Share on
×

Share

ระเบียบโลกภูมิอากาศใหม่: พลิกความท้าทายเป็นโอกาสของไทย เร่งปรับตัวสร้างอนาคตยั่งยืน

การเปลี่ยนผ่านสู่ระเบียบโลกใหม่ด้านสภาพภูมิอากาศ (New Climate World Order) ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกฎกติกา ภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจ และสร้างแรงกดดันให้ประเทศไทยต้องปรับยุทธศาสตร์และเร่งดำเนินการอย่างจริงจังในทุกมิติ ผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคการเงิน ต่างส่งเสียงสะท้อนในทิศทางเดียวกันบนเวทีเสวนา “New Climate World Order ระเบียบโลกใหม่ กฎใหม่ เกมเปลี่ยนผ่าน” ในงาน Earth Jump 2025 ถึงความจำเป็นในการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือความท้าทายและแสวงหาโอกาสในบริบทโลกที่เปลี่ยนไป

ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ปัจจุบันโลกกำลังจัดระเบียบใหม่ด้านสิ่งแวดล้อม โดยมีปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ ภูมิเศรษฐศาสตร์ และวิกฤติการเงินเป็นตัวเร่ง ขณะที่บทบาทผู้นำด้านสภาพภูมิอากาศเริ่มกระจายตัวจากเดิมที่สหรัฐอเมริกาเป็นแกนหลัก ไปสู่ยุโรป รวมถึงกลุ่มประเทศในแอฟริกา เอเชีย และลาตินอเมริกา ที่ต่างแสดงความมุ่งมั่นมากขึ้น นโยบายด้านสภาพภูมิอากาศได้กลายเป็นประเด็นสำคัญในการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับสหภาพยุโรป ที่ให้ความสำคัญกับการดำเนินการที่เป็นรูปธรรมและมีมาตรฐานสูง

โดยดร.พิรุณยกตัวอย่างการหารือกับสถานทูตไทยในบรัสเซลส์ว่า การเจรจา FTA ไทย-EU ในปัจจุบันมีเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นหัวใจสำคัญ ซึ่งไทยจำเป็นต้องแสดงให้เห็นว่ามีพื้นฐานการดำเนินการที่ดีและมั่นคง รวมถึงกฎระเบียบใหม่ๆ เช่น EUDR (EU Deforestation Regulation) ที่กระทบต่อสินค้าเกษตรหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น โกโก้ กาแฟ หรือเนื้อวัว ซึ่งผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs จะต้องเตรียมปรับตัวภายในสิ้นปีนี้ ขณะที่บริษัทขนาดใหญ่จะมีเวลาถึงช่วงปลายปี 2569

สำหรับประเทศไทย ความท้าทายสำคัญคือการพัฒนากลไกและเครื่องมือใหม่ๆ ควบคู่ไปกับการปรับปรุงกฎหมายที่อาจล้าสมัยให้ทันการณ์ เช่น กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจหมุนเวียน และการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) สามารถเข้าถึงและปรับใช้เทคโนโลยีสะอาดได้อย่างมั่นใจ เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ รัฐบาลกำลังเร่งผลักดัน ร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ให้เป็นกฎหมายแม่บทสำคัญ กฎหมายฉบับนี้จะประกอบด้วยกลไกที่หลากหลาย ทั้งมาตรการบังคับสำหรับบางภาคส่วน เช่น การกำหนดเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกสำหรับภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ มาตรการจูงใจทางการเงิน และการจัดตั้งกองทุนภูมิอากาศขนาดใหญ่ ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบในหลักการให้มีแหล่งทุนอิสระ เพื่อความคล่องตัวในการสนับสนุนโครงการต่าง ๆ อาทิ การจูงใจเกษตรกรให้ปรับเปลี่ยนสู่เกษตรคาร์บอนต่ำ

นอกจากนี้ ยังรวมถึงกลไกราคาคาร์บอนทั้งในรูปแบบตลาดภาคสมัครใจและระบบสำหรับการบังคับใช้ เพื่อสร้างสมดุลและแรงจูงใจให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม ร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวคาดว่าจะเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาประมาณเดือนกันยายนนี้ ขณะเดียวกัน ประเทศไทยมีพันธกิจในการส่งยุทธศาสตร์การพัฒนาที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำในระยะยาว (Long-Term Low Greenhouse Gas Emission Development Strategy: LT-LEDS) ซึ่งตั้งเป้าควบคุมอุณหภูมิไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส ภายในสิ้นปีนี้ เพื่อเป็นหมุดหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมถึงการเดินหน้าโครงการดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage: CCS) ซึ่งปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการเจรจาด้านสนธิสัญญาภาษีและทรัพยากร นอกจากนี้ ประเทศไทยยังแสดงบทบาทเชิงรุกในเวทีระหว่างประเทศ เช่น การเป็นผู้นำเสนอแนวทางนโยบายในอาเซียน และการยกระดับมาตรฐานความร่วมมือสู่ระดับสากลเพื่อดึงดูดการลงทุนที่ยั่งยืน

