Share on
×

Share

6 ธุรกิจ SME ต้นแบบ คว้ารางวัล Bai Po Business Awards by Sasin

ในโลกธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยการแข่งขันและนวัตกรรม วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ไม่เพียงแต่เป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นแหล่งรวมเรื่องราวอันทรงพลังของผู้ประกอบการที่เปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นและความคิดสร้างสรรค์ เรื่องราวของ SME ที่ประสบความสำเร็จและสร้างผลกระทบเชิงบวกนั้นน่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะสะท้อนถึงการเดินทางที่ต้องฟันฝ่าอุปสรรค การปรับตัวอย่างชาญฉลาด และการยึดมั่นในคุณค่าที่นอกเหนือไปจากผลกำไร พวกเขาจึงเป็นมากกว่ากรณีศึกษาทางธุรกิจ แต่เป็นต้นแบบที่สามารถจุดประกายแรงบันดาลใจและชี้แนวทางให้กับผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ตลอดจนธุรกิจอื่น ๆ ที่มุ่งมั่นสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ร่วมกันจัดงานประกาศผลและมอบรางวัลเกียรติยศ “Bai Po Business Awards by Sasin” ครั้งที่ 20 เพื่อยกย่องและเป็นกำลังใจให้แก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ของไทย

ในปีนี้ มีผู้ประกอบการ SME จำนวน 6 ราย ที่ได้รับการคัดเลือกเข้ารับรางวัล จากความสามารถในการสร้างความแตกต่างทางธุรกิจ การฟันฝ่าวิกฤตการณ์ต่าง ๆ ด้วยความคิดสร้างสรรค์ การบริหารจัดการองค์กรอย่างมีวิสัยทัศน์ ตลอดจนการแสดงศักยภาพในการเป็นส่วนหนึ่งเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไปสู่ความยั่งยืน บทความนี้จะนำเสนอรายละเอียดเรื่องราว แนวคิด และแนวทางการดำเนินธุรกิจของแต่ละบริษัทที่ได้รับรางวัล

White Story: อาหารคุณภาพปรุงด้วยใจ ใส่ใจสิ่งแวดล้อม

แบรนด์ White Story โดย บริษัท โซดา น้ำชา จำกัด ซึ่งนำโดย วาศิณี สุรชาติชัยฤทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ก่อตั้งขึ้นจากแรงบันดาลใจเมื่อครั้งเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน ณ ประเทศเนเธอร์แลนด์เมื่อ 30 ปีที่แล้ว วาศิณีได้สัมผัสกับวิถีชีวิตที่ประชาชนสามารถเข้าถึงอาหารสดใหม่ในชุมชนและมีการดูแลสิ่งแวดล้อมที่ดี 

เธอเล่าว่าการได้เห็นวิถีชีวิตดังกล่าว แม้ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่มีร้านอาหารทำขนมปังสดใหม่ทุกเช้า ส่งผลให้คนในเมืองมีสุขภาพดีและมีสิ่งแวดล้อมที่ดี ประสบการณ์นี้ประกอบกับการเรียนรู้เรื่องการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังในประเทศญี่ปุ่นเป็นจุดเริ่มต้นและเป็นรากฐานสำคัญในการก่อตั้ง White Story ในประเทศไทย ด้วยเจตนารมณ์ที่จะนำสิ่งดี ๆ เหล่านั้นมาสู่ผู้บริโภคชาวไทย 

วาศิณี กล่าวว่า จากการได้รับประสบการณ์ตรงและความรู้ด้านสิ่งแวดล้อม ทำให้ตระหนักว่าการอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีนั้นทุกคนต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อตนเอง เมื่อมีโอกาสทำธุรกิจจึงนำจุดยืนดังกล่าวมาเป็นเจตนารมณ์ขององค์กร

White Story ดำเนินธุรกิจร้านอาหารและเบเกอรี่ โดยมีผลิตภัณฑ์หลากหลาย ทั้งขนมปัง อาหารกล่อง และเครื่องดื่ม โดยให้ความสำคัญสูงสุดกับการผลิตที่สดใหม่ทุกวัน ปลอดสารกันเสีย และลดการใช้สารเคมีให้น้อยที่สุด เพื่อให้ลูกค้าได้บริโภคอาหารที่ดีต่อสุขภาพในราคาที่สามารถเข้าถึงได้ บริษัทมุ่งมั่นที่จะเป็นแบรนด์ที่ลูกค้าไว้วางใจ โดยคัดสรรวัตถุดิบคุณภาพดีและนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย 

