ManageEngine บริษัทในเครือ Zoho Corp ประกาศแผนการลงทุนและขยายธุรกิจครั้งสำคัญในประเทศไทย โดยเตรียมจัดตั้งสำนักงานอย่างเป็นทางการภายใน 2 ปีข้างหน้า พร้อมมุ่งมั่นสร้างทีมงานคนไทยและพัฒนาบุคลากรท้องถิ่นภายใต้วิสัยทัศน์ “Transnational Localization” เพื่อตอบสนองการเติบโตของตลาดยุคดิจิทัลที่ต้องสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรมและความปลอดภัย
ภูมิทัศน์ยุคใหม่: 4 จิ๊กซอว์ที่ทุกองค์กรต้องเผชิญ
อรุณ กุมาร์ ผู้อำนวยการภูมิภาคของ ManageEngine เปิดฉากด้วยการฉายภาพความท้าทายขององค์กรในปัจจุบันว่าเปรียบเสมือนการต่อจิ๊กซอว์ 4 ชิ้นที่ขาดชิ้นใดชิ้นหนึ่งไปไม่ได้ นั่นคือ AI การปฏิรูปธุรกิจสู่ดิจิทัล (Digital Transformation) ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล (Data Privacy) และความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity)
“ทุกองค์กรต่างเร่งรีบขึ้นรถบัส Digital Transformation และ AI แต่สิ่งสำคัญที่ลืมไม่ได้คือความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ทุกประเทศมีกฎระเบียบของตัวเอง ประเทศไทยมี PDPA ยุโรปมี GDPR ซึ่งบังคับใช้กับทุกอุตสาหกรรม” อรุณ กล่าว
“การปฏิรูปธุรกิจสู่ดิจิทัลต้องมาพร้อมแนวทางที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยทางไซเบอร์เป็นอันดับแรก เพราะเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยเพียงครั้งเดียวไม่เพียงสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียง แต่ยังอาจทำให้ธุรกิจของคุณล้มลงได้”
ด้วยเหตุนี้ ManageEngine จึงเลือกที่จะสร้าง Data Center และพัฒนา AI Model ของตนเอง เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจและมีทางเลือกที่ยืดหยุ่นทั้งแบบ On-Premise และ On-Cloud
“Transnational Localization”: คำมั่นสัญญาในการเป็นบริษัทท้องถิ่นที่แท้จริง

วิสัยทัศน์ “Transnational Localization” ของ ManageEngine เป็นแนวคิดที่สืบทอดมาจากบริษัทแม่ Zoho ซึ่งให้ความสำคัญกับการสร้างทีมงานท้องถิ่นที่มีอำนาจในการตัดสินใจและดำเนินงานอย่างอิสระ เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าในแต่ละประเทศได้อย่างแท้จริง แทนที่จะเป็นการบริหารจัดการแบบรวมศูนย์จากสำนักงานใหญ่เพียงแห่งเดียว กลยุทธ์นี้ครอบคลุมถึง:
- การสร้างทีมงานท้องถิ่น: ManageEngine มีแผนที่จะจัดตั้งทีมงานในประเทศไทย ทั้งในส่วนของการขาย การตลาด และการสนับสนุนทางเทคนิค เพื่อให้เข้าใจถึงความท้าทายและบริบททางธุรกิจขององค์กรไทยได้อย่างดี
- การพัฒนาบุคลากร: บริษัทมุ่งมั่นที่จะจ้างงานและพัฒนาบุคลากรในท้องถิ่น เพื่อสร้างผู้เชี่ยวชาญที่มีความสามารถในการให้คำปรึกษาและบริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การสร้างความร่วมมือในระดับท้องถิ่น: การจับมือกับพันธมิตรที่แข็งแกร่งในประเทศเป็นหัวใจของกลยุทธ์นี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นผ่านการประกาศความร่วมมือกับ บริษัท เอสไอเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เพื่อขยายช่องทางการจัดจำหน่ายและส่งมอบโซลูชันให้เข้าถึงองค์กรทุกระดับในประเทศไทยได้ดียิ่งขึ้น
