ภาคธุรกิจชั้นนำของไทยจากหลากหลายอุตสาหกรรม ภายใต้องค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (TBCSD) กำลังมีการเคลื่อนไหวเพื่อขับเคลื่อนประเด็นธุรกิจเพื่อความหลากหลายทางชีวภาพ (Business for Biodiversity) และผสานแนวคิดนี้เข้ากับแผนกลยุทธ์และการดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติเพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือ ความเคลื่อนไหวนี้สะท้อนความตระหนักถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศ ควบคู่ไปกับการสร้างการเติบโตทางธุรกิจที่ยั่งยืน
จากเศรษฐกิจหมุนเวียนสู่การฟื้นฟูป่าชายเลนอย่างยั่งยืน
กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการผสานหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนเข้ากับการดำเนินงานเพื่อความหลากหลายทางชีวภาพอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านโครงการฟื้นฟูป่าชายเลนและความร่วมมือกับพันธมิตรหลากหลายภาคส่วน
ดร.อรทัย พงศ์รักษ์ธรรม ผู้อำนวยการกิจการด้านความยั่งยืน กลุ่มบริษัท ดาว ประเทศไทย กล่าวว่า เป้าหมายความยั่งยืนของดาวมีการพัฒนาจากช่วงแรกที่มุ่งเน้นการดูแลผลกระทบในการดำเนินงานภายในองค์ก ลดต้นทุน ลดของเสีย และความเสี่ยง สู่เป้าหมายในทศวรรษต่อมาที่ครอบคลุมผลิตภัณฑ์และลูกค้า และปัจจุบันที่มุ่งเน้นประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) โดยมีเป้าหมายหลัก 3 ประการคือ ประการแรก Protect the Climate ซึ่งมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 และลดการปล่อยคาร์บอน 15% ภายในปี 2030 ประการต่อมาคือ Transform the Waste โดยมีเป้าหมายหยุดขยะพลาสติก และตั้งเป้านำขยะพลาสติก 3 ล้านเมตริกตันกลับมาใช้ซ้ำหรือรีไซเคิล และประการสุดท้าย Close the Loop คือการทำให้บรรจุภัณฑ์ 100% สามารถนำกลับไปใช้ใหม่หรือรีไซเคิลได้ภายในปี 2035
ดร.อรทัย ยังกล่าวถึงการให้ความสำคัญกับการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change Adaptation) เพิ่มเติมจากเป้าหมายเดิมที่เน้นการลดผลกระทบ (Mitigation) โดยเมื่อปีที่แล้ว ดาวได้ประกาศเป้าหมายศึกษาและดูแลพื้นที่ปฏิบัติการที่ใช้น้ำมากที่สุด 20 แห่งทั่วโลก ซึ่งมาบตาพุดเป็นหนึ่งในนั้น เพื่ออนุรักษ์น้ำและถิ่นที่อยู่อาศัย ซึ่งมีมิติของความหลากหลายทางชีวภาพรวมอยู่ด้วย
สำหรับงานด้านความหลากหลายทางชีวภาพในประเทศไทย ดาวได้เริ่มจากการปลูกป่าชายเลนในพื้นที่ระยอง โดยร่วมกับเทศบาลตำบลประแสในการฟื้นฟูในช่วง 10 ปีแรก ต่อมาได้ขยายความร่วมมือเป็น “Dow & Thailand Mangrove Alliance” (DMTA) โดยร่วมกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) IUCN และเทศบาลประแสและระยอง เพื่อการดำเนินงานที่ครอบคลุมมากขึ้น ทั้งการปลูกและติดตามผลการทำงานร่วมกับชุมชนรอบป่าเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจในการดูแลป่าและสร้างรายได้ จนกระทั่งเมื่อปีที่แล้ว ทช. ได้จัดตั้งแพลตฟอร์ม “Thailand Mangrove Alliance” (TMA) ซึ่งดาวและบริษัทเอกชนอื่น ๆ รวมถึงองค์กรภาคี ได้ร่วมกันจัดทำแผนชาติในการอนุรักษ์ป่าชายเลน ซึ่งได้มีการคิกออฟไปเมื่อสองสัปดาห์ก่อน และคาดว่าทช. จะประกาศโรดแมปในช่วงกลางปีนี้
