Share on
×

Share

KBTG ชี้ AI & Big Data ขับเคลื่อน Climate Action เตือนโลกเฉียดเส้นตาย

ภาวะวิกฤติโลกร้อนที่ผลักดันโลกเข้าใกล้จุด “เที่ยงคืน” อันเนื่องมาจากการใช้ทรัพยากรเกินขีดจำกัดและอุณหภูมิที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ กลายเป็นประเด็นเร่งด่วนที่ เรืองโรจน์ พูนผล ประธานกลุ่มบริษัท กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) หยิบยกขึ้นเตือนบนเวทีสัมมนา Earth Jump 2025

ทว่าท่ามกลางวิกฤติดังกล่าว เขายังชี้ให้เห็นถึงโอกาสสำคัญของประเทศไทยในการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและมุ่งสู่การเติบโตสีเขียว พร้อมเรียกร้องให้ทุกภาคส่วนร่วมกันดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อพลิกวิกฤตินี้

เรืองโรจน์ อธิบายถึงความรุนแรงของการใช้ทรัพยากรว่า หากประชากรโลกทั้งหมดบริโภคทรัพยากรในอัตราเดียวกับชาวอเมริกัน จะต้องใช้โลกถึง 5 ดวง หรือหากเทียบกับชาวญี่ปุ่น จะต้องใช้ทรัพยากรเทียบเท่าประเทศญี่ปุ่น 7.8 ประเทศจึงจะเพียงพอต่อความต้องการ ขณะที่ประเทศไทยเองก็ใช้ทรัพยากรเกินศักยภาพการฟื้นฟูของประเทศถึง 1.9 เท่า และหากทุกคนบนโลกดำเนินชีวิตเช่นเดียวกับคนไทย จะมีความต้องการทรัพยากรโลกถึง 1.5 เท่า

สถานการณ์อุณหภูมิโลกยิ่งทวีความน่าเป็นห่วง โดยในปีพ.ศ. 2567 อุณหภูมิโลกได้เพิ่มสูงขึ้นแล้ว 1.47 องศาเซลเซียส สร้างสถิติเป็นปีที่ “อบอุ่น” ที่สุด ซึ่งเรืองโรจน์ให้ความเห็นว่าเป็นคำที่ดูนุ่มนวล เมื่อเทียบกับความเป็นจริงที่ว่าโลกกำลังร้อนระอุและมีแนวโน้มจะกลายเป็นโลกเดือด พร้อมทั้งคาดการณ์ว่าอุณหภูมิจะสร้างสถิติสูงสุดใหม่ทุกปี การปล่อยก๊าซเรือนกระจกแม้จะลดลงเล็กน้อยในช่วงการระบาดของโควิด-19 แต่ก็ได้ปรับตัวสูงขึ้นดังเดิมในภายหลัง และความพยายามในการลดการปล่อยก๊าซยังคงไม่เพียงพอ หากยังคงดำเนินธุรกิจในรูปแบบเดิม สถานการณ์ย่อมมีแต่จะเลวร้ายลง

ผลกระทบทางเศรษฐกิจมหาศาล เอเชียเป็นพื้นที่เสี่ยงสำคัญ

เรืองโรจน์ เน้นย้ำว่า ไม่มีอุตสาหกรรมใดสามารถหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ ความเสียหายส่งผลกระทบต่อทั้งภาคเกษตรกรรม อาหาร ความหลากหลายทางชีวภาพ และสุขภาพของมนุษย์ โดยเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วได้สร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน คิดเป็นมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

ทวีปเอเชียได้กลายเป็นผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 18 ในปีพ.ศ. 2533 เป็นร้อยละ 51 ในปีพ.ศ. 2568 และที่น่ากังวลคือ เอเชียยังเป็นภูมิภาคที่เปราะบางและได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของเอเชียมูลค่า 4.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ตกอยู่ในภาวะเสี่ยง เรืองโรจน์เปรียบเทียบสถานการณ์นี้ว่า เปรียบเสมือนการเผายุ้งฉาง เผาบ้าน และเผาสำนักงานของตนเอง เนื่องจากทั้งระบบอาหาร ทรัพย์สินทางกายภาพ โครงสร้างพื้นฐาน และความเป็นอยู่ของผู้คนล้วนได้รับผลกระทบ