วาศิณี กล่าวว่า White Story มีความมุ่งมั่นที่จะส่งออกสินค้าแบรนด์ไทยสู่ตลาดสากล ลูกค้าสามารถไว้วางใจได้ว่า White Story ได้คัดสรรสิ่งที่ดีที่สุดให้แล้ว นอกจากนี้ White Story ยังให้ความสำคัญกับการจัดการสิ่งแวดล้อม โดยนำบทเรียนจากการแยกขยะอย่างจริงจังในต่างประเทศมาปรับใช้และถ่ายทอดสู่วัฒนธรรมองค์กร เธอกล่าวถึงการนำความรู้เรื่องการแยกขยะมาสอนทีมงาน แม้ในภาคธุรกิจอาจไม่สามารถหลีกเลี่ยงการใช้พลาสติกได้ทั้งหมด แต่บริษัทเลือกใช้พลาสติกที่ย่อยสลายได้หรือสามารถนำกลับมารีไซเคิลได้ ซึ่งเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม โดยการนำพลาสติกกลับมาใช้ซ้ำนั้นจำเป็นต้องมีการคัดแยกขยะที่ถูกต้องเป็นเบื้องต้น

ด้วยความมุ่งมั่นดังกล่าว บริษัท โซดา น้ำชา จำกัด (แบรนด์ White Story) ได้รับการเชิดชูเกียรติจากรางวัล Bai Po Business Awards by Sasin ในมิติการบริหารจัดการด้านสินค้าและบริการที่สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า มิติการบริหารจัดการด้านการปฏิบัติการ และมิติองค์กรที่มีการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน

นวัตกรรมขนมเพื่อสุขภาพ Grinny และ O puff สร้างคุณค่าเกษตรไทย

บริษัท เติมเนเจอร์ อินดัสตรี้ จำกัด ซึ่งมี สุวิมล สิระนาท กรรมการผู้จัดการ เป็นผู้ขับเคลื่อน ก่อตั้งขึ้นจากความตั้งใจอันแรงกล้าของเธอ ผู้ได้รับทุนเล่าเรียนหลวงไปศึกษาต่อต่างประเทศ หลังจากทำงานในต่างประเทศระยะหนึ่ง สุวิมลเกิดความตระหนักและตั้งคำถามถึงการนำความรู้ความสามารถไปสร้างการเติบโตให้องค์กรต่างชาติ ขณะที่ประเทศไทยอาจไม่ได้รับประโยชน์โดยตรง เธออธิบายความรู้สึกในขณะนั้นว่า เหตุใดจึงนำเงินของประเทศมาศึกษา แต่ความรู้ความสามารถกลับไปสร้างการเติบโตให้บริษัทต่างชาติ ประเทศไทยได้รับประโยชน์อะไรบ้าง จึงรู้สึกว่าถึงเวลาแล้วที่ควรนำความรู้ที่ได้รับจากการศึกษามาทำประโยชน์เพื่อสังคมไทย ด้วยความเชื่อมั่นในคุณภาพของสินค้าเกษตรไทย เธอจึงตัดสินใจกลับมาสร้างธุรกิจในประเทศไทย

บริษัท เติมเนเจอร์ อินดัสตรี้ จำกัด ดำเนินธุรกิจแปรรูปสินค้าเกษตรไทยเป็นผลิตภัณฑ์ขนมเพื่อสุขภาพ เช่น ขนมอบกรอบจากข้าวกล้องหอมมะลิออร์แกนิก แบรนด์ Grinny และขนมข้าวโพดอบกรอบ แบรนด์ O puff เพื่อส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศกว่า 40 ประเทศทั่วโลก โดยมีเป้าหมายเพื่อขยายขนาดตลาดให้กับสินค้าเกษตรของไทยและหลีกเลี่ยงการแข่งขันกับผู้ประกอบการรายเดิมในประเทศ บริษัทให้ความสำคัญกับปรัชญา ‘Design Inside Out’ คือการมุ่งมั่นทำสินค้าที่ดีมีคุณภาพตั้งแต่ขั้นตอนการคิด 

