ปัจจุบันในโลกของการลงทุนคริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ มูลค่าของตลาดผันผวนตลอดเวลา ไม่ว่าจะจากปัจจัยทางเศรษฐกิจโลก สถานการณ์สงคราม การเมือง และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งในการเสวนาครั้งนี้ที่นำโดย หมู-ณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์ – Co-CEO of SIX Network, Fund Manager at 500 TukTuks and Whale Ground Funds, CK Cheong – CEO of Fastwork, และ ท๊อป-จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา – Founder & Group CEO of Bitkub Capital Group Holding จะมาร่วมตอบคำถามสำคัญเกี่ยวกับการลงทุนคริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) ทั้งในปัจจุบันและอนาคต รวมถึงแนวทางการปรับตัวเมื่อสถานการณ์โลกกำลังจะเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
คาดการณ์มูลค่าการเติบโตของ BITCOIN

ณัฐวุฒิ กล่าวว่า หากพิจารณาตัวเลขจุดต่ำสุด จุดสูงสุด หรือการ Halving จากสถิติใน Cycle ที่ผ่านมาของ Bitcoin ทำให้คาดการณ์ได้ว่าราคาของ Bitcoin ที่ในปัจจุบันมีราคาอยู่ประมาณ 3,700,000 บาท จะสามารถเพิ่มมูลค่าไปได้อีกเมื่อเทียบกับ Cycle ก่อนหน้านี้ ท่านยังชี้ว่าธรรมชาติ (Nature) ของคริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) เมื่อเกิด Bitcoin Dominance จำนวนมาก จะทำให้ช่วงหลังของ Cycle ซึ่งเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่กี่เดือน ราคาจะตกลง และหลังจากนั้นก็จะเป็นช่วงที่ Altcoin มีมูลค่าเพิ่มขึ้นมา (Alt Season) ซึ่งใน Cycle ปัจจุบันยังไม่เห็นสัญญาณของสองเหตุการณ์นี้ ทำให้ท่านคาดการณ์ว่าราคาของ Bitcoin สามารถแตะ 150,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือเกินกว่านั้นได้
สำหรับเรื่องการขาย Bitcoin นั้น ท่านกล่าวว่า ในช่วงเวลาที่มูลค่าขึ้นสู่ช่วงสูงสุดและต่ำสุดในแต่ละ Cycle นั้นเกิดขึ้นในช่วงสั้น ๆ ไม่กี่ชั่วโมง เพราะฉะนั้นเมื่อถึงจุดที่จะขายออกควรใช้วิธีทยอยขาย (DCA) ไม่ควรขายทุกอย่างออกจนกลายเป็นเงินสดร้อยเปอร์เซ็นต์ และควรคำนึงถึงต้นทุนของตนเองเป็นหลัก มากกว่าการเก็บบิทคอยน์รอจนถึงช่วงมูลค่าสูงสุด เพราะ “กำไรที่ดีคือกำไรที่มีจริง”
ซึ่งแม้ว่าจะมีคำพูดของผู้เชี่ยวชาญอย่าง Michael Saylor, Executive Chairman and Co-founder of MicroStrategy ที่กล่าวว่า “ห้ามขายบิทคอยน์ของคุณ (Never Sell Your Bitcoin)” ณัฐวุฒิให้ทัศนะว่าในอนาคตบิทคอยน์จะทำได้มากกว่าการขายออกเพียงอย่างเดียว แต่สามารถใช้ในการค้ำประกันและกู้ยืมได้ และการขายบิทคอยน์ออกก็ไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไป เพราะการทยอยขายออกทีละน้อย จะทำให้นักลงทุนมีเงินสดสำหรับซื้อ Bitcoin เมื่อราคาตก ในขณะเดียวกันเมื่อราคาของบิทคอยน์ขึ้น นักลงทุนก็ยังมีบิทคอยน์ในระบบสำหรับขายออกเพื่อมาเป็นเงินหมุนเวียนสำหรับการใช้ชีวิต
