องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. จับมือกับพันธมิตรเทคโนโลยีชั้นนำของประเทศ เปิดตัวระบบนิเวศนวัตกรรมแบบครบวงจร ที่จะเข้ามาพลิกโฉมโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจของไทย (T-VER) อย่างสิ้นเชิง ด้วยการนำเทคโนโลยีอวกาศและปัญญาประดิษฐ์ (AI) มายกระดับความแม่นยำในการประเมินคาร์บอน ควบคู่ไปกับการเปิดตัว “ประกันภัยคาร์บอนเครดิต” เป็นครั้งแรก เพื่อสร้างความโปร่งใส ลดต้นทุน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกภาคส่วน ขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนในระดับสากล
องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ได้จัดงาน “เปิดตัวนวัตกรรมสำหรับโครงการ T-VER ภาคป่าไม้” เพื่อประกาศการรับรองแพลตฟอร์มเทคโนโลยีสำรวจระยะไกล (Remote Sensing) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) สำหรับใช้ในการประเมินคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้เป็นครั้งแรกของประเทศอย่างเป็นทางการ
เกียรติชาย ไมตรีวงษ์ ผู้อำนวยการ อบก. ชี้แจงว่า การเคลื่อนไหวครั้งนี้คือย่างก้าวสำคัญในการแก้ปัญหาและความท้าทายของกระบวนการพัฒนาโครงการ T-VER แบบดั้งเดิมที่ซับซ้อน มีค่าใช้จ่ายสูง และใช้เวลานาน การนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาประยุกต์ใช้ ไม่เพียงแต่เพิ่มความแม่นยำในการประเมิน แต่ยังช่วยลดต้นทุนการดำเนินโครงการ พร้อมทั้งสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้พัฒนาโครงการและผู้ซื้อคาร์บอนเครดิตทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์
“แพลตฟอร์มเหล่านี้จะเป็นปัจจัยสำคัญในการขยายกิจกรรมการลดก๊าซเรือนกระจก ลดต้นทุนในการดำเนินงาน และช่วยให้ประเทศไทยสามารถก้าวสู่สังคมที่เป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ได้ง่ายขึ้น” เกียรติชาย กล่าว
ความร่วมมือนี้เป็นการผนึกกำลังระหว่างอบก. กับหน่วยงานพันธมิตรเทคโนโลยีชั้นนำ ได้แก่ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) (THAICOM) บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) (SCGC) และ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) โดยมีการเปิดตัว 4 แพลตฟอร์มแรกที่ผ่านมาตรฐาน อบก. ได้แก่ แพลตฟอร์ม “Carbon Atlas” แพลตฟอร์ม “CarbonWatch” แพลตฟอร์ม ‘CERT+’ และ Smart Forest Platform
ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการ GISTDA เปิดเผยถึงเทคโนโลยีเบื้องหลังว่า “เทคโนโลยี LiDAR เป็นนวัตกรรมที่ใช้ในการเก็บข้อมูลภาคสนาม เมื่อนำมาบูรณาการร่วมกับข้อมูล Remote sensing และแบบจำลอง Machine learning จะช่วยให้การประเมินคาร์บอนในภาคป่าไม้มีความแม่นยำ น่าเชื่อถือ บนแพลตฟอร์ม Carbon Atlas มีข้อมูลบริการครอบคลุมพื้นที่มากกว่า 90% ของพื้นที่ป่าที่ได้รับรองจาก อบก. แล้วคือ ป่าดิบเขา ป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง ป่าชายเลน และสวนยางพารา สำหรับเกษตรกรรายเล็กก็สามารถรวมกลุ่มกันเข้าร่วมโครงการ T-VER ผ่านแพลตฟอร์ม Carbon Atlas ได้เช่นกัน”
ปฐมภพ สุวรรณศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยคม กล่าวว่า “ในฐานะผู้นำธุรกิจด้าน Space tech ไทยคมมีความมุ่งมั่นในการนำเทคโนโลยีด้านอวกาศ มาคิดค้นบริการที่ตอบโจทย์ด้านการดูแลสิ่งแวดล้อม เราภูมิใจที่ได้พัฒนาแพลตฟอร์ม CarbonWatch ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ได้รับการรับรองจาก อบก. เป็นรายแรกของประเทศไทย เพื่อช่วยให้การประเมินคาร์บอนในพื้นที่ป่าขนาดใหญ่มีประสิทธิภาพ แม่นยำ รวดเร็ว ตรวจสอบได้ และคุ้มค่ากว่าวิธีดั้งเดิม”