แม้จะยังไม่มีการเปิดเผยตัวเลขการลงทุนที่ชัดเจน แต่แผนการขยายธุรกิจผ่านการสร้างทีมงานและการร่วมมือกับพันธมิตรในประเทศ ถือเป็นการลงทุนครั้งสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในระยะยาวของ ManageEngine ต่อตลาดประเทศไทย ManageEngine ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมากว่า 10 ปี ผ่านตัวแทนจำหน่ายที่แข็งแกร่ง 2 ราย และมีบริษัท SI ที่เป็นพาร์ทเนอร์อีกมากกว่า 10 ราย โดยมีฐานลูกค้าแล้วกว่า 500 ราย อย่างไรก็ตาม บริษัทมองว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น
ณัฐวิชช์ ว่องสิทธิโรจน์ Technical Director ประเทศไทย เปิดเผยว่า “เราไม่ได้ต้องการแค่มาขายซอฟต์แวร์และทำเงิน เราต้องการเป็นบริษัทท้องถิ่นที่แท้จริงและคืนสู่สังคมที่เราดำเนินธุรกิจอยู่ การตั้งออฟฟิศในไทยภายใน 2 ปีนี้เป็นเพียงก้าวแรก เราจะรับสมัครบุคลากรคนไทยเพิ่มขึ้นทั้งในส่วนของทีม Pre-sales และ Post-sales Service เพื่อให้บริการลูกค้าและสนับสนุนพาร์ทเนอร์ได้อย่างใกล้ชิด”
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนจะร่วมมือกับสถาบันการศึกษาและภาครัฐในการจัดอบรมเพื่อพัฒนาทักษะบุคลากรด้านไอทีในไทย แก้ปัญหาการขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญ และสร้างบุคลากรแห่งอนาคตต่อไป
จุดเด่นที่แตกต่าง: ทำไมต้องเลือก ManageEngine?
ท่ามกลางตลาดโซลูชันไอทีที่มีการแข่งขันสูง ManageEngine ชูจุดเด่นที่แตกต่างอย่างชัดเจน 4 ประการ คือ
- แพลตฟอร์มครบวงจรแต่เลือกซื้อได้ตามใจ (Flexible Platform) แม้จะมีโซลูชันครอบคลุมการบริหารจัดการไอทีทั้งหมด แต่ลูกค้าไม่จำเป็นต้องซื้อทั้งแพลตฟอร์ม “เวลาคุณเดินมาหาเรา เราเสนอคุณเป็นชิ้นๆ ได้ คุณเลือกได้ว่าจะเอาแค่ 5 ชิ้นจาก 10 ชิ้น อีก 5 ชิ้นไม่เอาก็ได้” ณัฐวิทย์อธิบาย นอกจากนี้ยังคงมีไลเซนส์แบบซื้อขาด (Perpetual License) เป็นทางเลือกนอกเหนือจากแบบสมัครสมาชิก (Subscription)
- การบริหารจัดการที่รวมศูนย์ (Tool Consolidation): ในยุคที่องค์กรใช้งาน Multi-Cloud (เช่น AWS, GCP) และมีโครงสร้างพื้นฐานแบบ On-Premise ของตัวเอง ManageEngine สามารถทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มเดียวที่ติดตามและบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานที่ซับซ้อนเหล่านี้ได้ทั้งหมดในหน้าจอเดียว (Single Pane of Glass) ช่วยลดความซ้ำซ้อนและทำให้เห็นภาพรวมของระบบไอทีทั้งหมด
- ความคุ้มค่าและการลงทุนในนวัตกรรม: บริษัทนำรายได้มากกว่า 50% กลับไปลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) อย่างต่อเนื่อง ทำให้ผลิตภัณฑ์มีฟีเจอร์ใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นเสมอ ลูกค้าที่ใช้งานอยู่จะได้รับความสามารถใหม่ ๆ โดยไม่ต้องจ่ายเพิ่ม
- พันธมิตรที่มั่นคงเพื่อ SME และองค์กรขนาดใหญ่: ManageEngine มีเครื่องมือฟรี (Free Tools) สำหรับธุรกิจ SME ให้เริ่มต้นใช้งานได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย และเมื่อธุรกิจเติบโตก็สามารถขยับขยายไปใช้โซลูชันเชิงพาณิชย์ได้ ขณะเดียวกันก็เป็นพันธมิตรที่มั่นคงให้องค์กรขนาดใหญ่ด้วยประวัติการเติบโตแบบ Organic ที่ 20-25% ต่อปี และการเป็นบริษัทเอกชนที่ไม่ผันผวนตามตลาดการควบรวมกิจการ
