Share on
×

Share

สวทช. เปิดตัว ‘LEAD Education’ แพลตฟอร์มติดตาม วิเคราะห์ และประเมินผลการเรียนรู้เฉพาะบุคคล

สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ร่วมกับ สพฐ. และ สสวท. เปิดตัว “LEAD Education” (Learning analytics of ADaptive Education) แพลตฟอร์มช่วยติดตาม วิเคราะห์ และประเมินผลการเรียนรู้แบบเฉพาะบุคคล ตั้งเป้าลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา สร้างเยาวชนไทยให้พร้อมรับมือโลก AI

ดร.เสาวลักษณ์ แก้วกำเนิด หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา กลุ่มวิจัยการสื่อสารและเครือข่าย เนคเทค สวทช. ในฐานะหัวหน้าโครงการ Adaptive Education Platform กล่าวว่า แพลตฟอร์ม LEAD (LEarning analytics of ADaptive Education) คือการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบที่ผ่านการปรับให้มีความจำเพาะกับผู้เรียนรายบุคคล ที่กำลังเป็นเทรนด์การศึกษาในหลายประเทศชั้นนำ เพราะเทคโนโลยีดิจิทัลในปัจจุบันมีความก้าวหน้าจนเอื้อให้นักพัฒนาเทคโนโลยีสามารถออกแบบ Adaptive Education Platform รูปแบบต่าง ๆ มาให้บริการติดตามพฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียนผ่านระบบอีเลิร์นนิงแบบรายบุคคล เพื่อวิเคราะห์จุดที่อาจเป็นปัญหาในการเรียนรู้ และแนะนำเนื้อหาที่ควรทบทวน หรือควรศึกษาเพิ่มเติมตามหลักคิด Adaptive Education แบบอัตโนมัติได้ เทคโนโลยีนี้นอกจากจะทำหน้าที่เป็นโค้ชส่วนบุคคลให้แก่ผู้เรียนได้แล้ว ยังเป็นผู้ช่วยที่ทำให้ครูและอาจารย์ทำงานด้านการติดตามคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียนอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในเวลาที่น้อยลง

“หัวใจสำคัญ คือ แพลตฟอร์ม LEAD ทีมวิจัยพัฒนาขึ้นให้เป็นระบบที่ชาญฉลาดในการติดตาม วิเคราะห์ และประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียนแบบเฉพาะบุคคล ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย LEAD จะช่วยปรับการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับศักยภาพและความต้องการของนักเรียนแต่ละคน ทำให้การเรียน AI ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป” ดร.เสาวลักษณ์ ระบุ

แพลตฟอร์ม LEAD มีเทคโนโลยีติดตามกระบวนการเรียนรู้ผ่านระบบอีเลิร์นนิงที่พร้อมให้บริการแล้ว4 เทคโนโลยี ได้แก่

  1. BookRoll ติดตามการอ่านเอกสารสื่อการเรียนรู้ที่เป็นไฟล์ PDF เพื่อระบุว่าผู้เรียนใช้เวลาอ่านเนื้อหาส่วนไหนมากเป็นพิเศษ มีการขีดเน้นส่วนสำคัญและส่วนที่อ่านแล้วไม่เข้าใจตรงจุดใดบ้าง
  2. KidBright Simulator ติดตามการเรียนรู้ทักษะโค้ดดิง (coding) ผ่านการฝึกเขียนโค้ดในรูปแบบบล็อก (Blockly) โดยระบบจะติดตามความเร็วในการต่อบล็อกแต่ละส่วน จุดที่นำบล็อกออกแล้วต่อใหม่ รวมถึงช่วยนับจำนวนบล็อกที่ใช้ต่อทั้งหมด ซึ่งการติดตามทั้งหมดนี้จะช่วยประเมินทักษะการคิดวิเคราะห์และความเข้าใจเรื่องการเขียนโค้ดของผู้เรียนได้
  3. VIOLA (Video Interaction and Online Learning Analytics) ติดตามการเรียนรู้ผ่านสื่อวิดีโอมีการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลการปฏิสัมพันธ์ของผู้เรียนกับเนื้อหาวิดีโอ เช่น ระยะเวลาที่ใช้ดูวิดีโอ อัตราการดูซ้ำ หรือคะแนนจากแบบทดสอบในวิดีโอ เพื่อนำมาประเมินความเข้าใจในเนื้อหาวิดีโอ
  4. Abdul for Education ติดตามการตอบคำถามในระบบแชตบอตเพื่อวัดความเข้าใจ ระบบจะติดตามว่าคำตอบที่ผู้เรียนเลือกหรือพิมพ์ตอบนั้นถูกต้องหรือแสดงถึงความเข้าใจเนื้อหาที่เรียนหรือไม่