การทำงานของ DMTA และ TMA ครอบคลุม 4 เสาหลัก ได้แก่ เสาหลักแรกคือการอนุรักษ์ถิ่นที่อยู่อาศัย (Habitat Conservation) ซึ่งรวมถึงการปลูกป่า การติดตามการเติบโต การเลือกชนิดพันธุ์ที่เหมาะสม และการใช้เทคโนโลยีดาวเทียมร่วมกับ GISTDA และทช. ในการติดตามการเปลี่ยนแปลงของป่าชายเลนเพื่อวางแผนอนุรักษ์
เสาหลักที่สองมุ่งเน้นการส่งเสริมสิ่งแวดล้อมศึกษา (Environmental Education) ผ่านการจัดกิจกรรมค่ายเยาวชนทั้งเด็กเล็กและเด็กโต (Children Camp, Youth Camp) เพื่อสร้างจิตสำนึกและความเข้าใจในปัญหาสิ่งแวดล้อม รวมถึงปัญหาขยะและวิธีการแก้ไขการทำงานร่วมกับชุมชน (Community Engagement) เป็นอีกเสาหลักที่สำคัญ โดยการเชิญชวนชุมชนร่วมวางแผนอนุรักษ์ป่า สร้างเครือข่ายชุมชนปกป้องป่า การฝึกอบรมเรื่อง Eco-Tourism โดยเน้นความสำคัญของนกหายากเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวและสร้างรายได้ให้ชุมชน และท้ายที่สุดคือการจัดการปัญหาขยะทะเล (Marine Debris Management) ด้วยการเก็บขยะทั้งในทะเลและป่าชายเลน โดยนำขยะที่เก็บได้ไปคัดแยกเพื่อจัดการอย่างถูกวิธี
ดร.อรทัย ได้กล่าวถึงความท้าทายในการวัดผลกระทบทางความหลากหลายทางชีวภาพเป็นตัวเลข ซึ่งดาวยังคงพยายามหาวิธีการและได้ร่วมกับ BEDO และ TBCSD ในการศึกษาแนวทาง รวมถึงมีการพูดคุยในเครือข่าย TMA อย่างไรก็ตาม จากการพูดคุยกับผู้นำชุมชนพบว่าหลังจากการอนุรักษ์ป่าชายเลน ชาวประมงสามารถพบลูกสัตว์น้ำตัวอ่อนได้มากขึ้นและหาปลาใกล้ชายฝั่งได้ง่ายขึ้น สะท้อนถึงความสมบูรณ์ของระบบนิเวศ เธอยังเน้นย้ำว่าความสำเร็จทั้งหมดเกิดจากความร่วมมือกับพันธมิตรทุกภาคส่วน และเชิญชวนทุกองค์กรที่สนใจเข้าร่วม TMA เพื่อร่วมกำหนดทิศทางของประเทศ
จากการดำเนินงานภายในสู่นวัตกรรมเพื่อชุมชน
ในฐานะผู้นำอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างและโซลูชันครบวงจร SCG ขับเคลื่อนแนวคิด Nature Positive อย่างจริงจัง ตั้งแต่การฟื้นฟูพื้นที่จากการดำเนินงานไปจนถึงการริเริ่มโครงการนวัตกรรมเพื่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม
วชิระชัย คูนําวัฒนา Net Zero Accelerator Director, SCG กล่าวว่า แนวทางการดำเนินงานของ SCG มี 3 เสาหลักด้านความยั่งยืนคือ Net Zero เป้าหมายปี 2050, Nature Positive และ Inclusive Society โดยเน้นที่ Nature Positive ซึ่ง SCG ใช้กรอบ TNFD (Taskforce on Nature-related Financial Disclosures) ในการขับเคลื่อน SCG มองว่าธุรกิจและธรรมชาติมีความเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด ธุรกิจต้องพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติและขณะเดียวกันก็สร้างผลกระทบ จึงเกิดเป็นความเสี่ยงและโอกาสที่ธุรกิจต้องบริหารจัดการอย่างมีความรับผิดชอบ SCG ได้ประกาศพันธสัญญาหลายข้อที่เกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางชีวภาพและทรัพยากรธรรมชาติ เช่น การไม่ตัดไม้ทำลายป่า การฟื้นฟูเหมือง การใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ และการใช้วัสดุรีไซเคิล
ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมคือโรงงานปูนซีเมนต์ลำปางที่ก่อนการตั้งโรงงานเป็นป่าเสื่อมโทรมแต่ปัจจุบันกลายเป็นป่าที่สมบูรณ์ แสดงให้เห็นว่าธุรกิจกับธรรมชาติสามารถไปด้วยกันได้หากมีการจัดการที่ดี SCG ดำเนินการทั้งในส่วนของ Operation ของตนเอง เช่น การทำเหมืองแบบ Semi-Open Cut ที่รักษาสภาพความเป็นภูเขาและสามารถฟื้นฟูป่าได้ และขยายผลไป Beyond Operation ผ่านโครงการ “รักภูผา มหานที” ที่ดูแลตลอดทั้งห่วงโซ่ตั้งแต่ต้นน้ำ (ฟื้นฟูป่า) กลางน้ำ (จัดการน้ำ) จนถึงปลายน้ำ (ฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเล รวมถึงป่าชายเลน)
นอกจากนี้ SCG ยังได้เข้าร่วมโครงการ “สระบุรี Sandbox” ซึ่งเป็นโครงการต้นแบบเมืองคาร์บอนต่ำ โดยร่วมกับทางจังหวัดในหลายมิติ รวมถึงการอนุรักษ์และเพิ่มพื้นที่สีเขียว SCG ให้ความสำคัญกับป่าชุมชน 45 แห่งในสระบุรี โดยเข้าไปศึกษาและสนับสนุนให้ป่าชุมชนเหล่านี้มีความเข้มแข็ง ผ่านการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ในส่วนนี้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพในป่า พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว และหาช่องทางการเข้าถึงแหล่งเงินทุน รวมถึงการใช้เทคโนโลยี AI ตรวจจับความสมบูรณ์ของป่าซึ่งสัมพันธ์กับการกักเก็บคาร์บอน จากการสำรวจพบพืชที่มีคุณค่าทางยา เช่น ฟ้าทะลายโจร และสัตว์ป่าเริ่มกลับคืนมา SCG ยังจัดกิจกรรมให้เยาวชนมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ป่า (เยาวชนรักป่า) เพื่อสร้างความตระหนักและความรักในธรรมชาติ
สร้างสมดุลเพื่อความหลากหลายทางชีวภาพ
บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป ดำเนินธุรกิจภายใต้ปรัชญา “พลังงานเพื่อชีวิต” โดยให้ความสำคัญกับการสร้างสมดุลระหว่างการผลิตพลังงานกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมและความหลากหลายทางชีวภาพ ทั้งในพื้นที่ปฏิบัติการและผ่านการอนุรักษ์ป่าต้นน้ำอย่างต่อเนื่อง
พินท์สุดา เปี่ยมปิติ Vice President – Corporate Affair Corporate Communication Division จากบริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป กล่าวว่า เอ็กโกในฐานะผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่รายแรกของไทยที่มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจควบคู่กับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม รวมถึงความหลากหลายทางชีวภาพภายใต้พันธกิจ “พลังงานเพื่อชีวิต” (Energy for Life) ซึ่งครอบคลุมทั้งชีวิตคน สังคม และสิ่งแวดล้อม ได้ตั้งเป้าหมาย Net Zero ในปี 2050 ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2040 และภายในปี 2030 จะลดความเข้มข้นการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Intensity) ลง 10% พร้อมเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเป็น 30% ของพอร์ตธุรกิจ