สุรเชษฐ์ ชโลธร Director of Manufacturing Technology and Digital บมจ.เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) กล่าวว่า “SCGC มุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมเพื่อสังคมคาร์บอนต่ำ โดย ‘CERT+’ ถือเป็น ‘รายแรกของประเทศ’ ที่ริเริ่มนำเทคโนโลยี Remote Sensing และ AI ขั้นสูงมาใช้ในการประเมินคาร์บอนเครดิต โดยเริ่มใช้กับไม้ยูคาลิปตัสและขยายสู่พืชเศรษฐกิจชนิดอื่น ระบบยังสามารถติดตามการเจริญเติบโตของพืชและวิเคราะห์ความเสี่ยงในพื้นที่ได้ เราเชื่อมั่นว่าเทคโนโลยีคือหัวใจสำคัญที่จะเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำ”
มีนา ศุภวิวรรธน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหารชื่อเสียงองค์กรและกิจการเพื่อสังคม บมจ.ปตท. กล่าวว่า “ปตท. ให้ความสำคัญกับการลดก๊าซเรือนกระจกเพื่อเป้าหมาย PTT Net Zero emissions 2050 โดยมีกลไกสำคัญคือการฟื้นฟูป่า ซึ่ง ปตท. และวรุณา ได้ร่วมกันพัฒนาโมเดลประเมินการดูดซับ CO2 ของป่าไม้ และผ่านการรับรองจาก อบก. แล้ว 3 โมเดล ได้แก่ ป่าดิบแล้ง ป่าผสมผลัดใบ และสวนยางพารา นับเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่จะเพิ่มประสิทธิภาพของคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้”
AI และข้อมูลดาวเทียมยกระดับความแม่นยำ
เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) ในฐานะหน่วยงานเทคโนโลยีอวกาศของประเทศ ได้นำเสนอแพลตฟอร์ม “Carbon Atlas” ซึ่งทำหน้าที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลของประเทศ
กานดาศรี ลิมปาคม รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) กล่าวว่า ที่มาของแพลตฟอร์ม “Carbon Atlas” ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความท้าทายของการประเมินคาร์บอนในปัจจุบันที่ใช้เวลานานและมีค่าใช้จ่ายสูง GISTDA จึงได้นำความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีอวกาศ การแปลข้อมูลดาวเทียม และเทคโนโลยีสำรวจระยะไกล (Remote Sensing) ผนวกกับความร่วมมือกับพันธมิตรระดับนานาชาติอย่าง European Space Agency (ESA) มาสร้างสรรค์นวัตกรรมนี้ขึ้น
กระบวนการพัฒนาแพลตฟอร์มนี้อาศัยทีมผู้เชี่ยวชาญด้านป่าไม้ของ GISTDA ที่บูรณาการข้อมูลจากหลายแหล่ง ทั้งข้อมูลดาวเทียมระบบเรดาร์และออปติคอล ข้อมูลอุณหภูมิพื้นผิว และที่สำคัญคือการลงพื้นที่เก็บข้อมูลภาคพื้นดินด้วยเลเซอร์สแกนและ UAV Radar จากแปลงตัวอย่างมากกว่า 1,000 แปลงทั่วประเทศ เพื่อให้มั่นใจในความน่าเชื่อถือและความแม่นยำสูงสุด โดยคุณกานดาศรีเน้นย้ำว่า GISTDA จะยังคงเก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่องเพื่อนำมาทวนสอบและพัฒนาโมเดลให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นไป
ศักยภาพของ “Carbon Atlas” คือการรองรับการประเมินป่าที่ได้รับการรับรองจาก อบก. แล้วถึง 5 ชนิด ได้แก่ ป่าเต็งรัง ป่าดิบเขา ป่าเบญจพรรณ ป่าชายเลน และสวนยางพารา แพลตฟอร์มสามารถแสดงผลการประเมินค่าคาร์บอนได้ครบทั้ง 5 แหล่งกักเก็บ พร้อมข้อมูลเชิงลึกอื่นๆ เช่น พื้นที่สีเขียว มวลชีวภาพเหนือพื้นดิน ค่าความหนาแน่นของเรือนยอดไม้ และข้อมูล 3 มิติจากแปลงตัวอย่าง นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลสนับสนุนการบริหารความเสี่ยงที่ GISTDA พัฒนามาตลอด 10 ปี อาทิ ข้อมูลความชื้นในดิน น้ำท่วม จุดความร้อน และภัยแล้ง ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อภาคธุรกิจประกันภัย
เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย GISTDA ได้ออกแบบรูปแบบการให้บริการที่ยืดหยุ่นถึง 4 รูปแบบ ครอบคลุมตั้งแต่การเป็นที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาโครงการ การรับจัดทำรายงานประเมินค่าคาร์บอน การให้บริการในรูปแบบสมาชิกระบบเพื่อติดตามพื้นที่เสี่ยงอย่างต่อเนื่อง ไปจนถึงการเปิด API ให้นักพัฒนาภายนอกสามารถนำข้อมูลไปเชื่อมต่อและต่อยอดในระบบของตนเองได้
ทางด้าน บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) ได้เปิดตัวแพลตฟอร์ม “Carbon Watch” ซึ่งเป็นผลจากการพัฒนาอย่างเข้มข้นนานเกือบ 3 ปี
ดร. ปิยะวัฒน์ จริยเศรษฐพงศ์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการค้า บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ก้าวต่อไปขององค์กรที่ไม่จำกัดแค่ผู้ให้บริการดาวเทียม แต่มุ่งใช้เทคโนโลยีอวกาศและปัญญาประดิษฐ์เป็นเครื่องมือสร้างความเข้มแข็งให้ประเทศในมิติต่าง ๆ ที่ผสมผสานความเชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขาวิชา ทั้งวนศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และสิ่งแวดล้อม เข้ากับเทคโนโลยี เพื่อพัฒนาโซลูชันที่ตอบโจทย์ความท้าทายที่ซับซ้อนของประเทศ
หนึ่งในโครงการสำคัญที่สะท้อนแนวคิดดังกล่าวคือแพลตฟอร์ม “Carbon Watch” ซึ่งใช้เทคโนโลยีดาวเทียมและ AI เพื่อประเมินการกักเก็บคาร์บอนในพื้นที่ป่าไม้ โครงการนี้ใช้เวลากว่า 3 ปีในการวิจัยและพัฒนา โดยเฉพาะการทำความเข้าใจลักษณะเรือนยอดไม้ที่ซับซ้อน
“ในระยะแรกโมเดลของเรามีความแม่นยำเพียง 50% แม้เกณฑ์การอนุมัติขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) จะอยู่ที่ 70% แต่เราเชื่อว่าในเชิงวิชาการ เราต้องไปให้ถึง 90-95%” ดร.ปิยะวัฒน์กล่าว
ทีมงานจึงผลักดันการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งบรรลุความแม่นยำที่ 92% และได้รับการรับรองจาก อบก. เป็นรายแรกของไทย ความสำเร็จนี้ยังเกิดจากความร่วมมือกับพันธมิตรใน Ecosystem เช่น GISTDA ซึ่งช่วยให้การวิเคราะห์สมบูรณ์ยิ่งขึ้น และยกระดับให้เป็นโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศในภาพรวม
CERT+ – วรุณาฯใช้เทคฯจัดการป่าไม้สร้างรายได้คาร์บอน
เทคโนโลยีหลักนี้ยังถูกนำไปต่อยอดเพื่อการใช้งานจริงในภาคส่วนต่าง ๆ โดย CERT+ สตาร์ตอัพในเครือ SCGC ได้พัฒนาแพลตฟอร์มสำหรับพืชเศรษฐกิจโดยเฉพาะ เช่น ยูคาลิปตัส เพื่อเป็นเครื่องมือให้เกษตรกรใช้บริหารจัดการผลผลิตควบคู่ไปกับการสร้างรายได้จากคาร์บอนเครดิต ส่วน บริษัท วรุณา (ประเทศไทย) จำกัด ในกลุ่ม ปตท. ได้สร้าง “Smart Forest Platform” ซึ่งเป็นระบบบริหารจัดการโครงการแบบครบวงจร ตั้งแต่การคัดเลือกพื้นที่ การประเมินผล ไปจนถึงการติดตามความเสี่ยง โดยมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลอย่าง Vera และ ICVCM เพื่อยกระดับคุณภาพคาร์บอนเครดิตของไทย
วิภาดา เลิศภัคพล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง CERT+ กล่าวว่า CERT+ ถือกำเนิดขึ้นในฐานะ “Internal Startup ของ SCG Chemicals” โดยมีเป้าหมายในการนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาประยุกต์ใช้เพื่อแก้ปัญหาและสร้างคุณค่าใหม่ ๆ ให้กับอุตสาหกรรมเกษตรและป่าไม้ของประเทศ