ระเบียบโลกภูมิอากาศใหม่: พลิกความท้าทายเป็นโอกาสของไทย เร่งปรับตัวสร้างอนาคตยั่งยืน

จรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เน้นย้ำจากมุมมองภาคเอกชนว่า การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำจะต้องเป็น “กรีนแล้วกินได้” กล่าวคือ ต้องมีความสมเหตุสมผลทางเศรษฐกิจและสามารถดำเนินการได้จริง “ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) ไม่ใช่ต้นทุน แต่คือการลงทุนเพื่ออนาคต” จรีพรกล่าว ตัวอย่างเช่น การลงทุนในเทคโนโลยีโซลาร์เซลล์ ที่ในอดีตมีต้นทุนสูงถึง 150 ล้านบาทต่อเมกะวัตต์ ทำให้มีผู้สนใจน้อย แต่ปัจจุบันต้นทุนลดลงอย่างมากจนเป็นที่แพร่หลาย หรือการพัฒนาศูนย์ข้อมูล (Data Center) ที่ต้องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยยกตัวอย่างโครงการ “ไฮโดรเจนดาต้าเซ็นเตอร์” ซึ่งไม่เพียงแต่ใช้พลังงานสะอาด แต่ยังต้องคำนึงถึงการใช้น้ำมหาศาลว่าจะใช้น้ำประปาหรือมีระบบหมุนเวียนน้ำอย่างไร และการจัดการอากาศ

ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลต่อต้นทุน แต่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ในระยะยาว เช่น โครงการศูนย์ข้อมูลแห่งหนึ่งที่คาดว่าจะคุ้มทุนใน 6 ปี เพราะเลือกใช้เทคโนโลยีสีเขียว หรือการนำน้ำทิ้งจากกระบวนการผลิตในนิคมอุตสาหกรรมปีละ 30-40 ล้านลูกบาศก์เมตร มาผ่านนวัตกรรมบำบัดแล้วขายกลับให้ลูกค้า สร้างรายได้และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงการเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (EV เชิงพาณิชย์) ที่แม้ปัจจุบันต้นทุนอาจยังสูงกว่ารถยนต์สันดาปภายใน (Internal Combustion Vehicle: ICV) แต่แนวโน้มต้นทุนรถ EV และค่าใช้จ่ายผันแปร (Variable Cost) จะลดลงเรื่อยๆ ทำให้มีความคุ้มค่าในที่สุด

“นวัตกรรมและการวิจัยและพัฒนา (R&D) เป็นสิ่งที่หยุดไม่ได้ โดยเฉพาะเทคโนโลยีอนาคตอย่าง SMR (Small Modular Reactor) หรือแบตเตอรี่ที่กำลังเข้ามามีบทบาทมากขึ้น” จรีพรกล่าว พร้อมเรียกร้องให้ภาครัฐมีนโยบายที่ชัดเจน และให้การสนับสนุนอย่างจริงจัง เช่น การสนับสนุนงานวิจัยจากหน่วยงานภาครัฐ การพัฒนาบุคลากร (Workforce) ให้มีทักษะที่ตอบโจทย์เทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น ความเข้าใจเรื่อง Waste Management หรือความรู้เฉพาะทางด้านเคมีสำหรับจัดการน้ำเสีย การสร้างมาตรฐานคาร์บอนเครดิตที่สามารถซื้อขายได้ในระดับสากล ไม่ใช่แค่ในประเทศไทย และที่สำคัญคือการบูรณาการการทำงานระหว่างกระทรวงต่าง ๆ เพื่อลดอุปสรรคและอำนวยความสะดวกให้ภาคเอกชน เพราะปัจจุบันการขออนุญาตหรือดำเนินโครงการที่เกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงานยังมีความซับซ้อน นอกจากนี้ ภาคธุรกิจยังต้องผนวกการบริหารความเสี่ยงจากผลกระทบทางกายภาพของสภาพภูมิอากาศ เช่น ภัยแล้ง หรือน้ำท่วม เข้ากับการวางแผนดำเนินงานด้วย การที่ผู้บริหารระดับสูงให้ความสำคัญและขับเคลื่อนเรื่องนี้อย่างจริงจังจะเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จ โดยต้องสื่อสารให้ทั้งองค์กรเข้าใจและดำเนินการไปในทิศทางเดียวกัน

