกลุ่มกรุงศรี จากจุดเริ่มต้นที่มีทีมงานค่อนข้างเล็ก ปัจจุบันกรุงศรี นิมเบิล เติบโตอย่างแข็งแกร่งจนมีพนักงานประมาณ 270 กว่าคน และคาดว่าจะขยายถึง 300 คนภายในปีนี้ ทีมงานประกอบด้วยบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญหลากหลาย ไม่เพียงแต่ Developer และ QA ซึ่งเป็นกำลังหลัก แต่ยังรวมถึง Technical PO, Technical PM, ผู้เชี่ยวชาญด้าน UX/UI design journey, API integration และอื่น ๆ เพื่อให้สามารถส่งมอบโซลูชันแบบ end-to-end ได้อย่างครบวงจร นอกจากนี้ กรุงศรี นิมเบิล ยังมีทีมงานสนับสนุนส่วนกลาง (corporate functions) ของตนเอง เช่น HR, Finance, Marketing และ Branding ทำให้สามารถดำเนินงานได้อย่างคล่องตัว
โครงการ Mortgage Digitization เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของแนวทางการทำงานของทีม ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญก่อนการก่อตั้งนิมเบิล แม้ว่าในช่วงแรกของการเปิดตัวผลิตภัณฑ์จะประสบปัญหา แต่ด้วยบรรยากาศของความปลอดภัยทางจิตใจ (psychological safety) และความเป็นเจ้าของร่วมกัน (shared ownership) ระหว่างทีมธุรกิจและไอที ทำให้ทีมงานเกิดความฮึกเหิมและสามารถปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์จากเว็บแอปพลิเคชันมาเป็นโมบายล์แอปพลิเคชันสำหรับทีมขายภายในได้อย่างรวดเร็ว จนประสบความสำเร็จอย่างสูง สามารถเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ได้ถึง 21 ฟีเจอร์ภายในหนึ่งปี และได้รับรางวัลถึง 10 รางวัล คุณเศรษฐศิริให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีพื้นฐานอย่าง API และ Open Banking โดยมองว่าเป็นหัวใจสำคัญของ Digital Transformation ซึ่งได้พิสูจน์ความสำเร็จแล้วจากการสร้างรายได้ สำหรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น Generative AI (Gen AI) นิมเบิลมีแนวทางการนำมาปรับใช้อย่างระมัดระวังและมุ่งเน้นคุณค่าที่จับต้องได้
กรุงศรีได้ร่วมมือกับ Amazon Web Services (AWS) พัฒนา AI Agents โดยใช้ Amazon Bedrock ซึ่งช่วยลดระยะเวลาในการย้ายระบบขึ้นคลาวด์ได้มากกว่า 50% นอกจากนี้ ยังมีการนำ AI มาใช้ในกรณีศึกษาที่น่าสนใจ เช่น การตรวจจับบัญชีม้า (Mule Account Detection) โดยใช้ Amazon SageMaker ในการตรวจจับบัญชีที่ต้องสงสัยว่าจะเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางการเงินได้อย่างแม่นยำและ proactively มากขึ้น การพัฒนาระบบประเมินราคาคอนโดมิเนียมโดยใช้โมเดลจาก Amazon SageMaker ก็ช่วยลดการเดินทางไปประเมินหน้างานกว่า 2,000 ครั้ง ประหยัดค่าใช้จ่ายประมาณ 5 ล้านบาท และลดระยะเวลาประเมินจาก 3 วันเหลือเพียง 15 นาทีต่อกรณี อีกทั้งยังมีการใช้ Amazon SageMaker ปรับปรุงการบริหารจัดการเงินสดสำหรับตู้ ATM ทั่วประเทศ โดยรวมโมเดล Machine Learning กว่า 6,000 โมเดลเหลือเพียง 3 โมเดล ทำให้การพยากรณ์ความต้องการเงินสดแม่นยำขึ้น และเพิ่มความพร้อมใช้งานของตู้ ATM
โครงการเหล่านี้ไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี แต่ยังส่งผลดีต่อการดำเนินงานของธนาคาร ทั้งการตรวจจับการทุจริตที่ชาญฉลาดขึ้น กระบวนการทำงานที่รวดเร็วขึ้น และการบริการลูกค้าที่ดีขึ้น สอดคล้องกับกลยุทธ์ AI และการลงทุนด้านไอทีของกรุงศรีโดยรวม นอกจากนี้ บล็อกของกรุงศรี นิมเบิล ที่มีบทความเกี่ยวกับ “Prompt Engineering” และ “The Future of Business Process” ยังแสดงถึงความเป็นผู้นำทางความคิดในด้านนี้