สำหรับประเทศไทย เรืองโรจน์ชี้ว่ากำลังตกอยู่ในความเสี่ยงอย่างชัดเจน จากปัญหาน้ำท่วมฉับพลันในหลายพื้นที่ ภาวะภัยแล้งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ ปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งที่สร้างความเสียหายปีละกว่า 6 พันล้านบาท และผลกระทบต่อภาคการเกษตรซึ่งมีมูลค่าถึง 83,000 ล้านบาทต่อปี เขาย้ำว่า “นี่คือความจริงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ความล่าช้า คือการปฏิเสธ และการปฏิเสธจะนำไปสู่ความสูญสิ้น และครั้งนี้อาจไม่ใช่ความสูญสิ้นอย่างช้าๆ อีกต่อไป เพราะหลายครั้งที่สถานการณ์ดำเนินไปอย่างช้า ๆ แล้วก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน ขณะนี้เราอยู่ในครึ่งหลังของการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศแล้ว และสิ่งที่จะตามมาคือความฉับพลัน”

ทางรอด: การเติบโตสีเขียว และพลังของ SMEs

ทางออกสำคัญคือการมุ่งสู่แนวคิดการเติบโตสีเขียวคือการเติบโตใหม่ ซึ่งเป็นการสร้างความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ ที่ต้องผนวกรวมทุกภาคส่วน และที่สำคัญคือต้องคำนึงถึงโลก ควบคู่ไปด้วย ทั้งการปกป้องระบบนิเวศ และการสร้างความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเปลี่ยนผ่านนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยลดผลกระทบ แต่ยังสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจมูลค่ามหาศาลกว่า 10 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และก่อให้เกิดตำแหน่งงานใหม่กว่า 395 ล้านตำแหน่งทั่วโลก ซึ่งเรืองโรจน์ระบุว่าทำให้บุคลากรจำนวนมากเริ่มปรับเปลี่ยนทักษะ ตนเองจากสายงานวิทยาศาสตร์ข้อมูลหรือปัญญาประดิษฐ์ ไปสู่สายงานสีเขียว เพราะนี่คือวาระเดียวและความยั่งยืนที่เป็นเป้าหมายสำคัญอย่างแท้จริง

การเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ เอสเอ็มอี ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 90 ของธุรกิจทั่วโลก และร้อยละ 70 ของการจ้างงานทั่วโลก ถือเป็นกุญแจสำคัญ โดยจำเป็นต้องมีการสนับสนุนทางการเงิน การกำกับดูแลและการปฏิบัติตามกฎระเบียบ รวมถึงการเสริมสร้างศักยภาพทางดิจิทัล เพื่อปลดล็อกศักยภาพและขยายการเติบโตอย่างทั่วถึง โดยกรอบการเติบโตสีเขียวประกอบด้วย 4 ส่วนหลักที่ต้องดำเนินการควบคู่กัน ได้แก่ การเงิน นโยบายและกฎระเบียบ เทคโนโลยี และพลังงาน

เรืองโรจน์ เน้นย้ำว่า ทวีปเอเชียซึ่งมีสัดส่วนจีดีพีของโลกเพียงร้อยละ 4 แต่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึงร้อยละ 50 เป็นผู้มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียวของโลก ขณะที่ประเทศไทยและกลุ่มประเทศอาเซียนอยู่ในตำแหน่งที่โดดเด่นในการเป็นผู้นำด้านการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พลังงานหมุนเวียน และการเงินที่ยั่งยืน ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่เพียงเรื่องพันธบัตรสีเขียว แต่ยังรวมถึงเทคโนโลยีทางการเงิน (Fintech) และการเข้าถึงบริการทางการเงินอย่างทั่วถึง

ดังตัวอย่างที่เห็นในประเทศอินโดนีเซียและเวียดนาม ความต้องการจากนักลงทุนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มเจเนอเรชันซี (Gen Z) และกลุ่มมิลเลนเนียล (Millennials) ที่ให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ในการตัดสินใจลงทุน รวมถึงความต้องการของผู้บริโภคที่มองหาสินค้าที่ยั่งยืน (ร้อยละ 71 ของการค้นหา เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 5) และยินดีจ่ายในราคาที่สูงขึ้นร้อยละ 10 (โดยเฉพาะร้อยละ 90 ของผู้บริโภคเจเนอเรชันเอ็กซ์ในสหรัฐอเมริกา) ตลอดจนการใช้จ่ายของผู้บริโภคในพลังงานสะอาดที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว ล้วนเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ นโยบายที่ส่งเสริมธรรมชาติ เริ่มปรากฏให้เห็นในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทยในปีพ.ศ. 2568 ซึ่งทั้งหมดนี้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระดับโลก แต่ทวีปเอเชียและประเทศไทยไม่จำเป็นต้องรอ และสามารถขับเคลื่อนได้ในทันที