สำหรับ จิรายุสกล่าวว่าในยุคปัจจุบัน โลกกำลังจะเข้าสู่ช่วง World of Abundance หรือโลกที่ทุกอย่างสามารถผลิตได้หมด โดยต้นทุนส่วนเพิ่มของบริการ (Marginal Cost of Service) และต้นทุนส่วนเพิ่มของการผลิต (Marginal Cost of Product) กำลังวิ่งลงสู่ศูนย์ ซึ่งเป็นผลจากการเข้ามาของเทคโนโลยี AI ท่านได้ยกตัวอย่างสำคัญที่จะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตลดลงไว้ ได้แก่ คำกล่าวของ Elon Musk นักธุรกิจระดับโลก เจ้าของรถไฟฟ้า Tesla ที่กล่าวว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้า รถยนต์กว่า 50 เปอร์เซ็นต์จะสามารถขับเองได้หมด และทุกบ้านก็จะมี AI Robot ใช้งาน นั่นแปลว่ามูลค่าของงานบริการก็จะลดลงเป็นอย่างมาก เนื่องจาก AI นั้นไม่ต้องจ่ายค่าจ้าง และทำงานได้ 24 ชั่วโมง
นอกจากนี้ ท่านยังให้ทัศนะว่าของบางสิ่งที่มีมูลค่าอย่างที่ดินก็จะเสียมูลค่าของตัวเองไปเช่นกัน เนื่องด้วยที่ดินสามารถสร้างเพิ่มได้แบบไม่จำกัด เช่น การสร้างเกาะเทียม (Man Made Island) หรือการสร้างคอนโดสูง ซึ่งเป็นการขยายตัวทั้งในรูปแบบแนวราบและแนวดิ่ง (Horizontal and Vertical) แบบไม่มีการจำกัดจำนวน ส่งผลให้ยากต่อการลงทุน ความเชื่อใจของผู้คนที่มีต่อพันธบัตรรัฐบาลก็มีน้อยลง อย่างในญี่ปุ่นและอเมริกา พันธบัตรที่วางจำหน่ายล่าสุดนั้นก็ขายไม่หมด ทองคำเองแม้จะยังปลอดภัยในช่วง 5 ปีข้างหน้า แต่ท่านให้มุมมองว่าด้วยการเข้ามาของวัตถุดิบสังเคราะห์ (synthesized materials) ที่ Microsoft ได้ผลิตออกมา จะส่งผลให้เกิดการล้นตลาดของทองคำเช่นเดียวกับการโคลนนิ่งเพชร (Clone Diamond) นั่นทำให้ท่านเห็นว่าสิ่งเดียวที่จะคงมูลค่า (Hold Value) และมีความน่าลงทุนอยู่นั้นมีเพียงแค่บิทคอยน์ เพราะจำนวนของบิทคอยน์นั้นถูกจำกัดไว้ทั้งหมด 21 ล้านเหรียญ จึงสมเหตุสมผลที่มูลค่าของบิทคอยน์จะสามารถเกิน 150,000 ดอลลาร์สหรัฐใน Cycle นี้ หรือสามารถเกิน 1,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ Per Bitcoin ในอนาคตข้างหน้า

ทางฝั่งของ CK ได้เปรียบเทียบบิทคอยน์กับปรากฏการณ์เงินเฟ้อของก๋วยเตี๋ยว โดยจะสังเกตได้ว่าราคาของก๋วยเตี๋ยวในปัจจุบันมีราคาเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน แต่ในขณะเดียวกันแม้ว่าราคาจะเพิ่มขึ้น แต่รสชาติของมันยังเหมือนเดิม สิ่งที่ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์นี้ขึ้น เนื่องจากจำนวนเงินในระบบมีมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันมีคำกล่าวว่า “1 บิทคอยน์ เท่ากับ 1 บิทคอยน์” หมายความว่าจำนวนบิทคอยน์นั้นไม่มีจำนวนเพิ่มขึ้น ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ตาม บิทคอยน์ก็จะมีจำนวน 21 ล้านเท่าเดิม CK จึงให้ทรรศนะว่า เมื่อเปรียบเทียบสิ่งของที่มีจำกัด กับสิ่งที่ไม่มีจำกัดอย่างเงิน มูลค่าของสิ่งที่มีจำกัดอย่างบิทคอยน์ย่อมต้องเพิ่มขึ้น
