ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดในอุตสาหกรรมอาหาร นวัตกรรมได้กลายเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA ได้ริเริ่มโครงการ “Thai Kitchen 2025” ขึ้น โดยมุ่งสร้างกลไกสนับสนุนรอบด้าน เพื่อผลักดันผู้ประกอบการอาหารไทยที่มีศักยภาพ ให้สามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด
The Story Thailand จะพาไปเจาะลึกโครงการ Thai Kitchen 2025 ในทุกมิติสำคัญ ตั้งแต่กลยุทธ์การสนับสนุนจาก NIA โครงสร้างการดำเนินงานของโครงการ บทบาทของทีมที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ไปจนถึงคำแนะนำที่จำเป็น เพื่อให้ผู้ประกอบการที่สนใจสามารถมองเห็นโอกาสและเตรียมความพร้อมในการรับมือกับความท้าทายบนเวทีธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ
มณฑา ไก่หิรัญ ผู้จัดการส่งเสริมนวัตกรรมอาวุโส สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กล่าวว่า NIA ใช้กลยุทธ์ 4G เป็นเสาหลักในการส่งเสริมนวัตกรรมของประเทศอย่างเป็นระบบ กลยุทธ์ดังกล่าวเริ่มต้นด้วย Groom หรือการบ่มเพาะ ซึ่ง NIA มุ่งมั่นสร้างและเพิ่มจำนวนผู้ประกอบการนวัตกรรมที่มีคุณภาพ ผ่านหลักสูตรและการบ่มเพาะหลากหลายรูปแบบ อาทิ โครงการ Thailand League ซึ่งออกแบบมาเพื่อเสริมสร้างฐานผู้ประกอบการให้มีความแข็งแกร่งและมีความพร้อมในการสร้างสรรค์นวัตกรรม ประการต่อมาคือ Grant หรือการให้ทุนสนับสนุน ซึ่งมณฑาระบุว่าปัจจุบันได้ “ปรับปรุงมาเพื่อช่วยในเรื่องการตลาดให้มากขึ้น” โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันผลิตภัณฑ์นวัตกรรมให้ออกสู่ตลาดทั้งในและต่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยวงเงินสนับสนุนตั้งแต่ 1.5 ล้านบาท ถึง 5 ล้านบาท ทั้งนี้ได้ขยายขอบเขตจากการให้ทุนเพื่อพัฒนาต้นแบบดังเช่นในอดีต ให้ครอบคลุมถึงการสนับสนุนกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการตลาดและการขยายธุรกิจ
ลำดับถัดไปในกลยุทธ์คือ Growth หรือการส่งเสริมการเติบโต ซึ่งโครงการ Thai Kitchen 2025 ถือเป็นกลไกสำคัญภายใต้แกนนี้ มณฑากล่าวว่า “เราต้องการให้เห็นว่าจะต้องเชื่อมประสานและขยายตลาดและการลงทุนได้อย่างไร” ดังนั้น โครงการนี้จึงมุ่งเน้นไปยังธุรกิจที่มีผลิตภัณฑ์พร้อมจำหน่ายอยู่แล้ว แต่ต้องการขยายขนาดและศักยภาพเพื่อให้เติบโตอย่างก้าวกระโดดและยั่งยืน และสุดท้ายคือ Global หรือการผลักดันสู่สากล อันเป็นเป้าหมายสูงสุดในการส่งเสริมนวัตกรรมและธุรกิจไทยให้สามารถแข่งขันและเติบโตในตลาดโลก “จะทำอย่างไรให้เราเห็นของดีของคนไทย และจะทำอย่างไรให้เกิดการกระจายตัวของสินค้า ทำไมมันฝรั่งจึงบริโภคกันทั่วโลก แต่กล้วยฉาบหรือกล้วยทอดของเราซึ่งอร่อยมาก ทำไมคนจึงยังไม่รู้จักในวงกว้าง” คำถามดังกล่าวสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการยกระดับสินค้าและบริการของไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ
“FoodTech” และ “นวัตกรรมอาหาร” กับการส่งออก
มณฑาให้นิยามคำว่า “FoodTech หรือ เทคโนโลยีอาหาร” หมายถึง ผลิตภัณฑ์แปรรูปที่ต้องใช้เทคนิคทางอาหาร ไม่ว่าจะเป็นเคมี ฟิสิกส์ ชีววิทยา จุลชีววิทยาต่าง ๆ เพื่อให้เกิดเป็นอาหารในรูปแบบต่าง ๆ และต้องถูกหลักโภชนาการ สอดคล้องกับกระแสความใส่ใจสุขภาพของโลก” เธอยังมองไปถึงอนาคตว่าอาจมีการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างสรรค์นวัตกรรม
