Share on
×

Share

ถอดรหัส 4 ประเด็นขับเคลื่อนสตาร์ตอัพไทยสู่เวทีโลก: จาก‘จุดแข็งธรรมาภิบาล’ สู่‘พันธมิตรเปลี่ยนเกม’

สมการการเติบโตของสตาร์ตอัพไทยกำลังถูกเขียนขึ้นใหม่ เมื่อตลาดในประเทศที่เคยเป็นฐานที่มั่นสำคัญกลับไม่สามารถรองรับการเติบโตในสเกลใหญ่ได้อีกต่อไป ทิศทางใหม่ที่กำลังเป็นฉันทามติในแวดวงนวัตกรรมชี้ชัดว่า ‘Global Partnership’ คือหัวใจสำคัญ พร้อมกับการชูจุดแข็งที่ไม่เหมือนใครอย่าง ‘ธรรมาภิบาล’ เพื่อสร้างความได้เปรียบและปลดล็อกศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลก ทั้งนี้มี 4 ประเด็นเชิงกลยุทธ์ที่น่าสนใจ ซึ่งจะเป็นทิศทางสำคัญในการผลักดันสตาร์ตอัพไทยให้ทะยานสู่เวทีโลก ได้แก่

เมื่อตลาดไทย“เล็กเกินไป” – ภาวะ “กำแพง Series B” คือความจริงที่ต้องเผชิญ

ปัญหาใหญ่ที่สตาร์ตอัพไทยจำนวนมากกำลังเผชิญคือภาวะที่เรียกว่า ‘กำแพง Series B’ ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ธุรกิจเติบโตได้ดีในระดับเริ่มต้น (Series A) แต่ไม่สามารถขยายขนาดหรือสร้างรายได้ได้มากพอจากตลาดในประเทศ เพื่อสร้างมูลค่าบริษัทให้สูงพอที่จะระดมทุนในรอบ Series B ได้ นี่คือจุดชี้ชัดว่าการพึ่งพาตลาดในประเทศเพียงอย่างเดียวนั้นมีข้อจำกัด และการมองหาหนทางสู่ตลาดโลกไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็น “ทางรอด” ที่จำเป็นต่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

ธนพงษ์ ณ ระนอง นายกสมาคมไทยผู้ประกอบการธุรกิจเงินร่วมลงทุน (TVCA) วิเคราะห์ว่า สตาร์ตอัพไทยจำนวนมากสามารถระดมทุนในระดับเริ่มต้น (Series A) ได้ แต่กลับไปต่อไม่ได้เพราะตลาดในประเทศที่มีประชากร 70 ล้านคนนั้นเล็กเกินไปที่จะสร้างรายได้ให้แตะระดับที่นักลงทุนในรอบใหญ่จะสนใจ

ขณะที่ ปริวรรต วงษ์สำราญ รองผู้อำนวยการด้านระบบนวัตกรรม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) ยอมรับว่าโมเดล “Groom, Grant, Growth” แบบเดิมอาจไม่เพียงพออีกต่อไป โดยเฉพาะกับสตาร์ตอัพกลุ่ม B2B ของไทยที่แม้จะมีความสามารถสูง แต่เพราะเป็นธุรกิจที่ “ไม่ได้ใช้เงินทุนเยอะ” จึงมักจะหยุดการเติบโตเมื่อธุรกิจมีกำไรพออยู่ได้ ทำให้ระบบนิเวศขาดบริษัทที่จะสเกลอัปไปสู่ระดับยูนิคอร์น

“Global Partnership” ไม่ใช่แค่การออกบูธแต่คือการหาพันธมิตรที่ใช่เพื่อเปลี่ยนเกม

ทางออกจากกำแพง Series B คือการสร้าง “ความร่วมมือระดับนานาชาติ” หรือ Global Partnership ที่มีความหมายลึกซึ้งกว่าแค่การเดินทางไปร่วมงานอีเวนต์ในต่างประเทศ แต่คือการสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจที่มีภารกิจสอดคล้องกัน เพื่อช่วยเปิดประตูสู่ลูกค้ากลุ่มใหม่ และที่สำคัญคือการเชื่อมต่อกับแหล่งเงินทุนขนาดใหญ่อย่างนักลงทุน Series B ในต่างประเทศ ซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดแคลนในไทย

ปริวรรต กล่าวว่า บทบาทของภาครัฐอย่าง NIA และกระทรวงการต่างประเทศจึงเปลี่ยนไปสู่การเป็น “สะพานเชื่อม” และใช้เครือข่ายสถานทูตทั่วโลกเป็น ‘แขนขา’ ในการสร้างความสัมพันธ์ที่จับต้องได้ เพื่อให้สตาร์ตอัพไทยมีแต้มต่อในการแข่งขัน

“ถ้าสตาร์ตอัพไทยไปเอง หรือเราพาไปแค่งานอีเวนต์อย่างเดียว ไม่เพียงพอ เพราะคำถามคือ พอไปแล้วอยากได้ลูกค้า อยากได้นักลงทุน จะทำอย่างไรต่อ ดังนั้น เป้าหมายจึงเป็นการสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจในต่างประเทศที่มีภารกิจสอดคล้องกัน เพื่อช่วยเปิดประตูสู่ลูกค้าและเชื่อมต่อกับแหล่งทุนขนาดใหญ่โดยตรง”