เอ็กโกดำเนินงานภายใต้ความเชื่อว่าต้นทางที่ดีจะก่อกำเนิดผลลัพธ์ปลายทางที่ดี จึงมุ่งลดผลกระทบเชิงลบให้มากที่สุดและเพิ่มผลกระทบเชิงบวก โดยมีกรอบการดำเนินงาน 3 ด้านคือ การดูแลในระดับปฏิบัติการและพัฒนาชุมชนรอบพื้นที่ การเผยแพร่องค์ความรู้ด้านพลังงานฝั่งอุปสงค์ (Demand Side) เพื่อสร้างความตระหนักรู้ และการปกป้องและรักษาพื้นที่อุดมสมบูรณ์ เอ็กโกได้กำหนดเป้าหมายด้านความหลากหลายทางชีวภาพโดยเฉพาะ คือการบรรลุ No Net Loss และมุ่งสู่ Net Positive Gain รวมถึงการไม่เข้าไปสร้างผลกระทบในพื้นที่อนุรักษ์หรือพื้นที่อ่อนไหว และมีเป้าหมายการฟื้นฟูและชดเชยผลกระทบต่อพื้นที่ป่า
แนวทางการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรมประกอบด้วย ประการแรก การบริหารจัดการภายใน โดยจัดทำระบบการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม (ESMS) พร้อมคู่มือเพื่อให้ทุกกิจการในกลุ่มนำไปปฏิบัติ และสำรวจความเสี่ยงในพื้นที่ปฏิบัติการ 14 แห่งที่เป็น Own Operation ก่อน เพื่อวางแผนจัดการตามลำดับขั้นการลดผลกระทบซึ่งนำมาปรับใช้ตลอดวงจรชีวิตของโครงการ ประการต่อมาคือโครงการริเริ่มต่าง ๆ เช่น โครงการลดการใช้ทรัพยากรภายในโรงไฟฟ้า การจัดการขยะเพื่อสร้างความตระหนักรู้ในหมู่พนักงาน ศูนย์การเรียนรู้โรงไฟฟ้าขนอม ซึ่งปรับปรุงโรงไฟฟ้าเก่า (โรงไฟฟ้าเรือลอยน้ำ) ให้เป็นพิพิธภัณฑ์มีชีวิตที่ให้ความรู้เรื่องพลังงาน การอยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อม และความผูกพันกับชุมชน
นอกจากนี้ ยังร่วมกับเครือข่ายการศึกษาจัดนิทรรศการเคลื่อนที่เพื่อขยายผล เอ็กโกยังให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์พื้นที่สีเขียว ทั้งพื้นที่ใกล้โรงไฟฟ้า โดยมีการศึกษาและสร้างการมีส่วนร่วมของพนักงานทุกระดับ และการส่งเสริม Smart Farming เพื่อลดการใช้สารเคมีในภาคเกษตร อีกทั้งยังมีมูลนิธิไทยรักษ์ป่า ซึ่งก่อตั้งมากว่า 20 ปี เพื่อดูแลพื้นที่ป่าต้นน้ำสำคัญของประเทศ 3 แห่ง (เชียงใหม่ ชัยภูมิ นครศรีธรรมราช) โดยมีการจัดค่ายเยาวชนเอ็กโกไทยรักษ์ป่าต่อเนื่องเกือบ 30 ปี พัฒนาเส้นทางศึกษาธรรมชาติ 9 เส้นทาง และล่าสุดได้จัดทำหนังสือภาพถ่ายทอดความอุดมสมบูรณ์ของป่าต้นน้ำ และท้ายสุดคือการสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดียในทุกช่องทางของเอ็กโก้กรุ๊ป มูลนิธิไทยรักษ์ป่า และศูนย์อนุรักษ์ไฟฟ้าขนอมเพื่อใช้เป็นพื้นที่สร้างความตระหนักรู้และชวนมีส่วนร่วม
“ทะเลเพื่อชีวิต” พิทักษ์ระบบนิเวศทางทะเล
บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. จึงให้ความสำคัญกับการพิทักษ์ระบบนิเวศทางทะเลผ่านกลยุทธ์ “ทะเลเพื่อชีวิต” ซึ่งครอบคลุมการปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ การวิจัย และการมีส่วนร่วมของชุมชนชายฝั่ง