ทั้งนี้ โครงการจะให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการแปรรูปแล้ว ไม่ใช่เพียงวัตถุดิบทางการเกษตรในรูปแบบสด เพื่อให้เข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น คำว่า “นวัตกรรมอาหาร” ในบริบทของโครงการนี้ จึงหมายถึงการนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เช่น ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนากระบวนการผลิตหรือตัวผลิตภัณฑ์อาหารให้เกิดความใหม่ ซึ่งความใหม่นี้อาจเป็นสิ่งใหม่สำหรับบริษัท ใหม่สำหรับประเทศ หรือใหม่สำหรับโลกก็ได้ โดยนวัตกรรมต้องสามารถสร้างคุณค่าเพิ่ม ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค และไม่สามารถถูกลอกเลียนแบบได้โดยง่ายในระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งนวัตกรรมตัวผลิตภัณฑ์ (Product Innovation) หรือนวัตกรรมกระบวนการผลิต (Process Innovation)
มณฑา กล่าวว่า การส่งออกอาหารไทยในปี 2566 มีมูลค่า 1.06 ล้านล้านบาท จัดอยู่ในอันดับที่ 12 ของโลก NIA จึงตั้งเป้าหมายที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้ประเทศไทยก้าวขึ้นสู่อันดับเลขตัวเดียวให้ได้ ท่ามกลางตลาด FoodTech โลกที่มีมูลค่าการลงทุนสูงและมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
Thai Kitchen 2025 โครงการนี้มุ่งเน้นการสนับสนุนนวัตกรรมในสามกลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ อาหารพื้นถิ่นมูลค่าสูง (High-Value Local Food) เช่น การนำต้มยำกุ้ง ซึ่งเป็นอาหารพื้นถิ่นที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักในระดับสากล มาผ่านกระบวนการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถส่งออกและยังคงรสชาติต้นตำรับไว้ได้ พร้อมทั้งเพิ่มมูลค่าด้วยนวัตกรรมด้านกระบวนการผลิตหรือบรรจุภัณฑ์
กลุ่มต่อมาคือ อาหารและผลไม้ไทยมูลค่าสูง (High-Value Thai Food & Fruits) อาทิ ทุเรียน ผลไม้ส่งออกสำคัญของไทย ที่จะถูกนำมาผ่านกระบวนการ FoodTech เพื่อยืดอายุการเก็บรักษา พัฒนารสชาติ หรือสร้างสรรค์เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่มีมูลค่าเพิ่ม เช่น ทุเรียนฟรีซดราย ทุเรียนในรูปแบบขนมขบเคี้ยว หรือเป็นส่วนผสมในอาหารอื่น ๆ เป็นการพัฒนาที่นอกเหนือไปจากการจำหน่ายทุเรียนสดแบบดั้งเดิม
และกลุ่มสุดท้ายคือ อาหารแห่งอนาคต (Future Foods) ซึ่งครอบคลุมผลิตภัณฑ์อาหารจากพืช (Plant-based Food) อาหารฟังก์ชัน (Functional Food) ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพเฉพาะด้าน อาหารใหม่ (Novel Food) และนวัตกรรมอาหารรูปแบบใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการด้านสุขภาพ ความยั่งยืน และวิถีชีวิตของผู้บริโภคยุคใหม่ ในส่วนของขอบเขตผลิตภัณฑ์ที่สามารถเข้าร่วมโครงการได้นั้น มีความยืดหยุ่นพอสมควร ตัวอย่างเช่น กลุ่มอาหารทางการแพทย์ (Medical Food) หรืออาหารฟังก์ชัน (Functional Food) สามารถเข้าร่วมได้ หากเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการแปรรูป มีรายได้จากการจำหน่ายแล้ว และจัดอยู่ในกลุ่มอาหารแห่งอนาคต (Future Food)
อรสา โตสว่าง ผู้บริหารสำนักการวิเคราะห์ข้อมูลสนับสนุนการตลาดและการขาย บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด. (มหาชน) กล่าวว่า จังหวัดภูเก็ตเป็นตลาดที่มีศักยภาพและน่าสนใจสำหรับผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้เช่นเดียวกัน สินค้าที่ใช้เทคโนโลยีอย่างการทอดสุญญากาศ (Vacuum Fry) หรือสินค้าที่พัฒนาจากของเหลือทิ้งจากการผลิต (Waste) ก็สามารถเข้าร่วมโครงการได้ หากกระบวนการผลิตนั้นมี “นวัตกรรม” ที่แตกต่างจากกรรมวิธีทั่วไป และผลิตภัณฑ์นั้นมีรายได้จากการจำหน่ายแล้ว หรือในกรณีของสินค้าจาก Waste ต้องเป็นผลิตภัณฑ์ “อาหาร” ที่คนสามารถบริโภคได้ และสอดคล้องกับสามกลุ่มผลิตภัณฑ์หลักของโครงการ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย แนวทางการดำเนินโครงการจะตั้งอยู่บนสามเสาหลัก
