การสร้างธุรกิจให้ยั่งยืนในปัจจุบันไม่ได้วัดเพียงอายุขัยที่ยาวนาน แต่คือการสร้างผลกระทบเชิงบวกที่สะท้อนกลับมายังผลประกอบการ คุณภาพชีวิตของพนักงาน และคุณค่าต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม บทความนี้จะพาไปเจาะลึกเรื่องราวและกลยุทธ์จาก 3 ผู้ประกอบการ SME ชั้นนำของไทย: เปรมจิต นวลฉวี วู แห่ง บจก.เอชแอลเอ็ม คอร์ปอเรท ผู้ปฏิวัติวงการบรรจุภัณฑ์ด้วยเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม; อลิสรา ศิวยาธร จากโรงแรมศิวาเทล กรุงเทพฯ ที่สร้างประสบการณ์บริการเหนือระดับควบคู่กับการเกื้อกูลชุมชนและโลก และ สุภชัย ปิติวุฒิ ผู้ก่อตั้งเครือข่ายชาวนาวันหยุด ที่พลิกฟื้นภาคเกษตรกรรมด้วยนวัตกรรมและการมีส่วนร่วมของคนรุ่นใหม่ พวกเขาเผชิญความท้าทายอย่างไร และสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนได้อย่างไร ค้นหาคำตอบได้จากเรื่องราวของพวกเขา
HLM Corporate กับบรรจุภัณฑ์แห่งอนาคต ที่เริ่มต้นจากความ “เอ๊ะ”
เปรมจิต นวลฉวี วู CEO บจก.เอชแอลเอ็ม คอร์ปอเรท แบ่งปันว่า HLM ยังคงอยู่บนเส้นทางการพัฒนาและห่างไกลจากคำว่า “Success Story” แต่ตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา บริษัทมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจวัสดุและบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมายหลักคือการลดการใช้พลาสติก ด้วยพื้นฐานการเป็นวิศวกร เปรมจิตได้เห็นปัญหาขยะจากบรรจุภัณฑ์ที่สั่งสมทั้งในภาคอุตสาหกรรมและในครัวเรือนมาโดยตลอด สถิติยิ่งตอกย้ำความรุนแรงของปัญหา เมื่อพบว่าขยะพลาสติกราว 300 ล้านตันถูกผลิตขึ้นทั่วโลกในแต่ละปี แต่มีเพียง 10% เท่านั้นที่ถูกนำกลับมารีไซเคิลอย่างถูกวิธี ส่วนที่เหลือมหาศาลตกค้างอยู่ในระบบนิเวศ ทั้งในดิน แหล่งน้ำ ในอากาศ และปนเปื้อนในห่วงโซ่อาหาร ที่น่ากังวลคือ 40% ของขยะพลาสติกเหล่านี้มาจากบรรจุภัณฑ์ ซึ่งเป็นจุดที่ HLM ต้องการเข้าไปค้นหาวิธีการแก้ไข และสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างมีความหมาย
แนวทางการดำเนินงานของ HLM Corporate เพื่อสร้างสรรค์บรรจุภัณฑ์แห่งอนาคตนั้นมีความโดดเด่นหลายประการ บริษัทไม่จำกัดตัวเองอยู่แค่เทคโนโลยีที่มีอยู่ภายในประเทศ แต่พยายามเสาะหาโซลูชันที่ดีที่สุดจากทั่วทุกมุมโลกเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่ HLM พัฒนาขึ้นสะท้อนแนวคิดนี้ได้เป็นอย่างดี เช่น แบรนด์ “ไบโอคอร์น” (BioKorn) ซึ่งเป็นไบโอเบสพอลิเมอร์ การเข้าไปพัฒนาผลิตภัณฑ์ร่วมกับชุมชนและนำบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจากฝีมือชุมชนไปสู่ตลาดโรงแรม นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาวัสดุขั้นสูง (Advance Material) ที่สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติทั้งบนบกและในทะเล รวมถึงนวัตกรรมเครื่องผลิตน้ำจากอากาศ ซึ่งช่วยลดการพึ่งพาขวดพลาสติกได้อย่างมีนัยสำคัญ และถือเป็นหนึ่งในโซลูชันสำหรับองค์กรที่มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero
เทคโนโลยีคือหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อน HLM เปรมจิตเน้นย้ำว่าบริษัทเชื่อมั่นว่าเทคโนโลยีสามารถสร้างคุณค่าเพิ่มให้แก่สินค้าและบริการได้อย่างมหาศาล ด้วยเหตุนี้ HLM จึงให้ความสำคัญกับการร่วมมือกับห้องปฏิบัติการและมหาวิทยาลัยชั้นนำใน 5 ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย จีน และล่าสุดได้เริ่มมีการพูดคุยกับสถาบันวิจัยในประเทศญี่ปุ่น โดยเฉพาะออสเตรเลียซึ่งมีความโดดเด่นด้านวัสดุและบรรจุภัณฑ์เนื่องจากลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่เป็นเกาะ ทำให้ต้องใส่ใจเรื่องการจัดการทรัพยากรเป็นพิเศษ HLM พยายามเชื่อมโยงองค์ความรู้และเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าเหล่านี้เข้ากับวัตถุดิบ (raw material) ที่มีความโดดเด่นและมีศักยภาพของประเทศไทย เพื่อพัฒนาเป็นวัสดุแห่งอนาคตที่สามารถตอบโจทย์เป้าหมาย Net Zero ของประเทศได้อย่างยั่งยืน
การปรับตัวให้เข้ากับเทรนด์ของโลกก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญ เปรมจิตเล่าว่าเมื่อ 8 ปีที่แล้ว มีโรงแรมน้อยมากที่ให้ความสนใจหรือสอบถามเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่ปัจจุบันภูมิทัศน์ทางธุรกิจได้เปลี่ยนแปลงไป กฎเกณฑ์ของโลกได้เปลี่ยนไปแล้ว ความยั่งยืนไม่ได้เป็นเพียงทางเลือกอีกต่อไป แต่กลายเป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกธุรกิจต้องให้ความสำคัญ นอกจากการมองหาเทคโนโลยีจากภายนอกแล้ว HLM ยังให้ความสำคัญกับการเรียนรู้และพัฒนาจากภายในองค์กร จากการเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานของบริษัทต่างชาติ HLM ได้รับกรอบการทำงานและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับ Green Change และ Transformation มาปรับใช้ บริษัทได้กลับมาทบทวนแผนธุรกิจอย่างละเอียด กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนขึ้น และพยายามตอบสนองความต้องการของลูกค้าในมิติของความยั่งยืนมากขึ้น โดยพบว่าบริษัทในต่างประเทศให้ความสำคัญกับมิติ “คน” และการมีส่วนร่วมกับชุมชนอย่างมาก HLM จึงได้นำองค์ความรู้จากหน่วยงานภาครัฐอย่างสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และโครงการ Top Green ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาประยุกต์ใช้เพื่อยกระดับทักษะของบุคลากรและจุดประกายไอเดียใหม่ ๆ ในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน
เพื่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกอย่างเป็นรูปธรรม HLM ได้ริเริ่มโครงการที่น่าสนใจ เช่น การเข้าไปแก้ไขปัญหา PM2.5 ที่เกิดจากการเผาในภาคเกษตร โดยเริ่มทำงานกับชุมชนในภาคเหนือ นำเทคโนโลยีและความรู้ความเชี่ยวชาญที่มีอยู่มาช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร พัฒนาให้เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่สามารถเข้าสู่ตลาดได้ เปรมจิตย้ำว่าความร่วมมือ (Collaboration) คือกุญแจสำคัญที่ทำให้โครงการต่าง ๆ สำเร็จลุล่วงได้ โครงการ Zero Wasting Initiative เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการทำงานร่วมกันหลายภาคส่วน โดย HLM รับผิดชอบในส่วนของการพัฒนาวัสดุด้วยเทคโนโลยี ขณะที่มีพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่าง Central Tham เข้ามาเป็นผู้รับซื้อ และมีบริษัทไบโอเทคโนโลยีจากประเทศญี่ปุ่นที่เข้ามาให้ความรู้แก่เกษตรกรในการทำการเกษตรมูลค่าสูง ล่าสุด HLM มีความภูมิใจที่ได้ผลิตถุงกระดาษที่ไม่ใช้ต้นไม้เป็นวัตถุดิบ (tree-free paper bag) ล็อตแรกจากโครงการนี้สำเร็จ