สุวิมล สิระนาท แบ่งปันว่า บริษัทพยายามเติบโตไม่เพียงในด้านยอดขาย แต่ยังมองถึงมิติอื่นด้วย เช่น คุณภาพชีวิตของพนักงาน การช่วยเหลือเกษตรกร หรือการแบ่งปันความรู้ที่สามารถมอบให้พวกเขาได้ นอกจากนี้ บริษัทยังได้พัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับตลาดในประเทศ เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสำหรับผู้บริโภคทุกวัย ทำให้สามารถรับซื้อวัตถุดิบทางการเกษตรได้ในปริมาณที่มากขึ้น และยังขยายการช่วยเหลือไปยังเกษตรกรผู้ปลูกพืชผลอื่น ๆ เพิ่มเติมจากข้าว เช่น ข้าวโพดและผลไม้หลากหลายชนิด ทั้งยังนำผลิตภัณฑ์ของบริษัทซึ่งเกิดจากการแปรรูปวัตถุดิบจากเกษตรกรในชุมชนต่าง ๆ ส่งคืนกลับไปยังชุมชนเหล่านั้นด้วย เพราะทุกครั้งที่ทำเช่นนั้น เธอเห็นรอยยิ้มและความภาคภูมิใจเล็ก ๆ ของพวกเขา 

เธอยังเน้นย้ำถึงการเป็นบริษัทไทย 100% ที่ให้ความสำคัญกับการจ้างงานคนไทยและให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าบริษัทอื่นในละแวกเดียวกัน อีกทั้งยังพยายามดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม เพราะในการส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศจำนวนมาก จำเป็นต้องปฏิบัติตามมาตรฐานต่าง ๆ ไม่เพียงแต่มาตรฐานสินค้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงมาตรฐานแรงงานและมาตรฐานสิ่งแวดล้อมด้วย

จากวิสัยทัศน์และการดำเนินงานที่โดดเด่น บริษัท เติมเนเจอร์ อินดัสตรี้ จำกัด ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ Grinny และ O puff ได้รับรางวัล Bai Po Business Awards by Sasin อันทรงคุณค่าในมิติการบริหารจัดการด้านสินค้าและบริการที่สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า มิติองค์กรที่มีการสร้างสรรค์นวัตกรรม และมิติองค์กรที่มีการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน

เปลี่ยนซังข้าวโพดไร้ค่าทสู่ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมรักษ์โลก

บริษัท นิพพาน อินเตอร์คร็อพ จำกัด นำโดย จิรยุทธ์ เตียวสมบูรณ์กิจ ประธานกรรมการ ก่อตั้งขึ้นด้วยความตั้งใจที่จะดำเนินธุรกิจเพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม จุดเริ่มต้นมาจากประสบการณ์ตรงเมื่อจิรยุทธ์เดินทางไปภาคเหนือแล้วประสบกับปัญหาหมอกควันจากการเผาในพื้นที่เกษตร เขาจึงเริ่มค้นหาคำตอบและพบว่าข้าวโพดเป็นพืชเศรษฐกิจหลักและเป็นต้นเหตุสำคัญของการเผาในภาคเกษตร ก่อนหน้านั้น จิรยุทธ์ยังเคยมีประสบการณ์จากการแก้ปัญหากลิ่นจากฟาร์มปศุสัตว์ด้วยการนำมูลสัตว์มาแปรรูปเป็นปุ๋ยอินทรีย์ แนวคิดเหล่านี้ล้วนมาจากความเชื่อส่วนตัวที่ว่า “ทุกสิ่งบนโลกนี้ล้วนมีคุณค่า อยู่ที่เราจะนำมาสร้างให้เกิดประโยชน์ได้อย่างไร” และเคล็ดลับของบริษัทคือ “การเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า”