สุศมา ปิตากุลดิลก ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานความยั่งยืนและบริหารผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ซึ่งครบรอบ 40 ปีในปีนี้ กล่าวว่า ภารกิจหลักคือการสร้างความมั่นคงด้านปิโตรเลียม โดยดำเนินงานในกว่า 10 ประเทศ ปตท.สผ. ยึดกรอบแนวคิดความยั่งยืน HPO (High Performance Organization), GRC (Governance, Risk Management and Compliance) และ SVC (Sustainable Value Creation) หรือ “คนเก่ง คนดี และมีความรับผิดชอบ” เพื่อตอบสนองความต้องการของประเทศและชุมชน ควบคู่กับการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม
พันธสัญญาด้านความหลากหลายทางชีวภาพของปตท.สผ. ประกอบด้วยการไม่มีการดำเนินงานในพื้นที่มรดกโลก (World Heritage) ตามนิยามของ UNESCO การไม่มีการตัดต้นไม้ในพื้นที่ป่าสำหรับกิจกรรมสำรวจและผลิตตั้งแต่ปี 2021 และการมุ่งสู่ผลกระทบเชิงบวกสุทธิ (Net Positive Impact) สำหรับโครงการในทะเลทั้งหมด โดยวัดจากมูลค่าความหลากหลายทางชีวภาพและบริการจากระบบนิเวศ (Biodiversity Ecosystem Services Value) โดยตั้งเป้าสำหรับประเทศไทยภายในปี 2025 และสำหรับโครงการนอกประเทศทั้งหมดภายในปี 2030 นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการปลูกป่า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 (ควบคู่ไปกับการลดการปล่อยก๊าซจากการดำเนินงานและการทำ CCS) โดยปตท.สผ. ตั้งเป้าปลูกและดูแลฟื้นฟูป่า 200,000 ไร่ ภายในปี 2030 (ร่วมกับกลุ่ม ปตท.) ซึ่งได้ร่วมมือกับ 3 กรม (ทช. กรมป่าไม้ กรมอุทยานฯ) และมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ปัจจุบันคาดว่าจะได้ประมาณ 156,000 ไร่ ในปี 2025 และยังคงเผชิญความท้าทายในการวัดผลความหลากหลายทางชีวภาพ
กลยุทธ์หลัก “ทะเลเพื่อชีวิต” (Ocean for Life) ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปี 2020 มีเป้าหมายเพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกสุทธิฯ เพิ่มรายได้ชุมชนชายฝั่งทะเล 17 จังหวัดรอบอ่าวไทยมากกว่า 50% สร้างเครือข่ายอนุรักษ์มากกว่า 16,000 ครัวเรือน และใช้จุดแข็งด้านที่ตั้งของแท่นปฏิบัติการเป็นสถานีเก็บข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ทางทะเล (สมุทรศาสตร์และอุทกศาสตร์) ร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทช. และสสน. ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของไทย แนวทางสำคัญยังรวมถึงการดำเนินงานที่สะอาดและเป็นมิตร (Clean and Friendly Operation) การติดตามสุขภาพมหาสมุทร และการศึกษาวิจัย Blue Carbon Solution (ป่าชายเลน หญ้าทะเล ปะการัง)
โครงการที่ดำเนินการแล้ว เช่น การปลูกป่าชายเลนประมาณ 4,000 ไร่ การปล่อยลูกปูมากกว่า 31,000 ล้านตัว การสร้างบ้านปลาเกือบ 30 แห่ง และศูนย์เรียนรู้อนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้ำมากกว่า 10 แห่ง ในส่วนของการพัฒนาชุมชน มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารทะเลของชุมชนและจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ทำให้ชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้นเกือบ 