เปรมจิตได้ฝากข้อคิดสำคัญถึงผู้ประกอบการ SME ท่านอื่น ๆ ว่า การสร้างขีดความสามารถขององค์กรและบุคลากร (Capability building) การนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้อย่างชาญฉลาด และที่สำคัญที่สุดคือการสร้างความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ เป็นปัจจัยหลักที่จะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจให้ก้าวไปสู่ความยั่งยืนได้ และ HLM ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะร่วมมือกับทุกองค์กรเพื่อสร้างสรรค์ Supply Chain ใหม่ ๆ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมต่อไป
โรงแรมศิวาเทล กรุงเทพฯ กับ “Meaningful Stay” และการแบ่งปันอย่างยั่งยืน

อลิสรา ศิวยาธร CEO โรงแรมศิวาเทล กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นทายาทรุ่นที่ 3 ได้แบ่งปันเรื่องราวการเดินทางสู่ความยั่งยืนของโรงแรมศิวาเทล โรงแรมแห่งนี้ตั้งอยู่ใจกลางย่านเพลินจิต และมีความเป็น Green Hotel อยู่ใน Brand DNA มาตั้งแต่วันแรกที่ก่อตั้งเมื่อ 14 ปีที่แล้ว อลิสรากล่าวด้วยความเชื่อมั่นว่าธุรกิจโรงแรมสามารถเป็น Change Agent หรือผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้แก่สังคมและสิ่งแวดล้อมได้ โรงแรมศิวาเทลได้น้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาเป็นแสงนำทางในการดำเนินธุรกิจ ทำให้เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าความยั่งยืนคือการทำธุรกิจอย่างมีสมดุล สามารถสร้างผลกำไรเพื่อนำไปเกื้อกูลชุมชน และในขณะเดียวกันก็มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม
วิสัยทัศน์ของโรงแรมศิวาเทล กรุงเทพฯ นั้นกว้างไกลกว่าการเป็นเพียงที่พักอาศัย โรงแรมมองตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนเมือง และต้องการร่วมสร้างสังคมชุมชนที่มีการกินอยู่แบบเกื้อกูลและยั่งยืน โดยมุ่งหวังที่จะเติบโตไปพร้อมกับเกษตรกรคนตัวเล็ก และมีบทบาทในการอนุรักษ์ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง แนวทางการดำเนินงานของโรงแรมศิวาเทลตั้งอยู่บนหลักการ 3Ps คือ Profit (ผลกำไร), People (ผู้คน), และ Planet (โลก) ในมิติของ Profit และ Product โรงแรมศิวาเทลมีห้องพักจำนวน 75 ห้อง พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันตามมาตรฐานโรงแรมระดับ 5 ดาว แต่สิ่งที่ศิวาเทลให้ความสำคัญและสร้างความแตกต่างคือการนำเสนอประสบการณ์ “Meaningful Stay” ที่สร้าง “Good Moment, We Cool Movement” ให้กับลูกค้า โลก และสังคม โดยเน้นย้ำเรื่องอาหารปลอดสารพิษ ปลอดภัย เพื่อสุขภาพที่ดีของลูกค้า ซึ่งวัตถุดิบส่วนใหญ่มาจากเกษตรกรและชุมชนทั่วประเทศ
ในมิติของ People Development โรงแรมศิวาเทลใช้แนวคิด “Happy Hotel Happy Workplace” เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความสุขและพัฒนาศักยภาพของพนักงาน มีการให้ความรู้ พาพนักงานไปสัมผัสธรรมชาติ เช่น การเยี่ยมชมโครงการจุฬา Zero Waste หรือสวนต้นไม้กินได้ของอาจารย์อุษา เรียนรู้กระบวนการกำจัดขยะอาหารด้วยหนอนแมลงวันลาย (Black Soldier Fly Larvae) จัดทำโครงการธนาคารขยะทองคำ และที่สำคัญคือการพาพนักงานลงพื้นที่ไปดูงานฟาร์มเกษตรกรกว่า 5-6 แห่ง เพื่อให้พวกเขาได้เข้าใจถึงความท้าทายและความยากลำบากของเกษตรกรในการผลิตอาหารปลอดสาร