“สวทช. มุ่งหวังให้คุณครูผู้สามารถพัฒนาเยาวชนของเราให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ AI อย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็น คุณค่า ประโยชน์ และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงการเสริมสร้างทักษะในการสร้าง AI ได้ด้วยตนเองอย่างมีความรับผิดชอบและรู้เท่าทัน ด้วยเครื่องมือทั้งหมดนี้จะช่วยให้ทั้งผู้เรียน ผู้สอน รวมถึงผู้ออกแบบเนื้อหาทราบถึงปัญหาที่ผู้เรียนกำลังเผชิญได้ทันที และนำไปสู่การปรับเปลี่ยนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างรวดเร็ว โดยเน้นการปูพื้นฐานความรู้ AI ที่แข็งแกร่งให้กับเยาวชน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ของประเทศในระยะยาว ซึ่งจะส่งผลดีต่ออนาคตของชาติ”

ด้าน เอกสิทธิ์ ปิยะแสงทอง ผู้อำนวยการกลุ่มพัฒนาการศึกษาสำหรับผู้มีความสามารถพิเศษ สพฐ. เสริมว่า แพลตฟอร์มนี้เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้ครูจัดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกันของนักเรียนแต่ละคน ไม่ว่าจะเรียนรู้ช้าหรือเร็ว และยังช่วยส่งเสริมให้นักเรียนที่มีความสามารถพิเศษได้พัฒนาศักยภาพอย่างเต็มที่

“โครงการนี้ตั้งเป้าหมายที่จะเข้าถึง โรงเรียน 750 แห่ง คุณครูประมาณ 1,400 คน และนักเรียนไม่น้อยกว่า 140,000 คน ทั่วประเทศ เพื่อให้ครูและนักเรียนได้สัมผัสกับประสบการณ์การเรียนรู้แบบใหม่ ที่จะช่วยยกระดับคุณภาพการศึกษาไทย” เอกสิทธิ์ กล่าว

ดร.จีระพร สังขเวทัย ผู้อำนวยการสาขาเทคโนโลยี สสวท.
ดร.จีระพร สังขเวทัย ผู้อำนวยการสาขาเทคโนโลยี สสวท.

ดร.จีระพร สังขเวทัย ผู้อำนวยการสาขาเทคโนโลยี สสวท. เผยว่า ประเทศไทยเป็นชาติแรก ๆ ในเอเชียที่มีหลักสูตร AI ในโรงเรียน ซึ่ง สสวท. ได้ออกแบบหลักสูตร AI สำหรับการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยอ้างอิงแนวทาง AI4K12 และ AI Competency Framework for Students ของ UNESCO ทั้งสองแนวทางได้ถูกผนวกและปรับใช้เพื่อให้เหมาะสมกับระดับประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยมีเป้าหมายส่งเสริมให้นักเรียนเข้าใจเทคโนโลยี AI อย่างถูกต้อง สามารถใช้งานได้จริง และตระหนักถึงจริยธรรมและผลกระทบของ AI ต่อสังคม ซึ่งโครงสร้างหลักสูตรของระดับประถมศึกษา และมัธยมศึกษา มีความใกล้เคียงกัน อาจมีการปรับเปลี่ยนบางโมดูล เพื่อให้เหมาะสมกับระดับชั้นปี โครงสร้างหลักสูตรประกอบด้วย 5 โมดูล ตั้งแต่ประวัติศาสตร์ AI ไปจนถึงเทคนิค Supervised Learning การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP) และคอมพิวเตอร์วิชัน (Computer Vision) พร้อมทั้ง Generative AI เพื่อปลูกฝังความคิดสร้างสรรค์อย่างรับผิดชอบ

กรกันต์ ดิตถ์อัศวณิช และ เทพพิทักษ์ เทียมยศ ครูโรงเรียนราชวินิตบางแก้ว ซึ่งได้ทดลองใช้แพลตฟอร์ม LEAD Education กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า แพลตฟอร์มนี้ช่วยแก้ไขปัญหาความแตกต่างด้านพื้นฐานของนักเรียนได้อย่างดีเยี่ยม ทำให้ครูสามารถติดตามความก้าวหน้าและประเมินผลได้แม่นยำขึ้น ขณะที่นักเรียนสามารถเรียนรู้และทบทวนบทเรียนได้ทุกที่ทุกเวลา ลดช่องว่างทางการเรียนรู้ได้อย่างแท้จริง

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

จาก Co-pilot สู่ Co-worker: KBTG ชี้ ‘Agentic AI’ คือคลื่นลูกใหม่แห่งการปฏิวัติธุรกิจ

ดีป้า ชู Digital Skill Roadmap สร้างกำลังคนดิจิทัลเพิ่ม 1 ล้านคนต่อปี ดึง Global Tech ร่วมพัฒนาหลักสูตร

×

Share

ผู้เขียน