อีกคอนเซ็ปต์หนึ่งที่ CK ได้พูดถึงคือ “โลกนั้นหมุนตามคนรุ่นใหม่” นั่นหมายความว่าวิธีการที่ดีที่สุดสำหรับคาดการณ์สิ่งที่จะมีมูลค่าในอนาคตคือการสังเกตพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ แนวคิดที่ว่าควรซื้อทอง ซื้อบ้าน เพื่อเป็นการลงทุนในระยะยาวจึงไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุดอีกต่อไป เพราะปัจจุบันคนรุ่นใหม่แทบจะไม่ได้เข้าไปซื้อทองในร้านทองอีกต่อไปแล้ว
สถานะของบิทคอยน์เมื่อมีการเปลี่ยนขั้วอำนาจครั้งใหญ่
ในปัจจุบันมีสถานการณ์ต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นหนี้สาธารณะของสหรัฐอเมริกาจำนวนมากกว่า 36.22 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ, Trade War กับประเทศจีน ทำให้เสียงจึงแบ่งออกเป็นสองฝ่าย คือ เมื่อเกิดการเปลี่ยนขั้วอำนาจของโลกหรือเหตุการณ์สำคัญ มูลค่าของบิทคอยน์จะต้องลง เพราะบิทคอยน์ทำงานคล้ายกับตลาดหุ้น กับอีกฝั่งคือผู้คนจะหันมาหาบิทคอยน์เพราะเป็น Digital Market
CK คาดการณ์ว่าในอีก 20 ปีข้างหน้า ตนไม่คิดว่าจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของขั้วอำนาจ ด้วยเหตุผลว่าอเมริกาเป็นประเทศที่ใหญ่เกินกว่าจะล้มได้ (It’s Too Big To Fail) ท่านระบุว่าปัจจุบันตราสารหนี้ที่อเมริกาถือเป็นหนี้ที่สำคัญที่สุด เนื่องจากเป็น Risk-Free เพียงชนิดเดียวที่มีอัตราจ่ายเงินปันผลถึง 4.5 เปอร์เซ็นต์ และในปัจจุบันทุกประเทศถือตราสารหนี้อเมริกา เช่น ญี่ปุ่นถือ 1.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ จีนถือ 850,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และอื่น ๆ อีกมากมาย นั่นหมายความว่าหากอเมริกาล้ม ทั้งโลกจะล้มตาม ท่านยังกล่าวว่าในปัจจุบัน ตนยังไม่เห็นความเชื่อมโยงระหว่างตลาดหุ้นกับวงการบิทคอยน์ เนื่องด้วยตลาดหุ้นสามารถทำ Issue Debt ได้เรื่อย ๆ ในขณะเดียวกันบิทคอยน์นั้นไม่สามารถทำได้ ดังนั้นคำกล่าวที่ว่าหากตลาดหุ้นล้ม บิทคอยน์จะล้มตาม จึงยังเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้

กลับกัน จิรายุสให้ทัศนะว่าในช่วงเวลาที่เกิดการเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจครั้งใหญ่ ขั้วอำนาจเดิมมักจะไม่ได้มีการส่งมอบอำนาจให้กันด้วยสันติวิธี แต่มักจะจบลงที่การเกิดสงครามขึ้นระหว่างสองฝ่าย ในปัจจุบันมีความเสี่ยงเป็นอย่างมากที่จะเกิดการสับเปลี่ยนขั้วอำนาจครั้งใหม่และเกิดสงครามขึ้น โดยท่านได้แบ่งเงื่อนไขที่จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของระบบทางการเงินไว้สองอย่างด้วยกัน อย่างแรกคือหากมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์จะเห็นได้ว่าระบบการเงินโลกจะเปลี่ยนแปลงทุก 50 ปี อย่างเช่นระบบที่ผ่านมา ระบบเบรตตันวูดส์ (Bretton Woods System) ที่กำหนดให้เงินดอลลาร์สหรัฐเป็นเงินสกุลหลักของโลก ซึ่งตอนนี้ผ่านมากว่า 53 ปีแล้วที่ระบบการเงินของโลกยังไม่ได้เปลี่ยนแปลง เท่ากับว่าเงื่อนไขที่จะต้องผ่านมา 50 ปี ถึงจะเกิดการเปลี่ยนขั้วอำนาจทางการเงินครั้งใหญ่ประการแรกได้เคลียร์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