เทคโนโลยี: เครื่องมือสำคัญพลิกวิกฤติ พร้อมผลกระทบแบบทวีคูณ

เรืองโรจน์ กล่าวว่าเทคโนโลยีคือเครื่องมือสำคัญ และเป็นตัวคูณที่เพิ่มผลกระทบเป็นสองเท่า การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาปรับใช้สามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกได้ถึงร้อยละ 20 ภายในปี พ.ศ.2593 ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไอโอที (IoT) และการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรและลดการปล่อยก๊าซ เรืองโรจน์ยกตัวอย่างธุรกิจเกิดใหม่หรือสตาร์ทอัพ ที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการขนส่งทางเรือ ทำให้สามารถลดการปล่อยก๊าซได้ถึงร้อยละ 20 และลดต้นทุน รวมถึงการนำปัญญาประดิษฐ์เชิงกายภาพ มาใช้ในท่าเรือและการขนส่งแบบครบวงจร เทคโนโลยีดิจิทัลยังมีผลกระทบแบบทวีคูณในการจำลองการลดคาร์บอนตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน และขับเคลื่อนเทคโนโลยีภูมิอากาศ ซึ่งคาดการณ์ว่าเทคโนโลยีเชิงลึก และเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดด เหล่านี้จะสามารถช่วยจัดการกับการปล่อยก๊าซที่เกิดจากมนุษย์ได้ถึงร้อยละ 90

เรืองโรจน์เสนอแนวทางการใช้เทคโนโลยีเพื่อต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นสามขั้นตอนหลัก โดยขั้นตอนแรกคือการทำความเข้าใจความเสี่ยง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลด้วยศักยภาพการประมวลผลของปัญญาประดิษฐ์และหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) ที่สามารถจัดการข้อมูลระดับล้านล้านพารามิเตอร์แบบทันท่วงที เขาได้อ้างถึงคำกล่าวของสัตยา นาเดลลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของไมโครซอฟท์ ที่ต้องการนำปัญญาประดิษฐ์และการประมวลผลแบบควอนตัม มาสร้างแบบจำลองโลกและธรรมชาติเพื่อแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ขั้นตอนที่สองคือการสร้างความสามารถในการปรับตัวและฟื้นตัว โดยใช้เครื่องมือดิจิทัลเพื่อช่วยให้สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว และขั้นตอนสุดท้ายคือการใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งช่วยในการประเมินความเสี่ยง วิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาล จัดทำรายงานความเสี่ยง และเป็นส่วนหนึ่งของวงจรการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ปัญญาประดิษฐ์เปรียบเสมือนพลังสมองหลัก ที่มีผลกระทบตั้งแต่การปฏิรูป การสร้างนวัตกรรม ไปจนถึงการสร้างการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของมนุษย์ สามารถสร้างแบบจำลองระบบภูมิอากาศที่ซับซ้อนซึ่งในอดีตไม่สามารถทำได้ และช่วยบริหารจัดการการปรับตัวและความยืดหยุ่น คาดว่าปัญญาประดิษฐ์สามารถลดการปล่อยก๊าซทั่วโลกได้ 3-6 พันล้านตันของคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปีภายในปี พ.ศ.2578 (ค.ศ. 2035) และช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ

เรืองโรจน์เรียกปัญญาประดิษฐ์ว่าเป็น “เทคโนโลยี 3A” ที่ประกอบด้วยหลักการสำคัญคือ Analyze หรือการวิเคราะห์ทำความเข้าใจโลก Accelerate หรือการเร่งการพัฒนาและค้นพบเทคโนโลยีเพื่อแก้ปัญหา และ Act หรือการลงมือปฏิบัติเพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมมนุษย์ นอกจากนี้ ปัญญาประดิษฐ์ยังช่วยเร่งการค้นพบวัสดุที่ยั่งยืน สร้างแบบจำลองต้นไม้ที่เติบโตเร็วขึ้นและดูดซับคาร์บอนได้มากขึ้น และขับเคลื่อนการลงทุนและนวัตกรรมในเทคโนโลยีภูมิอากาศ

เทคโนโลยีอื่น ๆ เช่น โดรน ซึ่งเป็นดวงตาและผู้ช่วยในพื้นที่เข้าถึงยาก การสำรวจโลกจากระยะไกล ที่เป็นระบบสำรวจและสังเกตการณ์โลกระดับโลกเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานในระดับท้องถิ่น IoT และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ซึ่งเป็นระบบตรวจจับแบบทันท่วงทีเพื่อสร้างโลกที่พร้อมปรับตัว และเทคโนโลยีความเป็นจริงขยาย (XR) ที่เป็นเทคโนโลยีเสมือนจริงเพื่อสร้างความตระหนักรู้และกระตุ้นการลงมือทำ รวมถึงเทคโนโลยีแห่งอนาคตอย่างการประมวลผลแบบควอนตัม ล้วนมีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงและขับเคลื่อนความยั่งยืน โดยเรืองโรจน์เน้นว่าเทคโนโลยีต้องถูกใช้ในบริบทของการรับใช้มนุษยชาติและต้องสร้างสมดุลกับธรรมชาติ