30,000 บาท และมีผลิตภัณฑ์ที่ได้รับอย. แล้ว 14 รายการ สำหรับ PTTEP Ocean Data Platform ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเปิดให้สาธารณชนเข้าถึงข้อมูล มีผู้เข้าชมแล้วประมาณ 150,000 ครั้ง และโครงการ PTTEP Teenergy ที่ส่งเสริมนวัตกรรมเยาวชนด้าน Ocean for Life มากว่า 10 ปี รวมถึงการสร้างศูนย์เรียนรู้จากเรือรบหลวงปลดระวางที่ชุมพรและสุราษฎร์ธานี ซึ่งพบว่ามีชนิดพันธุ์สัตว์น้ำเพิ่มขึ้นจาก 40 เป็น 65 ชนิด
สร้างคุณค่าร่วมผ่านห่วงโซ่อาหารที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
สำหรับภาคธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มอย่าง บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด ความหลากหลายทางชีวภาพถือเป็นหัวใจสำคัญของห่วงโซ่อุปทาน บริษัทจึงมุ่งเน้นการสร้างคุณค่าร่วมผ่านการจัดหาวัตถุดิบอย่างยั่งยืน ควบคู่ไปกับการดูแลคุณภาพชีวิตของเกษตรกรและสิ่งแวดล้อม
สมิชฌน์ เพ็ชร์ดี ผู้จัดการฝ่ายส่งเสริมความยั่งยืน บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด เน้นย้ำว่าภาคธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มได้รับผลกระทบโดยตรงจากความหลากหลายทางชีวภาพที่ลดลง เนื่องจากกระทบต่อวัตถุดิบและห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด การดำเนินการด้านนี้จึงสำคัญต่อเสถียรภาพของอุปทาน ความสามารถในการแข่งขัน เช่น การปฏิบัติตามกฎระเบียบของ EU และความคาดหวังของลูกค้าและคู่ค้า อายิโนะโมะโต๊ะดำเนินธุรกิจภายใต้กรอบการสร้างคุณค่าร่วม (Ajinomoto Group Creating Shared Value – ASV) ที่สร้างสมดุลระหว่างคุณค่าทางเศรษฐกิจและคุณค่าทางสังคม โดยมีเป้าหมายระดับโลกลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม 50% ภายในปี 2030 และเพิ่มสุขภาพที่ดีของผู้คน ผ่านผลิตภัณฑ์อะมิโนแอซิดและโภชนาการต่าง ๆ นอกเหนือจากเครื่องปรุงรส
แนวทางการดำเนินงานของอายิโนะโมะโต๊ะ ประเทศไทยรวมถึงการจัดซื้อจัดจ้างอย่างยั่งยืน เช่น การตรวจสอบแหล่งที่มาของเนื้อหมูและกำลังจะทำกับเนื้อวัว โดยต้องมั่นใจว่าอาหารสัตว์ เช่น ข้าวโพด ไม่ได้มาจากพื้นที่บุกรุกป่าควบคู่ไปกับเป้าหมาย Net Zero โดยบริษัทได้ลดคาร์บอนได้ 92% ในปีที่แล้ว และตั้งเป้าเป็น Carbon Neutrality ในปีนี้ บริษัทยังมีแนวทางปฏิบัติด้านความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity Guideline) ประมาณ 10-11 ข้อ โดยข้อที่ 11 เน้นการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะการทำงานกับเกษตรกรที่อาจให้ความสำคัญกับรายได้ระยะสั้นมากกว่า