อย่างต่อมาคือ สงครามโลก และ Great Depression ท่านคาดว่าหากเกิดสิ่งใดสิ่งหนึ่งในสองอย่างนี้จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเงินครั้งใหญ่ โดยอ้างอิงจากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ในปี 1939 ที่เกิดเศรษฐกิจตกต่ำครั้งยิ่งใหญ่ The Great Depression และในปี 1944 ที่เป็นช่วงที่ผู้คนในยุคนั้นรู้สึกถึงการมีอยู่ของสงครามโลกครั้งที่ 2 จากนั้นจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงระบบทางการเงินตามมา ซึ่งปัจจุบันเกิดสงครามระหว่างประเทศยูเครนและรัสเซีย แต่กลับมีการจับทหารของประเทศจีน และเกาหลีเหนือในชายแดนของประเทศยูเครนได้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าในปัจจุบันสงครามยูเครน-รัสเซีย ไม่ใช่แค่สงครามระหว่างสองประเทศแต่มีสิทธิที่จะพัฒนาไปเป็นสงครามโลก ซึ่งท่านวิเคราะห์ว่าเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เช่นนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดเมื่อเปลี่ยนขั้วทางการเงินคือการมีสินทรัพย์ที่หลากหลายและคล่องตัวมากที่สุด ซึ่งหาไม่ได้ในทรัพย์สินประเภทบ้านและทองคำ แต่เป็นบิทคอยน์นั่นเอง
คำแนะนำสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นใน Cycle ปัจจุบัน
สำหรับผู้ลงทุนหน้าใหม่ที่ต้องการจะเข้ามาลงทุนในบิทคอยน์ใน Cycle นี้ คุณท๊อปเน้นย้ำว่าสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผู้เริ่มต้น คือการมีความรู้ทางการเงิน (Financial Education) ที่เพียงพอก่อนเริ่มลงทุน อย่างแรกเลยคือผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นไม่ควรลงทุนด้วย “เงินร้อน” หรือเงินที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิต เช่น การนำเงินจากการขายทรัพย์สินอย่างบ้านหรือรถยนต์ หรือแม้แต่เงินที่ได้จากการกู้ยืมมาใช้ลงทุนในบิทคอยน์ เนื่องจากตลาดคริปโทฯ มีความผันผวนสูงและต้องอาศัยการวางแผนที่รอบคอบ
นอกจากนี้ ผู้ลงทุนควรเลือกใช้กลยุทธ์แบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่เร่งรีบหรือแข่งขันกับผู้อื่น แต่ละคนนั้นมีช่วงเวลาการเรียนรู้ของตนเองที่ไม่เท่ากัน และนักลงทุนควรฝึกการควบคุมอารมณ์ (Emotional Control) อย่างมีวินัย เพื่อไม่ให้ความผันผวนของราคาหรือมูลค่าบิทคอยน์ในปัจจุบันมากระตุ้นให้ตัดสินใจลงทุนอย่างไม่ยั้งคิด
ณัฐวุฒิยังเสริมท้ายว่า “มันมีเส้นบาง ๆ ระหว่างการลงทุนกับการเล่นพนัน” หากนักลงทุนทุ่มเงินจำนวนมากซื้อของที่ไม่ทราบว่าอีก 5 ปีจะมีมูลค่าเท่าไหร่ การกระทำนี้ไม่ต่างกับการพนัน ดังนั้นสิ่งสำคัญคือการถอยมุมมองของตนเองออกมา มองการลงทุนเป็นเรื่องระยะยาว มากกว่าการทำกำไรในระยะสั้นเพียงไม่กี่ปี
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ไทยยูเนี่ยนจับมือ ADB เปิดมิติใหม่ ‘Blue Finance’ ปั้นอุตสาหกรรมกุ้งไทยสู่ความยั่งยืนระดับโลก
ไขความต่าง ‘PDPA และ Data Governance’ เกี่ยวข้องกันอย่างไร