พิพิธ เอนกนิธิ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย สะท้อนมุมมองจากภาคการเงินว่า สถานการณ์ปัจจุบัน “รอไม่ได้” เนื่องจากต้นทุนเทคโนโลยีสีเขียวกำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง และมีเม็ดเงินลงทุนมหาศาลทั่วโลกที่พร้อมจะไหลเข้าสู่โครงการที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การที่ประเทศไทยจะบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี 2065 ตามเป้าหมายการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (Nationally Determined Contributions: NDC) ที่ตั้งไว้นั้น จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมหาศาล

พิพิธให้ข้อมูลว่า “หากประเทศไทยต้องการขยับเป้าหมาย Net Zero ให้เร็วขึ้นเป็นปี 2050 จากเดิมปี 2065 คาดการณ์ว่าต้องใช้เงินลงทุนเพิ่มขึ้นจากประมาณ 5.3 ล้านล้านบาท เป็นถึง 15.3 ล้านล้านบาท ตลอดระยะเวลา 70 ปี” ซึ่งเป็นความท้าทายอย่างยิ่งสำหรับภาคการเงินในการระดมทุนและจัดสรรสินเชื่อ ทั้งนี้ ภาคการเงินยังคงต้องการความชัดเจนจากภาครัฐเกี่ยวกับทิศทางและระดับความมุ่งมั่นของเป้าหมาย NDC ของประเทศ เพื่อให้สามารถวางแผนและคำนวณการลงทุนได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะโครงการใหม่ ๆ เช่น SMR ที่ยังมีความเสี่ยงสูงและยังไม่มีใครกล้าให้สินเชื่อเพราะไม่เห็นแนวโน้มการคืนทุน ซึ่งการขับเคลื่อนการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่มีความเสี่ยงสูง อาจจำเป็นต้องอาศัยกลไกการสนับสนุนจากภาครัฐหรือกองทุนพิเศษเพื่อช่วยลดความเสี่ยงและสร้างความเป็นไปได้ให้โครงการ หรือการลงทุนในภาคพลังงานตามแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศ (Power Development Plan: PDP) 2024 ซึ่งอาจต้องใช้เงินถึง 8.5 ล้านล้านบาท ทำให้เกิดคำถามถึงความเสี่ยงจากการกระจุกตัวของสินเชื่อ (Concentration Risk) ในภาคธนาคาร หากสัดส่วนการลงทุนในโครงการเหล่านี้สูงถึง 60% ของพอร์ตสินเชื่อในระบบ หรือ 8% ของสินทรัพย์รวมของธนาคารในประเทศไทย

ธนาคารกสิกรไทยเองได้เตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้ โดยมุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรมทางการเงิน เช่น การตั้งบริษัทเพื่อติดตามเทคโนโลยีและพัฒนาบุคลากรอย่างรวดเร็ว การให้บริการธนาคารดิจิทัลที่สนับสนุนธุรกรรมสีเขียว การพัฒนาโซลูชันด้าน Power Exchange และการสร้างความร่วมมือในลักษณะ “ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อประชาชนและความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน” เพื่อให้ภาคการเงินเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านของประเทศ โดยพิพิธมองว่านี่คือโอกาสที่มนุษย์จะใช้ศักยภาพทางสมองเรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีต เพื่อสร้างคลื่นลูกใหม่ของการพัฒนาที่ยั่งยืน นำโดยภาคเอกชนและสนับสนุนโดยภาคการเงิน

การรับมือกับระเบียบโลกใหม่ด้านสภาพภูมิอากาศนี้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมืออย่างเข้มแข็งจากทุกภาคส่วน ภาครัฐต้องกำหนดนโยบายและกฎกติกาที่ชัดเจนและเอื้อต่อการลงทุน ภาคเอกชนต้องกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงและลงทุนในนวัตกรรมและเทคโนโลยีสะอาด และภาคการเงินต้องเป็นผู้สนับสนุนและจัดสรรทรัพยากรทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ สร้างความยั่งยืน และคว้าโอกาสในโลกยุคใหมนี้ได้อย่างมั่นคง

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

ตลาดคาร์บอนเครดิตไทย: กลไกสู้โลกร้อน ท่ามกลางโจทย์ท้าทายและข้อพิจารณารอบด้าน

ปั้น ‘ดิจิทัลคอนเทนต์-ซอฟต์พาวเวอร์’ ดันไทยสู่ฮับสร้างสรรค์โลก

×

Share

ผู้เขียน