ถึงเวลาลงมือปฏิบัติ อนาคตอยู่ในมือเรา

เรืองโรจน์ เน้นย้ำว่าเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดอยู่ในมือของพวกเราแล้ว แต่ผลลัพธ์จะเกิดขึ้นได้นั้นขึ้นอยู่กับวิสัยทัศน์ ความเป็นผู้นำ และความมุ่งมั่นที่จะลงมือทำร่วมกันในระดับโลก ทุกภาคส่วน ทุกพรมแดน และทุกช่วงวัย เขากล่าวว่าขั้นตอนต่อไปคือการเยียวยาธรรมชาติและฟื้นคืนสู่ธรรมชาติ เปรียบเสมือนการชดใช้ต่อธรรมชาติ

ทุกการกระทำล้วนมีความสำคัญ ตั้งแต่ระดับองค์กรสู่ระดับครัวเรือน ไม่ว่าจะเป็นระดับบุคคล ธุรกิจ หรือภาครัฐ การรีไซเคิล การแยกขยะ การเลือกใช้วัสดุ โดยควรปฏิบัติตนและนำพาไปในทิศทางที่เราปรารถนาให้โลกเป็น และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง การดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศจะต้องมีความเป็นธรรมและทั่วถึง และให้การสนับสนุนผู้ที่เปราะบาง เพื่อให้ทุกคนได้รับประโยชน์

ความร่วมมือผนวกกับเทคโนโลยี นโยบายที่ดี และความกล้าหาญที่จะยืนหยัดและทำในสิ่งที่ถูกต้อง จะช่วยเพิ่มพูนผลกระทบได้อย่างมหาศาล เรืองโรจน์กล่าวสรุปว่า “มันอาจต้องใช้เวลา แต่ยังไม่สายเกินไป ทว่าหากเราไม่ลงมือทำสิ่งใด ความล่าช้าก็คือการปฏิเสธ และการปฏิเสธก็นำไปสู่ความสูญสิ้น และมันจะไม่ใช่ความสูญสิ้นอย่างช้าๆ อีกต่อไป เรากำลังเข้าใกล้จุด ‘เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน’ แล้ว แต่เรายังสามารถชะลอความเร็ว และอาจจะสามารถพลิกฟื้นสถานการณ์ได้”

“อนาคตเป็นสิ่งที่เราสามารถสร้างได้ เราปรารถนาให้คนรุ่นเราเป็นที่จดจำว่า ในช่วงปลายศตวรรษที่ 21 นี้ ผู้คนมองย้อนกลับมาเห็นว่าเราคือคนรุ่นที่มอบสิ่งใดไว้ให้แก่ลูกหลาน เราได้มอบโลกที่ลุกไหม้ หรือเราคือคนรุ่นทองคำ หรือควรกล่าวว่าเป็นคนรุ่นสีเขียว ที่สามารถสร้างสรรค์โอกาสใหม่ ๆ ให้กับโลก เราได้เปลี่ยนแปลงอนาคตให้ดีขึ้น และเราได้ผลักดันขอบเขตของความเป็นไปได้ ใช่หรือไม่ว่าเราคือคนรุ่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุด? อนาคตอยู่ในมือของเรา เรื่องราวและมรดกของเรายังคงรอการจารึก วันนี้ ผมขอให้ทุกท่านที่รับฟังแล้ว ได้ก้าวออกไปสร้างสรรค์มรดกของท่านในแนวทางของท่านเอง นำในแบบของท่าน ขยายผลกระทบ และร่วมมือกับทุกคนในที่นี้เพื่อขยายวงผลกระทบให้กว้างไกลออกไป ทำให้โลกเป็นสีเขียวยิ่งขึ้น และสร้างอนาคตที่ดีกว่าเพื่อคนรุ่นต่อไป” ” เรืองโรจน์ กล่าวทิ้งท้าย

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

โรงไฟฟ้านิวเคลียร์: ทางเลือกแห่งอนาคต หรือความเสี่ยงที่ไทยควรหลีกเลี่ยง?

ตลาดคาร์บอนเครดิตไทย: กลไกสู้โลกร้อน ท่ามกลางโจทย์ท้าทายและข้อพิจารณารอบด้าน

×

Share

ผู้เขียน