ซึ่ง NIA ได้ริเริ่มความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมแล้วในหลายประเทศทั้งสวีเดน ฝรั่งเศส และฮ่องกง ซึ่งเป็นประตูสู่ตลาดจีน โดยมีกระทรวงการต่างประเทศเป็นพันธมิตรสำคัญ

ขณะที่ สาริณี ผลประไพ รองอธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศกล่าว่า กระทรวงฯ พร้อมใช้เครือข่ายสถานทูตเกือบร้อยแห่งทั่วโลกเป็นแขนขาในการสร้างและติดตามความสัมพันธ์เหล่านี้อย่างจริงจัง โดยเฉพาะในยุคหลังโควิดที่วัฒนธรรม “Work Anywhere” ทำให้การไหลเวียนของบุคลากรผู้มีความสามารถเป็นไปได้ง่ายขึ้น

“ธรรมาภิบาล” และ“ความยั่งยืน” คือจุดแข็งที่สร้างความได้เปรียบให้ไทย

นอกจากการสร้างพันธมิตรแล้ว ประเทศไทยยังมี “จุดแข็ง” ที่สามารถสร้างความได้เปรียบได้อย่างไม่น่าเชื่อ นั่นคือเรื่อง “ธรรมาภิบาล” ซึ่ง ธนพงษ์ เรียกว่าเป็น ‘G ตัวที่ 5: Governance’ เขาชี้ให้เห็นว่า ท่ามกลางข่าวฉาวของสตาร์ตอัพในภูมิภาคที่บางครั้งรุนแรงถึงขั้น ‘แปลงข้อมูลรายได้’ ปัญหาของไทยส่วนใหญ่มักเป็นเพียง ‘การใช้เงินผิดประเภท’ ซึ่งทำให้นักลงทุนต่างชาติมองไทยเป็นเป้าหมายการลงทุนที่ปลอดภัยและน่าเชื่อถือสูง

นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีศักยภาพสูงในเทรนด์ที่โลกกำลังต้องการอย่าง AI ซึ่งเน้นไปที่การประยุกต์ใช้ในภาคธุรกิจ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีด้านความยั่งยืน (Climate Tech) ซึ่งได้รับแรงหนุนจากความต้องการของบริษัทขนาดใหญ่ในประเทศที่ต้องปรับตัวรับมาตรการภาษีคาร์บอนจากยุโรป ทำให้ไทยมีโอกาสที่จะก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคในด้านนี้

ถึงเวลาของสตาร์ตอัพสายพันธุ์ใหม่ที่หัวดีมือถึงใจถึง

เทคโนโลยีและเงินทุนเพียงอย่างเดียวไม่สามารถรับประกันความสำเร็จได้ หากตัวผู้ประกอบการเองไม่พร้อม ธนวิชญ์ ต้นกันยา นายกสมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทย (TSA) กล่าวว่า ความท้าทายจึงตกอยู่ที่การสร้างสตาร์ตอัพสายพันธุ์ใหม่ที่มีคุณสมบัติครบถ้วน ได้แก่ “หัวดี” คือมีวิสัยทัศน์ที่จะไปตลาดโลกตั้งแต่วันแรก ไม่ใช่คิดจะเปลี่ยนแผนทีหลัง “มือถึง” คือมีความสามารถในการบริหารจัดการอย่างเฉียบคมในยุคที่การเบิร์นเงินไม่ใช่เกมอีกต่อไปแล้ว และ “ใจถึง” คือมีความกล้าที่จะลงสนามแข่งขันระดับโลกอย่างมีกลยุทธ์และเป้าหมายที่ชัดเจน ไม่ใช่การไปแบบไร้ทิศทาง

“ความหลากหลายของตลาดไทยเปรียบเสมือนดาบสองคม ด้านหนึ่งคือเป็นสนามซ้อมชั้นดีที่ทำให้ สตาร์ตอัพที่โตในไทยได้ เวลาไปต่างประเทศจะง่ายกว่า” แต่อีกด้านหนึ่งก็อาจเป็นกับดักที่ทำให้ มัวแต่ทำในความหลากหลาย จนใจไม่ถึง ที่จะก้าวออกไปได้เช่นกัน” ธนวิชญ์ กล่าว

ปรากฏการณ์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าทุกภาคส่วนกำลังปรับตัวและทำงานร่วมกันอย่างเข้มข้น เพื่อสร้างเส้นทางให้ธุรกิจนวัตกรรมของไทยสามารถเติบโตได้อย่างไร้ขีดจำกัดบนเวทีโลก โดยมีเวทีอย่าง Startup x Innovation Thailand Expo (SITE) 2025 ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-6 กรกฎาคม ณ พารากอน ฮอลล์ เป็นพื้นที่สำคัญในการรวมพลังและทำให้กลยุทธ์เหล่านี้เกิดผลเป็นรูปธรรม ผ่านกิจกรรมที่ครบครันทั้ง ฟอรั่ม งานเวิร์กช็อป และงานพิชชิ่งต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นภายในงาน

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

SITE 2025 มหกรรมนวัตกรรม ปั้นไทยสู่ฮับนวัตกรรมโลก

บีคอน วีซี-กรมลดโลกร้อน-GGGI เปิดตัวคู่มือสำหรับสตาร์ตอัพด้านเทคโนโลยีสภาพภูมิอากาศ

ZUPPORTS สตาร์ตอัพจากรั้ว SCG กับภารกิจพลิกโลกโลจิสติกส์

×

Share

ผู้เขียน