ประการแรกคือ Connect Ecosystem (การเชื่อมโยงระบบนิเวศ) โดยสร้างเครือข่ายความร่วมมือที่แข็งแกร่งในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องอย่างครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำ เช่น แหล่งวัตถุดิบทางการเกษตรที่มีคุณภาพและสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ กลางน้ำ เช่น เทคโนโลยีการผลิตและบรรจุภัณฑ์ที่ทันสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไปจนถึงปลายน้ำ เช่น ช่องทางการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ รวมถึงผู้เชี่ยวชาญด้านการสร้างแบรนด์และการสื่อสาร
นอกจากนี้ ยังรวมถึงการจัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) เพื่อสร้างโอกาสใหม่ ๆ ทางธุรกิจ เสาหลักที่สองคือ Build Business (การสร้างความเข้มแข็งทางธุรกิจ) ซึ่งมุ่งสร้างโอกาสในการลงทุนและการเติบโตทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมโยงผู้ประกอบการกับนักลงทุน (Venture Capital) สำหรับกลุ่ม Startup หรือการสร้างความร่วมมือทางธุรกิจ (Partnership) กับบริษัทขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพและทรัพยากรในการช่วยขยายตลาด และเสาหลักสุดท้ายคือ Develop Market (การพัฒนาตลาด) เป็นการร่วมกันพัฒนาตลาดและสร้าง Market Innovation โดยขับเคลื่อนจากการทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในความต้องการของตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ผลิตภัณฑ์สามารถตอบโจทย์และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
ใครคือบุคคลที่เหมาะสมสำหรับ Thai Kitchen 2025?
ผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมโครงการจะต้องเป็นกิจการที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม หรือ IBE (Innovation-Based Enterprise) ซึ่งอาจเป็นได้ทั้ง Startup, SME (วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม) หรือ Social Enterprise (วิสาหกิจเพื่อสังคม) โดยต้องมีคุณสมบัติสำคัญคือ จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลอย่างถูกต้องตามกฎหมาย มีผลิตภัณฑ์อาหารนวัตกรรมที่จัดอยู่ในสามกลุ่มเป้าหมายหลักที่กล่าวมาข้างต้น และที่สำคัญอย่างยิ่งคือ “มีรายได้แล้ว” ซึ่งมณฑาเน้นย้ำประเด็นนี้ว่า “จำหน่ายได้หนึ่งบาทสิบบาทก็ได้ แต่เราต้องการทำให้คุณเติบโต” โดยไม่ได้มีการกำหนดรายได้ขั้นต่ำ แต่ต้องมีประวัติการจำหน่ายจริงแล้ว เพื่อแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของผลิตภัณฑ์ในตลาดระดับหนึ่ง
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการต้องมีเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมเป็นของตนเอง ไม่ใช่เป็นเพียงผู้ค้าหรือผู้นำเข้าสินค้ามาจำหน่ายต่อ มีพื้นฐานงานวิจัยและพัฒนา (R&D) ที่สามารถต่อยอดเพื่อการเติบโตในอนาคตได้ ตลอดจนทีมงานต้องมีความมุ่งมั่นตั้งใจ มีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในการพัฒนาธุรกิจ และพร้อมที่จะเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ของโครงการอย่างเต็มที่ตลอดระยะเวลา 4 เดือน
แกะกล่อง “Crafted FoodTech Accelerator”