บริษัทดำเนินธุรกิจแปรรูปวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร โดยเน้นไปที่ซังข้าวโพดเป็นหลัก ซึ่งเป็นวัสดุที่มักถูกเผาทิ้งและก่อให้เกิดปัญหาฝุ่น PM 2.5 บริษัทนำซังข้าวโพด (corn cob) มาผ่านกระบวนการทางเทคโนโลยีและซอฟต์แวร์เพื่อแยกองค์ประกอบออกเป็น ส่วนผิวนอกที่บาง ส่วนกลางที่เรียกว่ากริด (grid) ซึ่งมีลักษณะแข็งเหมือนไม้ และส่วนในสุดที่นิ่มคล้ายฟองน้ำคือพิธ (pith) จากนั้นจึงนำองค์ประกอบเหล่านี้ไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ใน 6 กลุ่มผลิตภัณฑ์ เพื่อใช้ใน 6 กลุ่มอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมขัดเหล็ก อุตสาหกรรมยาและวิตามิน อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ และเป็นวัสดุปลูกพืชไร้ดิน รวมถึงใช้ในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ (เป็นวัสดุเพาะเห็ด) โดยให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมในการเพิ่มมูลค่าให้กับวัตถุดิบ ปัจจุบัน บริษัทได้ส่งออกผลิตภัณฑ์ไปยังประเทศญี่ปุ่น สิงคโปร์ เยอรมนี และตุรกี โดยเริ่มต้นจากความฝันที่ว่าจะเป็นการดีอย่างยิ่งถ้าสามารถนำของเหลือทิ้ง วัสดุเหลือใช้ มาสร้างมูลค่าและส่งออกเป็นเงินดอลลาร์ได้ และในปีที่ผ่านมา บริษัทสามารถช่วยลดการเผาซังข้าวโพดไปแล้วมากกว่า 130,000 ไร่

ด้วยการดำเนินธุรกิจที่สร้างผลกระทบเชิงบวกและแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน บริษัท นิพพาน อินเตอร์คร็อพ จำกัด ได้รับรางวัล Bai Po Business Awards by Sasin ในมิติองค์กรที่มีการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และมิติการสร้างธุรกิจด้วยพลังแห่งการเป็นผู้ประกอบการ ซึ่งสะท้อนผ่านการจัดการตั้งแต่ต้นน้ำ (เกษตรกรมีรายได้เพิ่ม) กลางน้ำ (เกิดการจ้างงานในชุมชน) และปลายน้ำ (ผู้บริโภคได้สินค้าจากธรรมชาติ และภาครัฐลดค่าใช้จ่ายในการจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อม)

นวัตกรรมไทเทเนียมท ยกระดับอุตสาหกรรมไทยสู่ความยั่งยืน

บริษัท โปรลอก ไทเทเนียม คอร์ปอเรชั่น จำกัด โดย ธนพล หวานสนิท กรรมการผู้จัดการ ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ซึ่งในขณะนั้นธนพลมองเห็นปัญหาในอุตสาหกรรมไทยว่ายังคงใช้เครื่องจักรและโรงงานแบบเดิมๆ ที่เสียหายง่าย โดยเฉพาะส่วนที่ทำจากเหล็กและสเตนเลส อีกทั้งยังขาดความรู้ด้านโลหะวิทยาในการสร้างโรงงานที่มีคุณภาพและความทนทานสูงกว่า ธนพลเล่าว่า “ปัจจัยเหล่านี้เป็นที่มาของการก่อตั้งบริษัท โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเข้าไทเทเนียมมาใช้แก้ไขปัญหาในอุตสาหกรรมไทย”