ปัจจุบันโรงแรมทำงานร่วมกับเกษตรกรและชุมชนเกือบ 70 แห่งทั่วประเทศ โดย 70% ของวัตถุดิบที่ใช้ในโรงแรมเป็นวัตถุดิบปลอดสารพิษและปลอดภัยที่มาจากเกษตรกรคนตัวเล็ก เช่น อำนาจ จากแทนคุณออร์แกนิกฟาร์ม, สุโขทัย จากจินฟาร์มหมูหลุม และอร จากมะพร้าวน้ำหอมอโรมาติกฟาร์มซึ่งเคยได้รับรางวัลระดับโลก เกษตรกรเหล่านี้ไม่เพียงแต่ไม่ใช้สารเคมีในการเพาะปลูก แต่ยังเป็นผู้ที่ช่วยฟื้นฟูผืนดิน ผืนน้ำ และความหลากหลายทางชีวภาพ
นอกจากนี้ ศิวาเทลยังจัดกิจกรรม “Sivatel Sustainable Market” ซึ่งจัดต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 3 เพื่อเป็นพื้นที่เชื่อมโยงผู้ผลิตและผู้บริโภคเข้าด้วยกัน และยังได้ร่วมมือกับ “Folk Charm” แบรนด์ที่ทำงานกับชุมชน นำผ้าทอไทยจากฝีมือคุณย่าคุณยายกว่า 30 ชุมชนในจังหวัดเลย มาตัดเย็บเป็นยูนิฟอร์มของพนักงาน ซึ่งเป็นการสร้าง Story Telling ที่ทรงคุณค่าให้กับลูกค้า
สำหรับมิติ Planet หรือสิ่งแวดล้อม โรงแรมศิวาเทลได้ดำเนินการอย่างจริงจังในหลายด้าน เริ่มตั้งแต่การออกแบบอาคารให้ประหยัดพลังงาน ใช้ระบบปรับอากาศที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสามารถแบ่งโซนการเปิดปิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ใช้หลอดไฟ LED และออกแบบอาคารให้มีกระจกบานใหญ่เต็มบานเพื่อรับแสงธรรมชาติให้ได้มากที่สุด มีการติดตั้ง Cooling System ที่ช่วยลดการใช้พลังงานของโรงแรมไปได้ถึง 30% และเปลี่ยนสุขภัณฑ์ทั้งหมดให้เป็นแบบประหยัดน้ำ ซึ่งช่วยลดการใช้น้ำได้อีก 30% เช่นกัน โรงแรมได้ยกเลิกการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งทั้งหมด และที่น่าภาคภูมิใจคือการบรรลุเป้าหมาย Zero Food Waste to Landfill หรือการไม่ส่งขยะอาหารออกไปสู่บ่อฝังกลบเลย ได้สำเร็จเมื่อสิ้นปี 2023 โดยนำขยะอาหารทั้งหมดมาเลี้ยงหนอนแมลงวันลาย และส่งหนอนเหล่านั้นกลับไปเป็นโปรตีนเสริมให้กับไก่ที่แทนคุณออร์แกนิกฟาร์มของอำนาจ ตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา ศิวาเทลสามารถลดปริมาณขยะโดยรวมได้ถึง 59% และกำลังตั้งเป้าหมายที่ท้าทายยิ่งขึ้นคือการเป็น Zero Waste to Landfill Hotel หรือโรงแรมที่ไม่สร้างขยะไปสู่บ่อฝังกลบเลยภายในสิ้นปีนี้
ความมุ่งมั่นเหล่านี้ทำให้ศิวาเทลได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยได้รับรางวัล Gold Award จาก PATA (Pacific Asia Travel Association) ถึง 2 ปีซ้อน และรางวัลจาก International Center for Responsible Tourism ทำให้โมเดลการทำงานของศิวาเทลได้รับการเผยแผ่และเป็นแบบอย่างในระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การทำงานทั้งหมดนี้สอดคล้องกับ 17 เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ขององค์การสหประชาชาติ ซึ่งครอบคลุมทั้งมิติสิ่งแวดล้อม มิติของผู้คน ทั้งเรื่องสุขภาพที่ดี ความเท่าเทียม สวัสดิการที่เป็นธรรม และการค้าที่เป็นธรรม อลิสราได้ทิ้งท้ายด้วยข้อคิดที่ว่า ความยั่งยืนไม่ใช่เรื่องใหม่หรือเรื่องไกลตัว แต่คือการกลับไปสู่วิถีชีวิตแบบไทยดั้งเดิมที่เราเคารพธรรมชาติ เกื้อกูลซึ่งกันและกันในชุมชนสังคม และร่วมกันฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม “ถ้าใครไม่รักรักไทย แล้วใครจะรักเรา” เป็นคำกล่าวที่สะท้อนความเชื่อมั่นว่าความยั่งยืนคือคำตอบที่จะนำพาพวกเราให้รอดพ้นจากสถานการณ์วิกฤติต่าง ๆ ไปด้วยกัน