ManageEngine สร้างความแตกต่างในตลาดด้วยการนำเสนอชุดโซลูชันการจัดการไอทีที่ครอบคลุมและครบวงจร (Comprehensive Suite) ซึ่งแตกต่างจากคู่แข่งหลายรายที่มักมุ่งเน้นโซลูชันเฉพาะทางเพียงด้านใดด้านหนึ่ง จุดเด่นทางเทคโนโลยีของ ManageEngine ประกอบด้วย
- แพลตฟอร์มที่ครอบคลุม: ManageEngine มีผลิตภัณฑ์มากกว่า 60 รายการที่ครอบคลุมทุกมิติของการจัดการไอที ตั้งแต่ IT Service Management (ITSM) อย่าง ServiceDesk Plus, IT Operations Management (ITOM) เช่น OpManager, การจัดการอุปกรณ์ปลายทาง (Unified Endpoint Management), การจัดการข้อมูลระบุตัวตนและการเข้าถึง (Identity and Access Management – IAM) ไปจนถึง โซลูชันความปลอดภัยทางไซเบอร์ (SIEM)
- การผสานรวมที่ไร้รอยต่อ: จุดแข็งที่สำคัญคือความสามารถในการทำงานร่วมกันของผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ บนแพลตฟอร์มเดียวกัน ช่วยให้องค์กรสามารถบริหารจัดการระบบไอทีที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดปัญหาข้อมูลที่กระจัดกระจาย และเพิ่มความรวดเร็วในการแก้ไขปัญหา
- ความยืดหยุ่นและราคาที่แข่งขันได้: ManageEngine มีชื่อเสียงในด้านการนำเสนอโซลูชันที่มีประสิทธิภาพสูงในราคาที่สมเหตุสมผล ทำให้องค์กรทุกขนาด ตั้งแต่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMB) ไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ สามารถเข้าถึงเครื่องมือการจัดการไอทีระดับองค์กรได้
- การนำ AI มาปรับใช้: บริษัทได้นำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาเสริมทัพในหลายโซลูชัน เพื่อช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก คาดการณ์แนวโน้ม และทำงานซ้ำ ๆ ได้โดยอัตโนมัติ ช่วยลดภาระของฝ่ายไอทีและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
กลยุทธ์การเติบโตและแผนโครงสร้างพื้นฐาน
ลูกค้าของ ManageEngine มีทั้งแบบที่เข้ามาเพื่อ ทดแทนระบบเดิม (Replacement) โดยเฉพาะองค์กรขนาดใหญ่ที่ใช้โซลูชันเดิมซึ่งล้าสมัยและไม่ได้รับการพัฒนาต่อ และแบบที่เป็น โอกาสใหม่ (Greenfield) โดยเฉพาะกลุ่ม SME ที่เริ่มต้นจากเครื่องมือฟรีแล้วขยายการลงทุนเมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น
สำหรับแผนโครงสร้างพื้นฐานระดับภูมิภาค ManageEngine มีแผนจะเปิด Data Center แห่งใหม่ในสิงคโปร์ภายในปีนี้ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในการให้บริการลูกค้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
“แม้การเปิดออฟฟิศในไทยอาจจะตามหลังมาเลเซียและเวียดนาม แต่เราจัดให้ไทยเป็นตลาดสำคัญระดับ Tier 1 มาโดยตลอด การลงทุนครั้งนี้เป็นการตอกย้ำถึงความเชื่อมั่นที่เรามีต่อศักยภาพของตลาด และเราพร้อมจะเป็นพันธมิตรด้านเทคโนโลยีที่เชื่อถือได้ในระยะยาวให้กับทุกองค์กรในประเทศไทย” อรุณ กล่าวสรุป
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
จาก ‘ผงหอม’ สู่แบรนด์ระดับโลก ศรีจันทร์ ปลุกกระแส T-Beauty สร้าง Soft Power ไทย
‘Pink Economy’ พลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่ องค์กรเปิดรับความหลากหลายหนุนเสริมเติบโต