หัวใจของ CERT+ คือการใช้เทคโนโลยี AI ในการแปลงข้อมูลสองมิติจากภาพถ่ายดาวเทียมให้เป็นข้อมูลสามมิติที่มีความแม่นยำสูง ข้อมูลสามมิตินี้สามารถบ่งชี้ถึงการเจริญเติบโตของพืชได้อย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นความสูง ความหนาแน่นของเรือนยอด และนำไปสู่การคำนวณปริมาณการกักเก็บคาร์บอนในพื้นที่ป่าและพื้นที่เกษตรกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ เทคโนโลยีดังกล่าวได้รับการรับรองจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ TGO แล้ว ทำให้ข้อมูลที่ได้จากแพลตฟอร์มของ CERT+ มีความน่าเชื่อถือและสามารถนำไปใช้ในโครงการคาร์บอนเครดิตได้
CERT+ มุ่งเน้นการทำงานกับ “พืชเศรษฐกิจเป็นหลัก” โดยหนึ่งในโครงการที่ประสบความสำเร็จและเป็นรูปธรรมคือการทำงานร่วมกับ บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP ในการประเมินสวนไม้ยูคาลิปตัส (พันธุ์คามาลดูเลนซิสและลูกผสม) ที่มีอายุระหว่าง 1-17 ปี ครอบคลุมพื้นที่กว่า 66,621 ไร่ ซึ่งสามารถกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 270,228 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
แพลตฟอร์มของ CERT+ ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือสำหรับคำนวณคาร์บอนเครดิตเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เกษตรกรและเจ้าของพื้นที่สามารถ “ติดตามการเจริญเติบโตของพืชได้อย่างต่อเนื่อง” ข้อมูลที่ได้จากแพลตฟอร์มช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถวิเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อการเติบโตและปริมาณคาร์บอนที่กักเก็บได้
ตัวอย่างเช่น เกษตรกรสามารถเปรียบเทียบข้อมูลระหว่างแปลงปลูกเพื่อค้นหาว่า “แปลงที่ได้คาร์บอนเยอะ ๆ นั้นเป็นเพราะอะไร เป็นเพราะสภาพอากาศ สภาพดิน หรือการจัดการ” องค์ความรู้ที่ได้จากการวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้จะนำไปสู่การจัดการแปลงที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพิ่มผลผลิต และส่งเสริมการทำเกษตรกรรมและป่าไม้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
“เทคโนโลยีนี้สามารถเปลี่ยนข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมสองมิติให้เป็นข้อมูลการเจริญเติบโตสามมิติ เพื่อเป็นเครื่องมือให้เกษตรกรใช้ติดตามและบริหารจัดการผลผลิตควบคู่ไปกับการสร้างรายได้จากคาร์บอนเครดิต” วิภาดา กล่าว
พณัญญา เจริญสวัสดิ์พงศ์ ผู้ก่อตั้งและผู้บริหาร บริษัท วรุณา (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “Smart Forest Platform” ไม่ได้มีจุดกำเนิดจากแนวคิดเรื่องคาร์บอนเครดิตโดยตรง แต่มาจากคำถามพื้นฐานที่ว่า “เราปลูกป่าไปทำไม”
โครงการแรกเริ่มที่เป็นหมุดหมายสำคัญคือการเข้าไปเพิ่มพื้นที่สีเขียวจำนวน 1,000 ไร่ ในพื้นที่คุ้งบางกระเจ้า พร้อมกับการพัฒนาฟีเจอร์ “Smart Watcher” ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ออกแบบมาเพื่อให้ชุมชนในพื้นที่มีส่วนร่วมในการดูแลรักษาผืนป่าได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรม
เป้าหมายหลักของ “วรุณา” คือการเข้ามาแก้ไขปัญหาความ “ซับซ้อนและยากมาก” ของกระบวนการซื้อขายคาร์บอนเครดิต ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้เกษตรกรและผู้ปลูกป่าจำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงโอกาสนี้ได้ “Smart Forest Platform” จึงถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเป็นโซลูชันที่ครบวงจร สร้างแรงจูงใจและอำนวยความสะดวกให้กับการปลูกป่าเพื่อสร้างคาร์บอนเครดิตที่มีคุณภาพ
ความสามารถของแพลตฟอร์มครอบคลุมกระบวนการตั้งแต่ต้นจนจบ ประกอบด้วย การคัดกรองพื้นที่ (Screening) ใช้เทคโนโลยีในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก ทั้งในมิติของประวัติศาสตร์การใช้ที่ดิน สภาพแวดล้อมโดยรอบ และศักยภาพของพื้นที่ในการกักเก็บคาร์บอน เพื่อให้มั่นใจว่าพื้นที่ที่ได้รับคัดเลือกมีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุด การสร้างแบบจำลอง (Modeling) หัวใจสำคัญของแพลตฟอร์ม คือการนำเทคโนโลยีดาวเทียมทั้งแบบ Passive และ Active มาทำงานร่วมกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Deep Learning) เพื่อประเมินและคำนวณปริมาณการกักเก็บคาร์บอนได้อย่างแม่นยำในระดับรายพิกเซล (Pixel) และ การติดตามความเสี่ยง (Monitoring) แพลตฟอร์มมีระบบเฝ้าระวังและติดตามความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับพื้นที่ป่าไม้ โดยสามารถแจ้งเตือนเหตุการณ์ผิดปกติได้แบบเรียลไทม์ เช่น การเกิดไฟป่า หรือการลักลอบตัดไม้ทำลายป่า
และเพื่อให้คาร์บอนเครดิตที่เกิดขึ้นจากแพลตฟอร์มเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ “วรุณา” ได้พัฒนา “Smart Forest Platform” โดยอ้างอิงและเทียบเคียงกับมาตรฐานสากลที่เป็นที่ยอมรับในตลาดโลกอย่าง Verra และ The Integrity Council for the Voluntary Carbon Market (ICVCM) ความมุ่งมั่นดังกล่าวไม่เพียงแต่จะช่วยยกระดับคุณภาพคาร์บอนเครดิตของประเทศไทย แต่ยังเป็นการเปิดประตูสู่โอกาสในตลาดคาร์บอนระดับโลกอีกด้วย
“ประกันภัยคาร์บอนเครดิต” สร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน
นอกเหนือจากนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีแล้ว กลไกบริหารความเสี่ยงทางการเงินถือเป็นอีกองค์ประกอบสำคัญที่ได้รับการเปิดตัว โดย บริษัท TQR จำกัด (มหาชน) ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ “ประกันภัยคาร์บอนเครดิต”
ธีรยา พงษ์พูล ประธานเจ้าหน้าที่สายงานลูกค้าองค์กร บริษัท ทีคิวอาร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การประกันภัยคาร์บอนเครดิตไม่ใช่การประกันภัยต้นไม้ แต่เป็นการบริหารความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับความไม่แน่นอนและความไม่ถาวรของโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
โดยกรมธรรม์ประกันภัยคาร์บอนเครดิตสามารถให้ความคุ้มครองครอบคลุมความเสี่ยงหลัก 6 ด้าน ดังนี้
- ความเสี่ยงจากการไม่ส่งมอบคาร์บอนเครดิต (Non-delivery): คุ้มครองในกรณีที่โครงการไม่สามารถผลิตและส่งมอบคาร์บอนเครดิตได้ตามจำนวนที่ตกลงกันไว้ล่วงหน้า
- ความเสี่ยงจากความผิดพลาดในการคำนวณ (Calculation Error): ให้ความคุ้มครองหากมีการประเมินปริมาณคาร์บอนเครดิตของโครงการสูงกว่าความเป็นจริง
- ความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ (Natural Disasters): ครอบคลุมความเสียหายที่เกิดจากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น ไฟป่า น้ำท่วม หรือพายุ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสามารถในการกักเก็บคาร์บอนของโครงการ
- ความเสี่ยงจากการไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข (Non-compliance): คุ้มครองกรณีที่โครงการไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขสำคัญที่ได้ตกลงไว้ ซึ่งอาจนำไปสู่การไม่ได้รับการรับรองคาร์บอนเครดิต
- ความเสี่ยงทางการเมืองและสังคม (Political & Social Risk): ครอบคลุมผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายหรือกฎหมายของภาครัฐ หรือเหตุการณ์ทางสังคม เช่น ปัญหาการลักลอบตัดไม้ทำลายป่าโดยคนในพื้นที่
- ความเสี่ยงด้านเงินลงทุนเริ่มต้น (Upfront Capital Risk): สามารถให้ความคุ้มครองแก่เงินลงทุนในช่วงเริ่มต้นโครงการ หากโครงการดังกล่าวไม่ประสบความสำเร็จ
ธีรยา ได้กล่าวเสริมถึงโครงสร้างของตลาดประกันภัยประเภทนี้ในปัจจุบันว่า ประเทศไทยยังคงต้องพึ่งพาตลาดรับประกันภัยต่อในต่างประเทศ โดยบริษัทประกันภัยในประเทศจะทำหน้าที่เป็นผู้รับประกันภัยในเบื้องต้น ก่อนจะส่งต่อความเสี่ยงไปยังบริษัทรับประกันภัยต่อในต่างประเทศเพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงในภาพรวมต่อไป
ดร. ธนพงศ์ ดวงมณี ในฐานะผู้อำนวยการด้านนโยบายสิ่งแวดล้อมของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้แบ่งปันมุมมองและประสบการณ์เกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีมาใช้ในโครงการพัฒนาที่มุ่งสร้างความยั่งยืน โดยเน้นย้ำถึงประโยชน์ที่เกิดขึ้นในทุกมิติ ทั้งต่อผู้พัฒนาโครงการ ผู้ตรวจสอบ และที่สำคัญที่สุดคือประโยชน์ที่กลับคืนสู่ชุมชน
จากประสบการณ์การดูแลโครงการขนาดใหญ่ถึง 52 โครงการ ครอบคลุมพื้นที่กว่า 400,000 ไร่ พร้อมด้วยแปลงตัวอย่าง 1,400 จุด และทีมงานเกือบร้อยชีวิต ดร.ธนพงศ์ชี้ให้เห็นถึงความท้าทายในการทำงานแบบดั้งเดิมที่ต้องอาศัยการเดินเท้าสำรวจ ซึ่งเป็นไปด้วยความยากลำบากและใช้เวลามาก ดังนั้น เทคโนโลยีจึงเข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการดำเนินงาน
ประโยชน์ของเทคโนโลยีมีสองมุมมองหลัก คือ มุมของผู้ทวนสอบ (Verifier) เทคโนโลยีสมัยใหม่จะช่วยปฏิวัติกระบวนการสำรวจภาคสนามที่เคยใช้เวลาค่อนข้างนานและต้องเดินเข้าไปไกล ให้มีประสิทธิภาพและรวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลโดยตรงทำให้ต้นทุนในการตรวจสอบโครงการลดน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ
และมุมของผู้พัฒนาโครงการ ปัจจุบันต้นทุนในการพัฒนาโครงการอยู่ที่ประมาณ 200 ถึง 3,000 บาทต่อไร่ และคาดหวังว่าการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาปรับใช้จะช่วยลดต้นทุนส่วนนี้ลงได้ 20-30% ซึ่งงบประมาณที่ประหยัดได้ ถูกนำกลับไปสนับสนุนภารกิจหลักของมูลนิธิฯ ในการ “บริการชุมชน” และ “เสริมสร้างเรื่องความเป็นโลว์คาร์บอน ให้แก่สังคมได้มากยิ่งขึ้น

การบรรจบกันของเทคโนโลยีที่แม่นยำ นวัตกรรมการเงิน และผลลัพธ์ที่จับต้องได้จากภาคสนาม คือบทพิสูจน์ว่าระบบนิเวศคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้ของไทยได้ยกระดับสู่ความโปร่งใสและสมบูรณ์อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คำถามสำคัญจึงไม่ได้อยู่ที่ว่าตลาดพร้อมแล้วหรือไม่ แต่อยู่ที่ว่าทุกภาคส่วนจะสามารถฉวยโอกาสจากการเติบโตนี้ เพื่อขับเคลื่อนประเทศให้บรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศได้เร็วเพียงใด
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
แปลงความยั่งยืนในแบบ Compliance ให้เป็นแบบ Competence