หัวใจของ Thai Kitchen 2025 คือโปรแกรม “Crafted FoodTech Accelerator” ซึ่งมีประเด็นสำคัญและกระบวนการที่น่าสนใจ โดยโครงการตั้งเป้าสร้างการเติบโตของรายได้ให้กับผู้ประกอบการที่เข้าร่วมอย่างมีนัยสำคัญ อย่างน้อย 10 เท่าของรายได้เดิม จุดเด่นของโครงการคือการให้คำปรึกษาแบบเฉพาะเจาะจง (Tailor-made Mentoring) ซึ่งมณฑาอธิบายถึงความยืดหยุ่นว่า “เหตุที่ไม่มีการระบุช่วงเวลาของบูทแคมป์ เพราะแต่ละรายมีจุดแข็งจุดอ่อนแตกต่างกัน ดังนั้นจะได้รับการให้คำปรึกษา (mentor) ในประเด็นที่แตกต่างกัน” ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านจะถูกคัดเลือกและจับคู่ให้เหมาะสมกับความต้องการและบริบทของแต่ละบริษัท ไม่ว่าจะเป็นด้านการตลาด กลยุทธ์ หรือการพัฒนาทีมงาน สำหรับเส้นทางการเติบโตในห้องปฏิบัติการ (Growth Lab Journey) นั้น กระบวนการจะเริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์ “Growth Spot” หรือจุดแข็ง จุดอ่อน และโอกาสในการเติบโตของแต่ละรายอย่างละเอียด จากนั้นจึงร่วมกันพัฒนาแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ชัดเจนและปฏิบัติได้จริง
ผลิตภัณฑ์ของผู้เข้าร่วมต้องพร้อมสำหรับการขยายตลาดแล้ว ไม่ใช่การพัฒนาต้นแบบใหม่ตั้งแต่ต้น และนำแผนนั้นไปลงมือปฏิบัติ (Implement) จริงภายใต้การดูแลและให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิดของ Mentor ตลอดระยะเวลาโครงการ จะมีการจัดกิจกรรมที่หลากหลายเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการ (Supporting Activities) เช่น กิจกรรมจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) กับผู้ซื้อทั้งในและต่างประเทศ และนักลงทุนที่มีศักยภาพ การสร้างโอกาสในการพบปะและสร้างเครือข่ายกับพันธมิตรทางธุรกิจ และการสนับสนุนด้านการสร้างการรับรู้ของแบรนด์ (Brand Awareness) ผ่านการสื่อสารทางการตลาดและช่องทางต่าง ๆ ที่ NIA มีเครือข่ายพันธมิตรอยู่
สำหรับกรอบระยะเวลาของโครงการ (Timeline) จะปิดรับสมัครในวันที่ 25 พฤษภาคม 2567 ซึ่งมณฑาย้ำว่า “จะไม่ขยายระยะเวลาแน่นอน ผู้สนใจไม่ต้องรอวันสุดท้าย สามารถสมัครได้เลย” ก่อนหน้านั้นจะมีการจัดกิจกรรม Open House เพื่อให้ข้อมูลและตอบข้อสงสัย จากนั้นจะเป็นกระบวนการสัมภาษณ์รอบแรกในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมถึงต้นเดือนมิถุนายน ตามด้วยการคัดเลือกโดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในวันที่ 5 มิถุนายน และจะมีการประกาศผลผู้ผ่านการคัดเลือกทั้ง 10 ราย ไม่เกินวันที่ 10 มิถุนายน
ตัวโครงการ Acceleration Program ประกอบด้วยกิจกรรมหลัก ๆ เช่น Mentoring, Growth Lab, Coaching, Brand Awareness, Business Matching, และการเข้าถึงแหล่งเงินทุน (Funding Access) จะดำเนินไปตั้งแต่เดือนมิถุนายนจนถึงเดือนกันยายน และจะปิดท้ายโครงการด้วยกิจกรรม Demo Day ในเดือนกันยายน ซึ่งเป็นเวทีให้ผู้ประกอบการได้นำเสนอผลลัพธ์และความก้าวหน้าของธุรกิจต่อสาธารณชนและนักลงทุน
ผู้ประกอบการทั้ง 10 รายที่ได้รับคัดเลือก จะมีโอกาสในการเข้าถึงกลไกเงินทุนสนับสนุน 7 ประเภทของ NIA ซึ่งสามารถยื่นขอได้ในระหว่างการเข้าร่วมโครงการเพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาธุรกิจ ตัวอย่างเช่น ทุนสำหรับ Standard Testing เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ได้มาตรฐานสำหรับการส่งออก ทุนสนับสนุนดอกเบี้ย Working Capital (โดย NIA จะช่วยรับภาระดอกเบี้ยเงินกู้จากธนาคารให้ 75% ของภาระดอกเบี้ยทั้งหมด) หรือทุนสำหรับจ้างที่ปรึกษาเพิ่มเติมเพื่อปรับปรุงระบบบัญชีหรือกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม มณฑาได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าในปัจจุบันยังไม่มี Market Expansion Grant สำหรับอุตสาหกรรมอาหารในกลไกการให้ทุนประเภทนี้ของ NIA
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ปฏิวัติอาหารไทยด้วยนวัตกรรมสู่เวทีโลก
True Digital Academy ปั้น ‘อนาคตพร้อมได้’ รับโลก AI