เครือข่ายชาวนาวันหยุด กับการปฏิวัติการทำนาด้วยข้อมูลและคนรุ่นใหม่

สุภชัย ปิติวุฒิ ผู้ก่อตั้งเครือข่ายชาวนาวันหยุด ได้ฉายภาพให้เห็นถึงความท้าทายของภาคเกษตรกรรมไทยในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นผลผลิตข้าวต่อไร่ที่ยังอยู่ในระดับเฉลี่ย 471 กิโลกรัมต่อไร่ จากพื้นที่เพาะปลูกทั่วประเทศประมาณ 70 ล้านไร่ โดยครึ่งหนึ่งของพื้นที่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งมีพื้นที่ชลประทานเพียง 15% ส่วนอีกครึ่งหนึ่งอยู่ในภาคกลางและภาคเหนือซึ่งมีพื้นที่ชลประทานประมาณ 46% ขณะที่ผลผลิตข้าวนาปรังอยู่ที่ประมาณ 655 กิโลกรัมต่อไร่ ปัญหาสำคัญอีกประการคือโครงสร้างอายุของแรงงานภาคเกษตร ซึ่งมีจำนวนประมาณ 12 ล้านคนใน 5 ล้านครัวเรือน กว่า 50% ของแรงงานเหล่านี้มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ทำให้การสร้างคนรุ่นใหม่ขึ้นมาทดแทนและพัฒนาภาคเกษตรให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงและนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาปรับใช้เป็นเรื่องที่ยากยิ่ง
จุดเริ่มต้นของเครือข่ายชาวนาวันหยุดมาจากคำถามสำคัญที่ว่า จะทำอย่างไรจึงจะสามารถเพิ่มผลผลิตข้าวต่อไร่ และดึงดูดคนรุ่นใหม่ให้กลับมามีส่วนร่วมในการพัฒนาภาคเกษตรได้ เพราะสุภชัยเชื่อว่าปัญหาของชาวนาต้องแก้ด้วย “คนในครอบครัว” นั่นคือคนรุ่นลูก ดังนั้นจึงจำเป็นต้องหาโซลูชันที่ทำให้การทำนาง่ายขึ้น สะดวกสบายขึ้น และให้ผลตอบแทนในการประกอบอาชีพที่ดีขึ้น สุภชัย ซึ่งสำเร็จการศึกษาทางด้านเศรษฐศาสตร์ ได้เริ่มต้นจากการค้นคว้างานวิจัยต่าง ๆ จนกระทั่งไปพบเปเปอร์ของ Cornell University ที่พูดถึงเรื่อง System of Rice Intensification (SRI) หรือการปลูกข้าวแบบเข้มข้น และงานวิจัยของ IRRI (International Rice Research Institute) ที่เกี่ยวข้องกับ Alternate Wetting and Drying (AWD) หรือการทำนาแบบเปียกสลับแห้ง ซึ่งมีหลักการคือ 3 วันเปียก 7 วันแห้ง และเป็นแนวคิดที่สอดคล้องกับการคาดการณ์เรื่องการขาดแคลนน้ำในอนาคต
เมื่อประมาณ 15 ปีที่แล้ว สุภชัยพยายามนำเสนอแนวคิดนี้แก่ชาวนาในพื้นที่ แต่ก็ได้รับการตอบรับที่ไม่ดีนัก ชาวนามองว่าเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้จริง เขาจึงตัดสินใจขอแบ่งพื้นที่นาจำนวน 5 ไร่จากชาวนามาทดลองด้วยตนเอง โดยรับผิดชอบต้นทุนทั้งหมดและจะแบ่งผลกำไรให้หากได้ผลผลิตที่ดี ปรากฏว่าผลผลิตข้าวจากการทดลองเพิ่มขึ้นจริงและใช้น้ำในการเพาะปลูกน้อยลง จากความสำเร็จในแปลงทดลองเล็ก ๆ สุภชัยเริ่มเก็บข้อมูล บันทึกภาพถ่ายและวิดีโอ ทำเป็นเรื่องราว เขียนบล็อก และไดอารี่ส่วนตัว ควบคู่ไปกับการใช้สื่อสังคมออนไลน์เป็นช่องทางในการสื่อสารและเผยแพร่องค์ความรู้ จากนั้นจึงค่อย ๆ ขยายผลด้วยการนำความรู้ที่ได้ไปแลกเปลี่ยนกับชาวนากลุ่มอื่น ๆ จนเกิดเป็นเครือข่ายชาวนามืออาชีพขึ้น โดยกลุ่มแรก ๆ ที่เครือข่ายเข้าไปทำงานด้วยคือกลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อระบบการผลิตข้าวทั้งหมด
แม้ว่าเทคนิค AWD จะมีเสียงสะท้อนจากชาวนาในเรื่องความกังวลเกี่ยวกับการควบคุมวัชพืช ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนระหว่างการควบคุมหญ้ากับปริมาณผลผลิต แต่เมื่อชาวนาได้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม ก็เริ่มเกิดกลุ่ม “แฟนคลับ” หรือผู้ที่ให้ความสนใจและนำไปปฏิบัติตาม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกหลานเกษตรกรที่เดิมทีพ่อแม่อาจจะเคยบอกให้ “ตั้งใจเรียนแล้วไปเป็นเจ้าคนนายคน” เพื่อหนีความยากลำบากจากอาชีพเกษตรกรรม เพื่อให้เกิดการเรียนรู้และเห็นภาพจริง เครือข่ายได้จัดกิจกรรม “ชาวนาวันหยุดสัญจร” ซึ่งเป็นการลงพื้นที่เพื่อให้กำลังใจเกษตรกรที่นำแนวทางนี้ไปปฏิบัติ และพาผู้ที่สนใจไปดูแปลงนาที่ใช้วิธีเปียกสลับแห้ง แม้ในบางช่วงที่แปลงนาแห้งแตกระแหงแต่ต้นข้าวก็ยังสามารถเจริญงอกงามได้ดี ซึ่งภาพเหล่านี้ขัดแย้งกับความเชื่อดั้งเดิมของชาวนาอย่างสิ้นเชิง กิจกรรมนี้ช่วยสร้างการบอกต่อและกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ภายในชุมชนได้เป็นอย่างดี
ความพยายามของเครือข่ายชาวนาวันหยุดเริ่มได้รับการยอมรับในวงกว้างมากขึ้น เมื่อสุภชัยได้มีโอกาสนำเสนอผลงานในเวทีระดับนานาชาติอย่าง INWEPF (International Network for Water and Ecosystems in Paddy Fields) ซึ่งกรมชลประทานของไทยก็มีโจทย์และความสนใจในเรื่องเดียวกัน จึงได้เกิดการต่อยอดงานวิจัยร่วมกับวิทยาลัยการชลประทาน ผลการวิจัยยืนยันว่าเทคนิค AWD สามารถช่วยลดการใช้น้ำในการทำนาได้ถึง 25-40% โดยที่ผลผลิตข้าวไม่ลดลง และในหลายกรณียังสามารถเพิ่มผลผลิตได้สูงถึง 20%
เพื่อดึงดูดคนรุ่นใหม่ให้เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น เครือข่ายได้สร้างแนวคิด “ชาวนาวันหยุด” ขึ้นมา ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่ที่ทำงานประจำในสาขาอาชีพต่าง ๆ เช่น มนุษย์เงินเดือน วิศวกร หรือโปรแกรมเมอร์ ใช้เวลาว่างในช่วงวันเสาร์-อาทิตย์กลับไปช่วยพ่อแม่ทำนา พร้อมทั้งนำองค์ความรู้ใหม่ ๆ ที่ได้เรียนรู้มาไปปรับใช้ และที่สำคัญคือการลงมือทำจริง ไม่ใช่เป็นเพียง “ผู้สั่งการ” หรือ “ลงแต่ปาก” กระบวนการนี้ได้สร้างให้เกิดการท้าทายทางความคิดระหว่างคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่ และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น หนึ่งในสัญลักษณ์ที่น่าสนใจของเครือข่ายคือ “พร็อพสำหรับสื่อสาร” ซึ่งเป็นท่อ PVC สีฟ้าเจาะรูสำหรับใช้ในการวัดระดับน้ำในแปลงนา ซึ่งกลายเป็นที่รู้จักและช่วยเปลี่ยนภาพลักษณ์ของเกษตรกรจากแบบเดิม ๆ ให้ดูทันสมัยและเข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้ง่ายขึ้น
ความสำเร็จของเครือข่ายชาวนาวันหยุดไม่ได้เป็นเพียงแนวคิด แต่ได้เกิดเป็นตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมมากมาย เช่น โปรแกรมเมอร์ที่นำความรู้ไปปรับใช้กับการทำนาของครอบครัวจนสามารถสร้างรายได้เพิ่มและมีเงินซื้อที่ดินเพิ่มได้ กลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์สามารถขยายพื้นที่การผลิตได้เป็น 1,500 ไร่ และที่น่าสนใจคือการร่วมมือกับกลุ่มโรงสีสนั่นเมือง ซึ่งเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ ที่ได้เข้ามาร่วมคิด ร่วมทำ และร่วมลงทุนกับเกษตรกร มีการสนับสนุนปัจจัยการผลิต และมีทีมงานเข้าไปตรวจติดตามแปลงอย่างใกล้ชิด เพื่อช่วยลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตต่อไร่ ปัจจุบันกลุ่มนี้มีพื้นที่เพาะปลูกรวมกันถึง 6,000 ไร่ และยังได้รับการสนับสนุนจากบริษัทสยามคูโบต้า ในการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเสริมประสิทธิภาพการผลิตอีกด้วย
ปัจจุบัน เครือข่ายชาวนาวันหยุดกำลังมุ่งเน้นไปที่การทำ “ข้าวคาร์บอนต่ำ” ในพื้นที่ 700 ไร่ ซึ่งดำเนินโครงการมาเป็นปีที่ 5 แล้ว ภายใต้กลไก JCM (Joint Crediting Mechanism) โดยร่วมมือกับองค์กรชั้นนำหลายแห่ง เช่น JGSEE, สถาบันบัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (JGSEE KMUTT), บริษัท คลีทูรา (Creattura) จากประเทศญี่ปุ่น, โรงสีสนั่นเมือง, คูโบต้ากำแพงเพชร ฮั้วเฮงหลี และเครือข่ายชาวนาในจังหวัดกำแพงเพชร โครงการนี้สามารถช่วยเพิ่มผลผลิตให้กับเกษตรกรได้ถึง 20%
นอกจากนี้ เครือข่ายยังได้นำเสนอแนวทางการทำเกษตรแบบฟื้นฟู หรือ Regenerative Farming ด้วยสูตร “1 ปี เตรียมแปลง 1 ครั้ง แต่สามารถเก็บเกี่ยวได้ 3 รอบ” โดยใช้หลักการปลูกพืชหมุนเวียน หรือ Crop Rotation เริ่มจากการปักดำข้าวในช่วงเดือนเมษายนและเก็บเกี่ยวในเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม จากนั้นจึงทำข้าวตอซัง ซึ่งไม่ต้องสูบน้ำ ไม่ต้องไถ ไม่ต้องปักดำ หรือเตรียมแปลงใหม่ เพียงแค่บำรุงตอเดิมก็สามารถให้ผลผลิตได้ 600-800 กิโลกรัมต่อไร่ คิดเป็นกำไรประมาณไร่ละ 2,200 บาท และหลังจากเก็บเกี่ยวข้าวตอซังแล้ว ในช่วงเดือนธันวาคมก็สามารถปลูกถั่วเหลืองหลังนาได้โดยไม่ต้องเตรียมแปลงเช่นกัน เพียงแค่หว่านเมล็ดลงในตอซังและดูแลเรื่องการให้น้ำ ซึ่งวิธีนี้ช่วยประหยัดน้ำได้มากกว่า 60% เมื่อเก็บเกี่ยวถั่วเหลืองในเดือนมีนาคม นอกจากจะได้ผลผลิตที่สร้างรายได้ประมาณไร่ละ 2,600 บาทแล้ว ยังช่วยคืนความอุดมสมบูรณ์ให้กับดินอีกด้วย
หากเกษตรกรทำตามรูปแบบนี้ ใน 1 ปีจะมีรายได้มากกว่า 5,000 บาทต่อไร่ ซึ่งสูงกว่าการทำนาแบบเดิม ๆ และยังช่วยแก้ปัญหาที่เป็นจุดอ่อนของการทำนาแบบ AWD เช่น ปัญหาข้าวดีดข้าวเด้ง ปัญหาข้าวกลายพันธุ์ หรือปัญหานาหล่ม อันเนื่องมาจากระบบการระบายน้ำและการกักเก็บน้ำไม่ดี โดยเครือข่ายได้ส่งเสริมให้มีการขุดลอกคูคลองเพื่อระบายน้ำ และการจัดการวัชพืชด้วยการปั่นฟางสด แทนการเผา ซึ่งช่วยลดปัญหามลพิษทางอากาศได้อีกทางหนึ่ง
ประวิทย์ ศิริบรรณ์ เกษตรกรจากจังหวัดกำแพงเพชร ซึ่งมีพื้นที่นา 29 ไร่ และเคยประสบปัญหาผลผลิตต่ำประมาณ 20 ตัน เนื่องจากที่นาเป็นที่ลุ่มต่ำ มีปัญหาน้ำท่วมขังและเพลี้ยระบาด ได้เล่าว่าการเข้าร่วมโครงการและได้รับการสนับสนุน ขุดร่องน้ำ จากคูโบต้าช่วยให้สามารถแก้ไขปัญหานาหล่ม เหล่านี้และทำนา AWD ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สุภชัยทิ้งท้ายว่า เครือข่ายชาวนาวันหยุดยังคงเปิดรับผู้ที่สนใจเข้ามาศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมผ่านทางเพจ “ชาวนาวันหยุด” และมีเครือข่ายในแต่ละพื้นที่ที่พร้อมจะเชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
แกะรอยความคิด พิชิตความยั่งยืน
การเดินทางสู่ความยั่งยืนของแต่ละธุรกิจนั้นเต็มไปด้วยบทเรียนล้ำค่า เปรมจิต แนะนำว่าการพัฒนานวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนและการหาตลาดรองรับควรดำเนินควบคู่กันไป ความยั่งยืนเป็นเทรนด์สำคัญของโลกที่ไม่อาจมองข้ามได้ ดังจะเห็นได้จากการประชุม USA Waste Law Association ที่ Chicago ซึ่งผู้จัดจำหน่ายและผู้ค้าปลีกต่างให้ความสนใจสอบถามเกี่ยวกับประเด็น Trade Tariff และผลกระทบหรือประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน ดังนั้น การตามเทรนด์ให้ทันจึงเป็นเรื่องจำเป็น และเทคโนโลยีคือคำตอบสำคัญในการสร้างสรรค์นวัตกรรม
อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานต้องรักษาจังหวะก้าวที่เหมาะสม ไม่เร็วหรือช้าจนเกินไป โดยหน่วยงานภาครัฐสามารถเข้ามาช่วยสนับสนุนในส่วนนี้ได้ และแต่ละธุรกิจก็จำเป็นต้องออกแบบแนวทางการดำเนินงานที่เหมาะสมกับบริบทของตนเอง
ด้านสุภชัย กล่าวย้ำถึงสิ่งที่ไม่ควรทำเมื่อต้องทำงานร่วมกับเกษตรกร นั่นคืออย่าทำให้เกษตรกรรู้สึกเหมือนเป็นหนูทดลอง หรือหลอกให้ทำแล้วก็จากไป การทำงานกับเกษตรกรต้องอาศัยความสม่ำเสมอ เพื่อสร้างความคุ้นเคยและไว้วางใจ ต้องทำจริง ทำต่อเนื่อง และสร้างความเชื่อมั่นในระยะยาว ดังเช่นตัวสุภชัยเองที่ทำเรื่องนี้มา 15 ปี และยังมองว่าเป็นการเดินทางที่ยังไม่ถึงคำว่า “สำเร็จ” แต่เป็นการเชื่อมโยงจุดต่าง ๆ เข้าด้วยกัน หรือ “Connect the dot” หัวใจสำคัญคือต้อง “เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา” ร่วมกัน จึงจะสามารถเติบโตและก้าวหน้าไปพร้อมกันได้
ส่วนอลิศรา ให้มุมมองว่า การหาบุคลากรที่มีใจรักสิ่งแวดล้อมมาร่วมงานเป็นเรื่องที่ดี แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือ “กระบวนการภายใน” ขององค์กรที่จะช่วยสร้างความเข้าใจและทรานส์ฟอร์มคนของเรา ไม่ว่าจะเป็นการฝึกอบรม การจัดกิจกรรมรณรงค์ การให้ความรู้ การจัดการแข่งขันภายใน หรือการพาพนักงานออกไปดูงานในสถานที่จริง เช่น โครงการจุฬา Zero Waste สวนป่ากินได้ของอาจารย์อุษา หรือการเรียนรู้เรื่องการเลี้ยงหนอนแมลงวันลาย เพื่อให้พนักงานได้เห็นภาพเดียวกันกับผู้บริหารและองค์กร และสามารถกลับมาช่วยกันปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานให้เกิดเป็นองค์ความรู้ หรือ Knowledge Know-how ที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์กับองค์กรอย่างแท้จริง
เรื่องราวและประสบการณ์จากผู้ประกอบการ SME ทั้งสามรายนี้เป็นตัวอย่างที่ทรงคุณค่าและสร้างแรงบันดาลใจอย่างยิ่ง แม้ว่าแต่ละท่านจะยังมองว่าตนเองกำลังอยู่ในเส้นทางของการพัฒนาและเรียนรู้ แต่ก็ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจและความคืบหน้าที่จับต้องได้ การปรับตัวและดำเนินธุรกิจบนแนวทางของความยั่งยืนนั้น ไม่เพียงแต่จะช่วยลดผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม แต่ยังสามารถสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ และนำไปสู่การเติบโตที่มั่นคง มีความหมาย และเป็นประโยชน์ต่อทุกภาคส่วนในระยะยาว
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
พลิกโฉมเกษตรไทย: นวัตกรรมสีเขียวขับเคลื่อนธุรกิจยุคใหม่สู่ความยั่งยืน
KBTG ชู ‘Human First, AI First’ พลิกโฉมธนาคาร ที่ Huawei Summit