ในยุคที่สถานการณ์เศรษฐกิจไทยเต็มไปด้วยความผันผวนและความไม่แน่นอน นักธุรกิจต่างต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอดและแสวงหาโอกาสใหม่ ๆ ในการเติบโต เวทีเสวนาสุดพิเศษในหัวข้อ “THE FUTURE IS WORTH A THOUSAND WORDS” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการประกาศจัดงาน Creative Talk Conference 2025 (CTC 2025) ได้รวบรวม 4 ผู้บริหารและผู้ประกอบการแถวหน้าของไทยจากหลากหลายวงการ มาแลกเปลี่ยนมุมมองและกลยุทธ์ในการรับมือกับความท้าทายครั้งสำคัญนี้
บทสนทนาเริ่มต้นด้วยการยอมรับภาพรวมของสถานการณ์เศรษฐกิจที่ทุกคนเห็นตรงกันว่าเป็น “วิกฤติจริง” มุมมองนี้ได้รับการตอกย้ำจาก ไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นทายาทรุ่นที่สองผู้ขับเคลื่อนอาณาจักรอสังหาริมทรัพย์ระดับแสนล้าน โดยเขาให้ความเห็นว่าวิกฤติครั้งนี้อาจเป็นหนึ่งในครั้งที่ยากที่สุดในรอบหลายปี “ผมว่าใน 20 ปีที่ผ่านมาอาจจะไม่มีช่วงไหนที่กระแสเงินสดมีความสำคัญเท่าวันนี้” ไตรเตชะกล่าวเน้นย้ำ
แต่ในอีกมุมหนึ่ง เสียงจากไอคอนแห่งวงการ Startup ไทยกลับมองเห็นแสงสว่างในความมืดมิด ณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์ CEO และผู้ร่วมก่อตั้ง Ookbee แพลตฟอร์มอีบุ๊กยักษ์ใหญ่ และ “ชาร์ค” จากรายการ Shark Tank Thailand กล่าวว่า “ส่วนตัวผมชอบเวลาที่เกิดวิกฤติ เพราะในมุมมองของผม มันคือโอกาส” เขามองว่าวิกฤติส่งผลกระทบต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน จึงเป็นโอกาสสำหรับบริษัทที่มีการเตรียมความพร้อมที่ดีที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำ

แนวคิดนี้ได้รับการสนับสนุนจาก สิทธิพงศ์ ศิริมาศเกษม ผู้ปลุกปั้นคอมมูนิตี้ CREATIVE TALK และในฐานะผู้จัดงาน Creative Talk Conference 2025 (CTC 2025) ซึ่งเน้นย้ำว่าท่ามกลางความไม่แน่นอน ยิ่งต้องเรียนรู้ให้มากขึ้น “โอกาสมันมีเสมอ แต่จะมาพร้อมกับคนที่มีความรู้และคนที่มองเห็น ไม่ใช่ว่าเราอยู่เฉย ๆ แล้วโอกาสจะวิ่งมาหาเรา” สิทธิพงศ์ กล่าว
ในประเด็นเรื่องกลยุทธ์ที่แตกต่างกันระหว่างธุรกิจขนาดใหญ่และเล็ก ไตรเตชะได้ให้มุมมองในฐานะบริษัทอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ว่า สำหรับบริษัทที่แข็งแกร่ง วิกฤติถือเป็นโอกาสในการขยายตลาดหรือซื้อสินทรัพย์ในราคาที่ถูกลง เนื่องจากคู่แข่งอ่อนแอกว่า
ในขณะที่มุมมองจากผู้ประกอบการ SME ที่สร้างแบรนด์จนประสบความสำเร็จอย่าง ธัญย์ณภัคช์ ศิริประภาเจริญ ผู้ก่อตั้งแบรนด์ชาไทยพรีเมียม KARUN กลับมองว่า ความเป็น “ตัวเล็ก” คือความได้เปรียบ “เราขยับตัวได้เร็วกว่า” เธอยังชี้ให้เห็นถึงหัวใจสำคัญในการเข้าถึงลูกค้าว่า “ไม่ว่าจะเป็นวิกฤติหรืออะไร ลูกค้ามักจะมีความต้องการที่เขาเองอาจจะไม่รู้เสมอ ซึ่งเราน่าจะต้องเป็นผู้นำเสนอสิ่งนั้นให้กับลูกค้า”

ในช่วงท้าย เมื่อถูกถามให้จำกัดความ “อนาคต” ในหนึ่งคำ แต่ละท่านได้ให้มุมมองที่น่าสนใจซึ่งสะท้อนถึงแก่นความคิดของตนเอง โดยณัฐวุฒิเลือกคำว่า Readiness หรือการเตรียมความพร้อมอยู่เสมอ ขณะที่สิทธิพงศ์มองอนาคตเป็น Possibility หรือความเป็นไปได้ที่เปิดกว้างทั้งดีและร้าย ส่วนไตรเตชะให้คำนิยามว่า Continuous Development คือการพัฒนาอย่างต่อเนื่องซึ่งมีแก่นหลักคือคุณภาพ (Quality) และนวัตกรรม (Innovation) และสุดท้าย ธัญย์ณภัคช์สรุปด้วยภาพที่ชัดเจนว่าอนาคตคือ Change หรือความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา
บทสรุปจากเวทีเสวนานำไปสู่ทางออกที่เป็นรูปธรรม นั่นคือการเตรียมความพร้อมด้วย “ความรู้” โดยงาน CTC 2025 ถูกวางตำแหน่งให้เป็นโซลูชันสำคัญสำหรับคนทำงานและนักธุรกิจในยุคนี้ สิทธิพงศ์ ในฐานะผู้จัดงานกล่าวว่า “เราต้องไวให้ทันโลก แต่ต้องใช่ให้ทันตัวเอง” และงานนี้จะมีเนื้อหาที่หลากหลายครอบคลุมทั้งเรื่องธุรกิจ เทคโนโลยี ไปจนถึงการเข้าใจตัวเอง ด้านไตรเตชะเสริมว่า “หนึ่งในสิ่งที่จะทำให้เราผ่านจุดนี้ไปได้ คือการมาเติมความรู้ เรียนรู้จากประสบการณ์ของคนที่เคยล้มเหลวมาก่อน เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องไปล้มเอง”
งาน CGC 2025 จึงไม่ใช่เป็นเพียงงานสัมมนา แต่เป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้และแบ่งปันประสบการณ์ ที่จะช่วยให้นักธุรกิจและคนทำงานชาวไทยได้ติดอาวุธทางปัญญา เพื่อเผชิญหน้ากับอนาคตที่ไม่แน่นอน และเปลี่ยนทุกวิกฤติให้กลายเป็นโอกาสในการเติบโตต่อไป
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
Creative Talk เปิดฉาก CTC2025 มหกรรมความรู้ ‘อนาคตสร้างได้วันนี้’
เปิดสูตรลับแบรนด์ ‘KARUN-White Story-Shinkanzen Sushi’ กลางสมรภูมิ Red Ocean