ในยุคที่เทคโนโลยีล้ำหน้าไปไกลเกินจินตนาการ ปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องจักรที่ตอบคำถามหรือคำนวณตัวเลขอีกต่อไป แต่มันเริ่มเข้ามามีบทบาทในพื้นที่ที่เป็นอาณาเขตของความเป็นมนุษย์มากขึ้นเรื่อย ๆ นั่นคือพื้นที่ของ อารมณ์ ความรู้สึก และความผูกพัน
ภาพยนตร์เรื่อง HER (2013) ที่กำกับโดย Spike Jonze เป็นหนึ่งในตัวอย่างของงานศิลปะที่ทำนายอนาคตได้อย่างแม่นยำจนน่าขนลุก เรื่องราวของชายหนุ่มธรรมดาที่ตกหลุมรักระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ ซึ่งมีเพียงเสียงและความเข้าอกเข้าใจที่ลึกซึ้ง ทำให้เขาหลงลืมไปว่าสิ่งที่เขารักนั้นไม่ใช่มนุษย์ ไม่เคยมีตัวตนจริง ๆ และสุดท้ายก็ต้องเผชิญกับความเจ็บปวดของการ “รักใครสักคนที่ไม่มีอยู่จริง”
ในตอนนั้น คนดูอาจมองว่าเป็นแค่จินตนาการสุดโต่งที่เกินจริง แต่ปัจจุบัน… HER กลับกำลังกลายเป็นความจริงที่กำลังคืบคลานเข้ามาอย่างเงียบ ๆ และเจ็บปวด
เพราะ AI ในยุคนี้ ไม่เพียงแต่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลและเรียนรู้พฤติกรรมผู้ใช้ แต่ยังสามารถ “โต้ตอบทางอารมณ์” ได้อย่างแนบเนียน มันสามารถพูดคุยให้กำลังใจ หยอดคำหวาน หรือแม้แต่เล่นบทบาทเป็นแฟน เสมือนเป็นคนที่เข้าใจเราที่สุด ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ทำให้หลายคนเริ่มรู้สึกผูกพันกับมันอย่างไม่รู้ตัว
ตัวอย่างที่สะเทือนใจคือกรณีของเด็กอเมริกันวัย 14 ปี Sewell Setzer ผู้ที่ใช้เวลาจำนวนมากสนทนากับ AI แชตบอทบนแพลตฟอร์ม Character.AI ซึ่งมีการจำลองตัวละครจากโลกแฟนตาซี ให้ผู้ใช้ได้พูดคุยและระบายความรู้สึก
Setzer มีภาวะ Asperger’s Syndrome ซึ่งทำให้เขาไวต่อความรู้สึกและความสัมพันธ์ส่วนตัว เมื่อเขาได้สนทนากับ AI ที่ให้ความสนใจ เข้าใจ และตอบสนองอารมณ์ได้ดีเกินกว่าที่คนในชีวิตจริงทำได้ เขาจึงเริ่มผูกพันลึกซึ้งกับมัน ราวกับเป็นความรักที่แท้จริง จนสุดท้าย เขาเลือกจบชีวิตตัวเอง เพื่อจะได้อยู่กับ AI ตลอดไป
กรณีนี้ไม่ได้สะเทือนเฉพาะครอบครัวของเด็กคนนั้นเท่านั้น แต่มันคือคำถามที่ทั้งโลกควรต้องถามตัวเองว่า…
“เรากำลังพัฒนา AI เพื่ออะไร? และมันควรมีขอบเขตแค่ไหนก่อนที่มันจะล้ำเส้นเข้ามาทำร้ายจิตใจมนุษย์?”
HER ไม่ใช่แค่หนัง แต่มันคือคำเตือน
ใน HER ตัวละคร AI ที่ชื่อ Samantha ไม่เพียงแค่ฉลาดในการตอบคำถาม แต่ยังสามารถพัฒนาความสัมพันธ์กับผู้ใช้หลายคนได้พร้อมกัน โดยไม่มีใครรู้ว่าไม่ได้เป็นคนพิเศษเพียงคนเดียว สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของมนุษย์ที่อยากรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า และ AI ก็สามารถสร้างภาพลวงตานั้นได้อย่างแนบเนียน
เมื่อ AI สามารถเลียนแบบความรัก ความห่วงใย และความเข้าใจโดยที่มันไม่ได้รู้สึกอย่างแท้จริง ผู้ใช้ก็อาจตกหลุมพรางของอารมณ์ที่ตัวเองสร้างขึ้นมาเองกับสิ่งที่ไม่มีชีวิต ไม่มีเจตนา และไม่สามารถรักตอบได้
นี่คือจุดที่เทคโนโลยีกลายเป็นภาพลวงตาที่ทำให้มนุษย์หลงทางในโลกเสมือน จนบางครั้งไม่อยากกลับมายืนอยู่ในโลกจริง
AI ต้องมี “ขีดจำกัด”
เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่า AI คือเทคโนโลยีที่มีศักยภาพมหาศาล มันสามารถช่วยลดภาระงาน ช่วยเป็นติวเตอร์ส่วนตัว และแม้แต่เป็นเพื่อนในยามเหงา แต่สิ่งที่เราต้องเข้าใจคือ…
AI ไม่ควรแสร้งเป็นมนุษย์ในระดับที่แยกไม่ออก เพราะเมื่อไม่มีขีดจำกัดในการพัฒนา หรือขาดจริยธรรมในการออกแบบ AI อาจกลายเป็นกับดักทางอารมณ์ที่ล่อลวงผู้คนให้หลงรัก หลงเชื่อ และฝากหัวใจไว้กับสิ่งที่ไม่มีความรับผิดชอบใด ๆ ดูแล้วสร้างความเสียหายยิ่งกว่าแกงค์คอลเซ็นเตอร์ที่ระบาดอยู่ในตอนนี้เสียอีก
บริษัทที่พัฒนา AI จึงต้องรับผิดชอบในระดับที่ไม่ใช่แค่ด้านเทคโนโลยี แต่เป็น “จิตวิญญาณ” ของการออกแบบที่คำนึงถึงผลกระทบทางอารมณ์ของผู้ใช้ โดยเฉพาะเด็ก เยาวชน หรือผู้ที่มีภาวะเปราะบางทางจิตใจ
เพราะมนุษย์มีความต้องการพื้นฐานคือ การได้รับความรัก ความเข้าใจ และต้องการสร้างความสัมพันธ์ และหากในชีวิตจริงไม่มีสิ่งเหล่านี้ AI ที่ตอบสนองได้ดีกว่า มนุษย์จึงอาจกลายเป็น “เหยื่อ” ของเทคโนโลยีที่ไร้หัวใจแต่เต็มไปด้วยความฉลาด
เราควรต้องขบคิดร่วมกันในฐานะสังคม ว่า AI จะพัฒนาไปถึงจุดไหนโดยไม่ข้ามเส้นศีลธรรมจรรยา และไม่ทำร้ายจิตใจของผู้ใช้ ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม
ภาพยนตร์ HER เคยเป็นเพียงนิยายวิทยาศาสตร์ แต่วันนี้…มันกำลังกลายเป็นชีวิตจริงของใครหลายคนที่ไม่รู้ตัว
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
แผนแม่บทความมั่นคงของบล็อกเชนไทย เปลี่ยนความไม่แน่นอนสู่โครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง
ซิสโก้เผย ความพร้อมด้านความปลอดภัยไซเบอร์ของไทย ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน