Share on
×

Share

พลิกโฉมเกษตรไทย: นวัตกรรมสีเขียวขับเคลื่อนธุรกิจยุคใหม่สู่ความยั่งยืน

ท่ามกลางความท้าทายจากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงและการแข่งขันในตลาดโลกที่ทวีความรุนแรง “นวัตกรรมเกษตรสีเขียว” ได้กลายเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนภาคเกษตรไทยสู่ธุรกิจยุคใหม่ที่ยั่งยืน ในเวทีเสวนา “นวัตกรรมเกษตรสีเขียว สู่ธุรกิจยุคใหม่ที่ยั่งยืน (Innovating and Adapting Agriculture)” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงาน Earth Jump 2025 จัดโดยธนาคารกสิกรไทย ผู้แทนจากภาครัฐ สถาบันการเงิน และภาคเอกชนชั้นนำ ได้ร่วมกันฉายภาพสถานการณ์และเสนอแนวทางปฏิบัติ ทั้งยังชี้ถึงอุปสรรคและโอกาส โดยเน้นย้ำความจำเป็นของความร่วมมือทุกภาคส่วนเพื่อสร้างอนาคตที่มั่นคงให้แก่เกษตรกรรมไทย

โลกเปลี่ยนเกษตรต้องปรับ: ปลุกพลังนวัตกรรมสีเขียว

สถานการณ์ปัจจุบันของภาคเกษตรไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายหลายมิติ ซึ่งเป็นแรงผลักดันสำคัญให้ต้องมุ่งสู่นวัตกรรมสีเขียวอย่างจริงจัง ฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ชี้ว่าผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศตลอด 30 ปีที่ผ่านมามีความชัดเจนและรุนแรงขึ้น โดยพื้นที่แห้งแล้งต้องเผชิญกับความแห้งแล้งที่ยาวนานและรุนแรงกว่าเดิม ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเกษตรกรและเศรษฐกิจภาพรวม

พลิกโฉมเกษตรไทย: นวัตกรรมสีเขียวขับเคลื่อนธุรกิจยุคใหม่สู่ความยั่งยืน

สอดคล้องกับมุมมองของ ณรงค์ ขันติวิริยะกุล รองผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่กล่าวว่าเกษตรกรในพื้นที่สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของลมฟ้าอากาศโดยตรง เช่น ปริมาณฝนที่ไม่แน่นอน ฤดูกาลที่แปรปรวน ดังจะเห็นได้จากปรากฏการณ์ที่เกษตรกรจุดไฟผิงในฤดูหนาวน้อยลง ซึ่งกล่าวว่าอุณหภูมิโลกสูงขึ้น ปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วมที่เกิดขึ้นซ้ำซากยังส่งผลให้เกษตรกรต้องเพาะปลูกใหม่หลายครั้ง สร้างความเสียหายและภาระหนี้สิน

ในด้านความตระหนักและความเข้าใจ ณรงค์ กล่าวว่าในระยะแรกเกษตรกรอาจยังมีความสับสนเกี่ยวกับประเด็นที่ว่าการทำนาข้าวเกี่ยวข้องกับภาวะโลกร้อนอย่างไร โดยเฉพาะเรื่องการปล่อยก๊าซมีเทน ขณะที่ สินีนุช โกกนุทาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ปโฮลดิ้งส์ กล่าวว่าภาคเกษตรกรรม โดยเฉพาะการปลูกข้าวเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกสำคัญถึงปีละ 60-65 ล้านตัน เป็นรองเพียงภาคพลังงานและโลจิสติกส์เท่านั้น

สินีนุช กล่าวต่อไปว่า แม้ประเทศไทยจะมีพื้นที่เพาะปลูกเป็นอันดับ 1 ของอาเซียน (ประมาณ 143 ล้านไร่) และเป็นผู้ส่งออกสินค้าเกษตรรายใหญ่ของโลกหลายรายการ แต่ก็ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่สูงในตลาดโลก ยิ่งไปกว่านั้นภาคเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูปมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยมีสัดส่วนใน GDP รวมกันสูงถึงประมาณ 35% และเกี่ยวข้องกับประชากรเกือบ 40% ของประเทศ หรือราว 8.7 ล้านครัวเรือน

แรงกดดันทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมยังเป็นอีกปัจจัยสำคัญ สินีนุช ชี้ว่าทุกอุตสาหกรรมรวมถึงภาคเกษตรต้องเผชิญทั้งความเสี่ยงทางกายภาพจากภัยธรรมชาติ และความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ นอกจากนี้ พฤติกรรมผู้บริโภคก็เป็นอีกความท้าทาย แม้ผู้บริโภคจำนวนมากจะแสดงความสนใจสินค้าเกษตรที่ผลิตอย่างยั่งยืน แต่ความเป็นจริงยังคงมีความอ่อนไหวต่อราคาแตกต่างเพียงเล็กน้อย ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นแรงผลักดันให้ทุกภาคส่วนต้องหันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรมเกษตรสีเขียวอย่างจริงจัง

ขับเคลื่อนเกษตรสีเขียว: จากนโยบายสู่แปลงปฏิบัติ

เพื่อตอบสนองต่อความท้าทายดังกล่าว ภาครัฐ สถาบันการเงิน และภาคเอกชน ต่างได้กำหนดกลยุทธ์และนำแนวปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมมาปรับใช้ โดยมุ่งเน้นการนำนวัตกรรมเกษตรสีเขียวมาสู่การปฏิบัติจริง ฉันทานนท์ เปิดเผยว่าภาครัฐได้กำหนดแผนปฏิบัติการ (Action Plan) ปี 2566-2570 ที่สอดรับกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) และเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050

มาตรการส่งเสริมที่สำคัญจากภาครัฐ เช่น การผลักดันการทำเกษตรรูปแบบใหม่ที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การยกระดับมาตรฐาน GAP (Good Agricultural Practices) การจัดการปุ๋ยและน้ำอย่างถูกวิธีและเหมาะสมเพื่อลดการปล่อยก๊าซมีเทน โดยเฉพาะในนาข้าว และการสนับสนุนการเปลี่ยนของเสียทางการเกษตรให้เป็นพลังงานชีวภาพ (biogas) หรือวัสดุที่มีมูลค่าเพิ่ม

นอกจากนี้ ฉันทานนท์ กล่าวว่าภาครัฐยังให้ความสำคัญกับการให้องค์ความรู้แก่เกษตรกรผ่านศูนย์เรียนรู้และบริการทางการเกษตรทั่วประเทศ มีการฝึกอบรมในเรื่องต่าง ๆ เช่น การทำปุ๋ยชีวภาพ การจัดการน้ำในสภาวะต่าง ๆ และกำลังเปลี่ยนแนวทางจากมาตรการเชิงบังคับ เช่น การห้ามเผาในที่โล่ง ไปสู่การสร้างแรงจูงใจ เช่น การรับซื้อผลผลิตที่ไม่ผ่านการเผาในราคาที่สูงขึ้น หรือการส่งเสริมระบบเกษตรพันธสัญญา (Contract Farming) กับภาคเอกชน

ในส่วนของสถาบันการเงิน ณรงค์ กล่าวว่า ธ.ก.ส. ซึ่งมีเครือข่ายสาขากว่า 1,260 แห่งทั่วประเทศและมีลูกค้าเป็นเกษตรกรกว่า 90% ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการให้ความช่วยเหลือ คำแนะนำ และองค์ความรู้แก่เกษตรกร เพื่อช่วยให้เกษตรกรสามารถปรับตัวเข้ากับการทำเกษตรวิถีใหม่ได้ นอกจากนี้ ยังมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเสริมประสิทธิภาพ เช่น การร่วมมือกับสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) และมหาวิทยาลัยเทคนิคไทย-เยอรมัน ในการนำเทคโนโลยีดาวเทียมมาใช้ในกระบวนการตรวจสอบการผลิตข้าวเพื่อการส่งออก

ด้านภาคเอกชน สินีนุช ได้ยกตัวอย่างการลงทุนและการดำเนินงานเชิงรุกของบริษัทฯ เพื่อมุ่งสู่เกษตรกรรมยั่งยืน อาทิ การสร้างความมั่นคงทางแหล่งน้ำของตนเอง ด้วยการพัฒนาอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ความจุกว่า 2 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งเพียงพอสำหรับใช้ในโรงงานและแบ่งปันให้เกษตรกรรอบข้างได้นานถึง 16-22 เดือนโดยไม่กระทบแหล่งน้ำชุมชน การบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพทั้งในโรงงานและสนับสนุนเกษตรกร การฟื้นฟูบำรุงดินที่เสื่อมโทรมจากการใช้ปุ๋ยเคมีเป็นระยะเวลานาน การนำระบบเกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture) มาใช้เพื่อลดการใช้ปุ๋ยและปัจจัยการผลิตที่ไม่จำเป็น และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีภูมิอากาศ (Climate Tech) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของเกษตรกร

สินีนุช กล่าวเสริมว่าบริษัทยังมุ่งมั่นสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) อย่างเต็มรูปแบบ เช่น การผลิตพลังงานไฟฟ้าใช้เองจากไบโอแก๊สเพื่อทดแทนการใช้ LPG และน้ำมันเตา ทำให้กระบวนการผลิตเป็นแบบคาร์บอนต่ำ (Low Carbon) และยังสามารถเป็นแหล่งดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Dioxide Removal – CDR) ของภาคเอกชนได้ นอกเหนือจากการทำกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) ทั่วไป รวมถึงการนำวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรและจากโรงงานมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เช่น ปุ๋ยชีวภาพ สารชีวภัณฑ์ที่ไม่ทิ้งสารเคมีตกค้าง และผลิตภัณฑ์รีไซเคิล ขณะเดียวกันก็มีความพยายามในการปฏิบัติตามกฎระเบียบทางการค้าระหว่างประเทศ เช่น EUDR (EU Deforestation Regulation) เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดส่งออก

ปลดล็อกอนาคตเกษตรยั่งยืน สานพลังความร่วมมือ

แม้จะมีความพยายามจากทุกภาคส่วน แต่การขับเคลื่อนนวัตกรรมเกษตรสีเขียวไปสู่ความยั่งยืนยังคงเผชิญกับอุปสรรคสำคัญหลายประการ อย่างไรก็ตาม ในอุปสรรคเหล่านั้นก็มีโอกาสซ่อนอยู่ และความร่วมมือคือหัวใจหลักที่จะไขไปสู่ความสำเร็จ สินีนุช ชี้ให้เห็นว่าการปรับตัวสู่ BCG Model (Bio-Circular-Green Economy) นั้นมีต้นทุนที่สูงมาก ทั้งในเรื่องการทำระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) การตรวจวัดการปล่อยคาร์บอน (Carbon Emission) และการดำเนินการตามกรอบ ESG (Environmental Social and Governance)

และยังแสดงความกังวลว่ากลไกทางการตลาดเช่น CDM (Clean Development Mechanism) หรือ Carbon Tax แม้ในปัจจุบันจะยังไม่ได้เริ่มบังคับใช้โดยตรงกับภาคเกษตร แต่หากมีการนำมาปรับใช้ในอนาคต ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าต้นทุนทั้งหมดจะถูกผลักกลับมาที่ภาคเกษตรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ “ในขณะเดียวกัน หากมองในฝั่งของ Green Finance หรือการเงินสีเขียว ก็ต้องยอมรับว่าเรายังไม่เห็นประโยชน์เชิงเศรษฐกิจที่แท้จริงกลับมาสู่เกษตรกรมากนัก” สินีนุชกล่าว

เกษตรกรมีความยากลำบากในการเข้าถึงคาร์บอนเครดิตหรือการได้รับราคาพรีเมียม (Premium Price) สำหรับสินค้าเกษตรที่ผลิตอย่างยั่งยืน ด้าน ณรงค์ ก็ย้ำว่าค่าใช้จ่ายในการประเมินเพื่อให้ได้การรับรองมาตรฐานต่าง ๆ ซึ่งอาจสูงถึงหลักแสนบาทต่อราย ถือเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับเกษตรกรรายย่อย

นอกจากนี้  ปัญหาเชิงโครงสร้างและระบบจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ได้แก่ การขาด One Database หรือฐานข้อมูลกลางสำหรับข้อมูลเกษตรกร ทำให้เกษตรกรที่ขายผลผลิตให้หลายโรงงานต้องให้ข้อมูลซ้ำซ้อนหลายครั้ง นิยามคำว่า “ป่า” (เช่น ป่าสงวน ป่าชุมชน ป่าต้นน้ำ) ที่ยังไม่สอดคล้องกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับที่ดินและการเกษตรที่มีจำนวนมาก (มากกว่า 10 ฉบับ) และมีความซับซ้อน ทำให้การทำ Due Diligence เป็นไปด้วยความยากลำบาก และยังไม่มีแพลตฟอร์มกลางที่เชื่อถือได้ ทำให้แต่ละบริษัทต้องลงทุนพัฒนาแอปพลิเคชันของตนเอง ซึ่งเป็นต้นทุนที่สูง