ปัจจุบัน บริษัทเป็นผู้ให้บริการเกี่ยวกับวัตถุดิบไทเทเนียมครบวงจร เป็นผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดและผู้ผลิตชิ้นส่วนชั้นนำของประเทศไทย มีไทเทเนียมในสต็อกประมาณ 3 ล้านกิโลกรัม ให้บริการทั้งด้านการผลิต การติดตั้ง และการออกแบบ เพื่อจัดจำหน่ายไทเทเนียมให้กับหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมอาหาร ยา ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และปิโตรเคมี นอกจากนี้ยังมีการส่งออกไปยังหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ญี่ปุ่น และกำลังขยายตลาดสู่สหรัฐอเมริกาและยุโรป ธนพลได้อธิบายเพิ่มเติมถึงบทบาทของนวัตกรรมว่า อันที่จริง ไทเทเนียมเป็นหนึ่งในโลหะที่มีราคาสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก และมีคุณสมบัติโดดเด่น แต่ด้วยราคาที่สูงและกระบวนการแปรรูปที่ซับซ้อน ทำให้อุตสาหกรรมไทยยังไม่สามารถเข้าถึงและนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ ดังนั้น บริษัทจึงใช้นวัตกรรมในทุกมิติ ไม่เพียงแต่ในตัวผลิตภัณฑ์ แต่ยังรวมถึงนวัตกรรมในกระบวนการผลิตเพื่อลดต้นทุน และนวัตกรรมในการออกแบบผลิตภัณฑ์ ตัวอย่างเช่น การใช้หุ่นยนต์ในการเชื่อมโลหะ การรีไซเคิลของเสียทั้งหมดในกระบวนการผลิต และการนำไทเทเนียมไปใช้ในงานที่หลากหลาย เช่น ทำแม่พิมพ์ เป็นโมลด์ในการผลิตอุปกรณ์ หรือเคลือบแผงวงจรพิมพ์ (PCB)

บริษัท โปรลอก ไทเทเนียม คอร์ปอเรชั่น จำกัด ได้รับรางวัล Bai Po Business Awards by Sasin ในมิติการบริหารจัดการด้านสินค้าและบริการที่สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า มิติองค์กรที่มีการสร้างสรรค์นวัตกรรม และมิติการสร้างธุรกิจด้วยพลังแห่งการเป็นผู้ประกอบการ ปรัชญาการดำเนินธุรกิจตลอด 20 ปีที่ผ่านมาคือการไม่แข่งขันกับคู่แข่งรายใหม่ แต่แข่งขันกับตนเอง แข่งขันกับโลหะแบบเดิมๆ และแข่งขันกับวิธีการดำเนินงานที่ใช้กันทั่วไป บริษัทได้พิสูจน์ว่าไทเทเนียมสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในงานต่างๆ ได้หลากหลายกว่าที่หลายคนคาดคิด ทั้งยังสร้างความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจและความยั่งยืนในอุตสาหกรรมได้อย่างมาก การนำนวัตกรรมมาใช้อย่างครอบคลุมและบูรณาการนี้เองที่ทำให้ SME สามารถสร้างความแตกต่างและเติบโตได้อย่างยั่งยืน ธนพลสรุปว่า SME ไทยจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างความแตกต่างโดยการนำนวัตกรรมเข้ามาประยุกต์ใช้ เพื่อให้สามารถต่อยอดธุรกิจและแข่งขันได้

Super Lock จากกล่องถนอมอาหารคุณภาพ สู่ Lifestyle Solution คู่ครัวไทย

แบรนด์ Super Lock โดย บริษัท ไมครอนโปรโมชั่น จำกัด ซึ่งมี สิวารี เจริญจิตมั่น กรรมการ เป็นผู้บริหาร มีจุดเริ่มต้นมาจากการมองเห็นปัญหา (Pain Point) ในการเก็บรักษาอาหารของผู้บริโภคเมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว สิวารีเล่าว่าในสมัยที่ยังไม่มีกล่องถนอมอาหารใช้กันอย่างแพร่หลาย การซื้ออาหารใส่ถุงพลาสติกแล้วมัดด้วยหนังยางก่อให้เกิดปัญหาเรื่องกลิ่นอาหารปะปน หรืออาหารเน่าเสียง่าย นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้บริษัทมองว่าควรจะมีผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเก็บอาหารได้นานยิ่งขึ้น ลดปัญหาอาหารเหลือทิ้ง (Food Waste) และยังคงความสดใหม่ปลอดภัยต่อสุขภาพ จึงได้เริ่มผลิตกล่องพลาสติกขึ้น โดยคุณพ่อของเธอเป็นผู้ริเริ่ม