โครงการสำคัญคือ Thai Farmer Better Life Partner ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรเป็นตัวชี้วัดหลัก ไม่ใช่แค่ผลผลิตหรือการลดต้นทุน ดำเนินการกับเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังและกาแฟ โดยสร้าง “Ajinomoto Biocycle” ที่นำผลพลอยได้จากโรงงานไปให้เกษตรกรใช้ปรับปรุงดิน แล้วรับซื้อผลผลิตกลับคืน มีการจัดตั้ง One-Stop Service และ Farm School ร่วมกับกรมวิชาการเกษตรเพื่อให้ความรู้แก่เกษตรกร และตระหนักถึงความท้าทายที่เกษตรกรอาจมีผลผลิตลดลงในช่วง 5 ปีแรกของการปรับเปลี่ยนสู่วิถียั่งยืน นอกจากนี้ ยังเผชิญกับปัญหาการจัดหาเมล็ดกาแฟ เนื่องจากผลผลิตกาแฟในไทย โดยเฉพาะภาคเหนือ ลดลงมากจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้ต้องนำเข้า และมีการดำเนินงานด้านการปลูกป่าโดยร่วมมือกับกรมป่าไม้ในการเลือกชนิดพืชที่เหมาะสมกับพื้นที่
สมิชฌน์เสนอแนะให้ธุรกิจต่าง ๆ ลองนำเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพไปผสมผสานกับเป้าหมายองค์กร นำ Nature-Based Solution มาปรับใช้กับโมเดลธุรกิจ สร้างความร่วมมือ และที่สำคัญคือการสื่อสารให้สังคมเห็นความสำคัญของเรื่องนี้ เพราะแม้ผลกระทบอาจไม่ชัดเจนในระยะสั้น แต่เป็นเรื่องที่รอไม่ได้
ทิศทางความร่วมมือ
ประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาอภิปรายถึงบทบาทของผู้นำอุตสาหกรรมในการช่วยขับเคลื่อนองค์กรอื่น ๆ คือ การแบ่งปันความรู้ ประสบการณ์ และเครื่องมือต่าง ๆ ผ่านแพลตฟอร์มที่มีอยู่ เช่น TBCSD, BEDO, TEI รวมถึงการสร้างเครือข่ายและความร่วมมือระหว่างกันเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ดร.อรทัย ได้ยกตัวอย่างโครงการ PPP Plastics ที่ TBCSD ร่วมขับเคลื่อนเพื่อลดปัญหาขยะพลาสติกซึ่งเชื่อมโยงกับความหลากหลายทางชีวภาพ เริ่มต้นจากเรื่องใกล้ตัว
หนึ่งในบทสรุปสำคัญที่ตกผลึกจากแนวคิดเหล่านี้คือกรอบการดำเนินงาน “5P” เพื่อเป็นแนวทางให้ภาคธุรกิจนำไปปรับใช้ ซึ่งประกอบด้วย Plan คือการวางแผนที่ดี, People การให้ความสำคัญกับคน ทั้งพนักงานและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย, Planet การคำนึงถึงผลกระทบต่อโลกและสิ่งแวดล้อม, Partnership การสร้างพันธมิตรและความร่วมมือ และ Profit การสร้างผลกำไรที่ควบคู่ไปกับความรับผิดชอบและการสร้างคุณค่าที่ยั่งยืน ขณะเดียวกัน โครงการ “Finance for Biodiversity” ที่ดำเนินการโดย French Development Agency (AFD) ร่วมกับ ปตท.สผ. และ BEDO ก็เป็นอีกหนึ่งกลไกที่เข้ามาช่วยสนับสนุนด้านการเงินสำหรับธุรกิจที่ต้องการเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นมิตรต่อธรรมชาติ
ภาพรวมการขับเคลื่อนนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความก้าวหน้าของภาคธุรกิจไทยในการบูรณาการความหลากหลายทางชีวภาพเข้ากับการดำเนินงาน สร้างความหวังว่าด้วยความร่วมมือและการลงมือทำอย่างจริงจัง ประเทศไทยจะสามารถก้าวไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนได้อย่างแท้จริง โดยมีภาคเอกชนเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อน
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
TBCSD – TEI – BEDO ผนึกกำลังภาคธุรกิจ สร้างเครือข่าย Biodiversity เพื่อโลกยั่งยืน
คนรุ่นใหม่ไทยนิยมใช้ GenAI ทำงาน ลดความซ้ำซ้อน เพิ่มเวลาจัดสมดุลชีวิต
TBCSD – TEI – BEDO ผนึกกำลังภาคธุรกิจ สร้างเครือข่าย Biodiversity เพื่อโลกยั่งยืน