ในด้านความจำเป็นในการปรับตัว ฉันทานนท์ เน้นย้ำว่าการปรับตัวของภาคเกษตรต้องอาศัยเทคโนโลยี องค์ความรู้ และความยืดหยุ่นในการประกอบอาชีพ และสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าการรับรู้ข้อมูลคือ “การลงมือปฏิบัติจริง” ของเกษตรกร

ท่ามกลางอุปสรรคเหล่านี้ ผู้ร่วมเสวนาต่างเห็นพ้องถึงแนวทางและข้อเสนอเพื่อขับเคลื่อนไปข้างหน้า ณรงค์ เสนอให้มีแรงจูงใจทางการเงินที่ชัดเจน เช่น การลดอัตราดอกเบี้ยสำหรับเกษตรกรที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเรียกร้องให้ภาครัฐออกมาตรการทางภาษีเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการที่ช่วยเหลือเกษตรกรในการปรับเปลี่ยนสู่เกษตรสีเขียว รวมถึงการสนับสนุนให้มีผู้ประเมินมาตรฐานที่หลากหลายและมีราคาที่เกษตรกรเข้าถึงได้

สินีนุช เรียกร้องให้ภาครัฐเข้ามาเป็นเจ้าภาพในการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะการพัฒนา One Platform ที่ทุกภาคส่วนสามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้ และย้ำว่าการบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ (NDC) นั้นขึ้นอยู่กับการมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันของภาคเกษตร

ท้ายที่สุด ทุกคนต่างเห็นพ้องว่า “ความร่วมมือ” คือกุญแจดอกสำคัญ ฉันทานนท์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “วิกฤตการณ์ด้านสภาพภูมิอากาศนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญของประเทศไทย หากเราสามารถลงมือทำก่อน เราทำได้เร็ว และแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ของประเทศเกษตรกรรมที่จะก้าวไปสู่อุตสาหกรรมเกษตรที่มั่นคงและยั่งยืน แต่การจะไปถึงจุดนั้นได้ เราไม่สามารถเดินด้วยกระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง หรือภาคส่วนใดภาคส่วนหนึ่งได้อีกต่อไป เราต้อง ‘กระโดด’ ไปข้างหน้าให้เร็ว”

เช่นเดียวกับ ณรงค์ ที่ย้ำว่า “ถึงเวลาแล้วที่เราทุกคน ทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ และประชาชน ต้องมาร่วมมือร่วมใจกัน” และ สินีนุช ที่เน้นย้ำว่า “Collaboration หรือความร่วมมือ เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ไม่ใช่แค่เพื่อให้เรารอด แต่ต้องสร้างความร่วมมือที่เข้มแข็งและมีประสิทธิภาพเพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของทั้ง Supply Chain” พร้อมฝากให้ทุกฝ่ายดูแลคนทำงานในตลอดห่วงโซ่อุปทานให้ดี

การขับเคลื่อนนวัตกรรมเกษตรสีเขียวสู่ธุรกิจยุคใหม่ที่ยั่งยืนของประเทศไทย จำเป็นต้องอาศัยวิสัยทัศน์ร่วม การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์และแนวทางการปฏิบัติในทุกระดับ การลงทุนในเทคโนโลยีและองค์ความรู้ การสร้างแรงจูงใจที่เหมาะสม และที่สำคัญที่สุดคือความร่วมมืออย่างบูรณาการและจริงจังจากทุกภาคส่วน เพื่อให้ภาคเกษตรไทยสามารถปรับตัวรับมือกับความท้าทาย คว้าโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงของโลก สร้างความมั่นคงทางอาหาร และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไปข้างหน้าอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

สวรส.-โนโว นอร์ดิสค์ ผนึกกำลัง ยกระดับมาตรฐานวิจัยคลินิกไทย พัฒนาระบบสุขภาพและเศรษฐกิจ

2 ปี BDI ปักธง Big Data-AI พลิกอนาคตดิจิทัลไทย

×

Share

ผู้เขียน