Super Lock เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายกล่องถนอมอาหารคุณภาพสูง โดยให้ความสำคัญกับคุณภาพและนวัตกรรมเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ผลิตภัณฑ์เด่นคือกล่องถนอมอาหารที่มีเทคโนโลยีไมโครแบน (Microban) ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยยืดอายุการเก็บรักษา โดยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและเชื้อราที่อาจปนเปื้อนบนผิวสัมผัส ทำให้สิ่งที่บรรจุในกล่องยังคงความสดกรอบได้นานยิ่งขึ้น สิวารี เจริญจิตมั่น สื่อสารถึงวิสัยทัศน์ของแบรนด์ว่า บริษัทมองว่าตนเองไม่ได้เป็นเพียงผู้ผลิตสินค้า แต่มุ่งหวังที่จะเป็น Lifestyle Solution Provider ให้กับลูกค้า ต้องการเป็นแบรนด์ที่สามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตของลูกค้าให้ง่ายขึ้น บริษัทไม่หยุดนิ่งในการพัฒนา โดยยังคงมองหาอยู่เสมอว่ามี Pain Point ใดบ้างที่ผู้บริโภคยังต้องการให้แก้ไข เช่น ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ก็ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์การกักตุนอาหาร เธอกล่าวต่อว่า บริษัทรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้ยินว่า Super Lock เป็นของที่ทุกบ้านมี สิ่งที่ทำให้ Super Lock เป็นเช่นนั้นคือการให้ความสนใจและใส่ใจในเรื่องคุณภาพสินค้า รวมถึงการศึกษา Pain Point ของผู้บริโภคอยู่ตลอดเวลา

บริษัท ไมครอนโปรโมชั่น จำกัด (แบรนด์ Super Lock) ได้รับรางวัล Bai Po Business Awards by Sasin ในมิติการบริหารจัดการด้านสินค้าและบริการที่สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า มิติการบริหารจัดการด้านการปฏิบัติงาน และมิติการบริหารจัดการด้านการสร้างตราสินค้าและการตลาด ปัจจัยสำคัญคือการยึดมั่นในเรื่องคุณภาพมาอย่างยาวนานตั้งแต่รุ่นคุณพ่อ เพราะคุณภาพเป็นสิ่งสำคัญเสมอในทุกยุคทุกสมัย ประกอบกับการใส่ใจศึกษาความต้องการของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ทำให้ Super Lock สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์และเป็นที่ยอมรับ

ViNG รองเท้าแตะนวัตกรรมไทยท้าทายข้อจำกัดก้าวไกลสู่เวทีโลก

แบรนด์ ViNG โดย บริษัท วีอิ้ง อินเตอร์เทรด จำกัด ซึ่งนำโดย วาที วิเชียรนิตย์ ประธานกรรมการบริหาร มีจุดเริ่มต้นมาจากประสบการณ์ส่วนตัวของวาทีเอง ทั้งปัญหาสุขภาพและการเป็นนักวิ่งมาราธอน เขาพบว่ารองเท้าที่มีอยู่ในท้องตลาดส่วนใหญ่มีปัญหากับลักษณะเท้าของตนซึ่งค่อนข้างอูม และยังประสบปัญหาอาการบาดเจ็บจากรองเท้า จนกระทั่งค้นพบว่ารองเท้าแตะสามารถช่วยบรรเทาปัญหานี้ได้ จากการค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติม เขาพบว่ายังไม่มีตัวอย่างแบรนด์แฟชั่นหรือแบรนด์รองเท้าของไทยในระดับพรีเมียมที่สามารถก้าวไปสู่ตลาดโลกได้ จึงเกิดเป็นแรงผลักดันว่าหากยังไม่มี ก็อยากจะสร้างมันขึ้นมาเอง