วิสัยทัศน์ผู้นำ ณ กรุงศรี นิมเบิล: สร้างรากฐาน วัฒนธรรม และทีมงานคุณภาพ
กรุงศรี นิมเบิล ให้ความสำคัญกับการทำงานร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ อย่างบูรณาการ ทั้งภายในกลุ่มกรุงศรี การร่วมมือกับกรุงศรี ฟินโนเวต เพื่อเชื่อมต่อกับกลุ่มสตาร์ตอัพ การสร้างเครือข่ายกับสถาบันการศึกษา และการทำงานร่วมกับเครือข่าย MUFG ในระดับโลกเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ทำให้กรุงศรี นิมเบิล เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ที่ไม่หยุดนิ่ง เศรษฐศิริมองว่าการที่ธนาคารต่าง ๆ จัดตั้งหน่วยงานเทคโนโลยีเฉพาะของตนเอง เป็นผลมาจากความท้าทายร่วมกันในอุตสาหกรรม ทั้งการ “รับคนเทคได้ไม่เร็วพอ” และการที่ธุรกิจหลักของธนาคารไม่ใช่การพัฒนาเทคโนโลยีโดยตรง
กรุงศรี นิมเบิล มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเสาหลักเชิงกลยุทธ์ทั้งสามประการตามแผนธุรกิจระยะกลาง (MTBP) ล่าสุดของธนาคารกรุงศรี ได้แก่ ความยั่งยืนขององค์กร (sustainable growth) ผลิตภาพและประสิทธิภาพ (productivity and efficiency) และการปฏิรูปองค์กร (corporate transformation) นิมเบิลเป็นผู้ขับเคลื่อนสำคัญ เช่น การริเริ่ม “กรีนโค้ดดิ้ง” (Green Coding) การเน้นสร้างโค้ดคุณภาพและความปลอดภัยตั้งแต่เริ่มต้น และการนำระบบอัตโนมัติมาใช้ นอกจากนี้ กรุงศรี นิมเบิล ยังมีส่วนร่วมสนับสนุนโครงการ “Jupiter” ซึ่งเป็นโครงการปฏิรูปองค์กรครั้งสำคัญของธนาคารกรุงศรี ตอกย้ำบทบาทในฐานะตัวแทนการเปลี่ยนแปลง (change agent)
แม้เศรษฐศิริ จะมีวิสัยทัศน์ระยะยาวในการให้บริการแก่กลุ่ม MUFG แต่ในฐานะผู้นำของกรุงศรี นิมเบิล เธอมุ่งเน้นเป้าหมายเร่งด่วนไปที่การสร้างรากฐาน (Foundation) ที่แข็งแกร่ง ก่อนจะพิจารณาการขยายตัวหรือการร่วมมือด้านเทคโนโลยีล้ำสมัย (Frontier Technology)
กลยุทธ์การดึงดูดและรักษาบุคลากรของกรุงศรี นิมเบิล ครอบคลุมหลายมิติ นอกเหนือจากผลตอบแทนทางการเงิน ยังรวมถึงโอกาสในการทำงานกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ วัฒนธรรมองค์กรที่ผู้บริหารเป็น “ผู้นำ” มากกว่า “เจ้านาย” การเปิดกว้างให้เสนอความคิดเห็น การสร้างผลกระทบที่แท้จริง เส้นทางอาชีพที่ชัดเจน และรูปแบบการทำงานแบบผสมผสาน (Hybrid Work) ซึ่งสำคัญอย่างยิ่งในตลาดงานเทคโนโลยีที่มีการแข่งขันสูง
“อยากจะสร้างบรรยากาศการทำงานที่กรุงศรี นิมเบิล ให้ยอดเยี่ยมเช่นเดียวกับประสบการณ์ที่เคยได้รับจาก Reuters ซึ่งสนุกมาก ไม่เคยรู้สึกว่าตื่นมาทำงาน ไม่เคยรู้สึกว่าเป็นการบังคับ ต้องการให้พนักงานรู้สึกว่าการมาทำงานที่นิมเบิลคือโอกาสในการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เรียนรู้จากองค์กรที่ดีของกรุงศรี พัฒนาตนเอง เจอเพื่อนร่วมงานที่สนุกสนานและไว้วางใจกัน”
กรุงศรี นิมเบิล ภายใต้การนำของเศรษฐศิริ ไม่เพียงแต่มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ของกรุงศรีในการก้าวสู่การเป็น “ธนาคารชั้นนำเพื่อความยั่งยืนในระดับภูมิภาค” แต่ยังเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างสรรค์อนาคตทางการเงินของประเทศไทยและอาจรวมถึงในระดับภูมิภาค ความสำเร็จของกรุงศรี นิมเบิล อาจกลายเป็นต้นแบบและแรงบันดาลใจให้กับสถาบันการเงินอื่น ๆ ที่กำลังมองหาแนวทางในการสร้างขีดความสามารถด้านนวัตกรรมภายในองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพที่พร้อมจะนำพากรุงศรีทะยานไปข้างหน้าในโลกการเงินที่ไม่หยุดนิ่ง และสร้างนิยามใหม่ให้กับประสบการณ์ทางการเงินสำหรับทุกคน