ViNG พัฒนาและผลิตรองเท้านวัตกรรม หรือรองเท้าแตะ ที่ออกแบบมาเพื่อความเร็วที่ดีกว่าในการแข่งขัน และความสบายที่เหนือกว่ารองเท้าทั่วไป โดยรองเท้ามีคุณสมบัติใกล้เคียงกับ Super Shoe ราคาสูง และมีรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ ผลิตในประเทศไทย วาทีได้แบ่งปันกลยุทธ์การพัฒนาธุรกิจออกเป็น 3 เฟส ได้แก่ เฟสแรก คือ Lean Process โดยในช่วงเริ่มต้นจะผลิตเพียงรุ่นเดียว ผลิตจำนวนน้อย ใช้วัสดุที่ดีที่สุด และเลือกกลุ่มลูกค้านักวิ่งอัลตร้ามาราธอนที่ชัดเจน เน้นฟังก์ชันการใช้งาน เฟสสอง คือการสร้างฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งในประเทศ โดยรับฟังความคิดเห็นของลูกค้า ให้ลูกค้ามีส่วนร่วม และสร้างชุมชนผู้ใช้งาน และ เฟสสาม คือการก้าวสู่ตลาดโลก โดยมุ่งเน้นการสร้างมาตรฐานในทุกด้าน ทั้งความยั่งยืน การส่งออก คุณภาพสินค้า และนวัตกรรม ความพยายามนี้ได้ผลิดอกออกผล เมื่อรองเท้ารุ่น “ดีว่า” ซึ่งมีแผ่นคาร์บอนไฟเบอร์เป็นส่วนประกอบ หรือที่เรียกว่ารองเท้าซุปเปอร์แซนดอล ของแบรนด์ สามารถนำไปใช้ในการแข่งขันมาราธอนที่จังหวัดกระบี่ และกลายเป็นข่าวดังในวงการวิ่งต่างประเทศ

บริษัท วีอิ้ง อินเตอร์เทรด จำกัด (แบรนด์ ViNG) ได้รับรางวัล Bai Po Business Awards by Sasin ในมิติองค์กรที่มีการสร้างสรรค์นวัตกรรม มิติการบริหารจัดการด้านการสร้างตราสินค้าและการตลาด และมิติการสร้างธุรกิจด้วยพลังแห่งการเป็นผู้ประกอบการ ปัจจัยสู่ความสำเร็จคือการมองเห็นช่องว่างในตลาดและการสร้างความแตกต่างด้วยนวัตกรรม วาทีเน้นย้ำว่าการสร้างความแตกต่างในยุคนี้เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง การเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์คือการค้นหาผู้ใช้งานที่เห็นคุณค่าในสิ่งที่บริษัททำ และที่สำคัญคือการทำผลิตภัณฑ์ที่สามารถเพิ่มความพึงพอใจให้กับลูกค้าได้ ความมุ่งมั่นที่จะนำแบรนด์ของคนไทย โดยเฉพาะแบรนด์สำหรับนักวิ่ง ให้สามารถเติบโตและเป็นที่ยอมรับในระดับโลกให้ได้ในวันหนึ่ง สะท้อนถึงพลังของผู้ประกอบการอย่างแท้จริง

จากเรื่องราวของผู้ประกอบการ SME ไทยทั้ง 6 ราย ที่ได้รับรางวัล “Bai Po Business Awards by Sasin” ครั้งที่ 20 ซึ่งจัดโดยธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แสดงให้เห็นว่าแม้จะมาจากพื้นฐานธุรกิจและอุตสาหกรรมที่แตกต่างกัน แต่ผู้ประกอบการเหล่านี้ต่างมีจุดมุ่งหมายร่วมในการสร้างความยั่งยืนให้ธุรกิจ ผ่านการใช้นวัตกรรม การปรับตัวเข้ากับบริบทที่เปลี่ยนแปลง และการมองหาโอกาสทางธุรกิจจากสิ่งที่คนอื่นอาจมองข้าม ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญในการเป็นส่วนหนึ่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศอย่างต่อเนื่อง

การมอบรางวัลครั้งนี้ จึงไม่เพียงเป็นการยกย่องความสำเร็จของผู้ได้รับรางวัล แต่ยังช่วยเน้นย้ำถึงบทบาทและความสามารถของผู้ประกอบการ SME ไทยในการพัฒนาธุรกิจด้วยความคิดสร้างสรรค์และวิสัยทัศน์ เรื่องราวของผู้ได้รับรางวัลสามารถเป็นกรณีศึกษาและแนวทางสำหรับผู้ประกอบการรายอื่นในการพัฒนาธุรกิจที่สร้างคุณค่าและเติบโตไปพร้อมกับการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจโดยรวม

×

Share

ผู้เขียน