Share on
×

Share

ฉวยจังหวะชุลมุนภาษีสหรัฐ ส่งออกอิเล็กทรอนิกส์ไทยพุ่ง

อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์โลก 5 ปีข้างหน้ามีแนวโน้มเติบโต 60% จากวัฏจักรขาขึ้นของอุตสาหกรรม และความต้องการใช้งานที่เพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะกลุ่ม Smart Electronics แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากกำแพงภาษีสหรัฐที่อาจจัดเก็บในอนาคต ภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และความผันผวนของต้นทุนวัตถุดิบ โดยเฉพาะแร่หายากที่ขึ้นกับความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์

ทั้งนี้ ประเทศไทยต้องวางกลยุทธ์ และยุทธศาสตร์เพื่อใช้โอกาสดึงอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตของโลก เป็น Future Technology มาสู่ประเทศไทย ซึ่งอิเล็กทรอนิกส์ไม่เคยมีชิ้นส่วนเดียว ทุกคนที่อยู่ใน Supply Chain จะต้องเติบโตขึ้นไป

ภาษีคลุมเครือดันส่งออกโต

กรณีกำแพงภาษีสหรัฐที่ยังไม่ชัดเจน ดร.สัมพันธ์ ศิลปนาฎ นายกสมาคมนายจ้างอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ ให้ความเห็นว่า จากความคลุมเครือของภาษีส่งผลดีต่อตัวเลขส่งออกอิเล็กทรอนิกส์ไทยช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ที่เติบโตขึ้นมาก เนื่องจากยังอยู่ในช่วงของกฎเกณฑ์เก่า ภาษีต่ำมาก จึงมีคำสั่งซื้อเข้ามามาก และต้องเร่งกำลังการผลิต เพื่อกักตุนสินค้า เพราะต่างประเมินภาษีอัตราใหม่จะต้องสูงขึ้นมาก

อย่างไรก็ตาม จะเกิดผลกระทบในอนาคต หากสั่งสินค้าเกินความจำเป็นไปคงค้างในสต็อก และเมื่อความคลุมเครือหมดไปสู่ความชัดเจน แม้ออกมาเป็นข่าวดี ภาษีต่ำก็จะยังไม่เป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมการผลิต เพราะยังต้องใช้ของเก่าที่สั่งไป แต่หากออกมาเป็นข่าวร้าย ภาษีสูง ก็จะกระทบ 2 ต่อ นอกจากการใช้สินค้าที่สั่งไปเดิม ยังจะตามมาด้วยการพิจารณาย้ายฐานการผลิตไปสู่ประเทศที่มีอัตราภาษีต่ำ

ฉะนั้น ไม่ว่าผลจะออกมาทางใด ต้องวางแผนรองรับ และหากความคลุมเครือหายไปเร็ว จะเป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่การวางแผนเป็นระดับโลก

“อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ใช้ช่วง 10 ปีนี้ อย่างไรก็ดีมาก เพราะอยู่ในช่วงขาขึ้น เพียงแต่ผู้ประกอบการต้องวางแผนรับมือให้ดี”

โรงงานใช้เทคโนโลยี-คนลด

ส่วนอัตราการจ้างงานในอุตสาหกรรมที่ลดลง มีสาเหตุ 2 ด้านคือ 1. โรงงานนำเทคโนโลยี 3.0 หรือ 4.0 เข้าไปใช้งานมากขึ้น 2. เมื่อมีคนออก จะไม่จ้างแรงงานใหม่ทดแทน แต่ใช้เทคโนโลยี และเพิ่มโอที แก่พนักงานที่ทำงานอยู่

ภาพใน 5 ปีของอุตสาหกรรมโลก จะได้เห็น Smart Electronics ที่เติบโตถึง 46% มูลค่าระดับล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นอีกช่วงของการเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมที่มีอยู่ตลอดเวลา

ในอดีตประมาณครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยเริ่มจากการผลิตอิเล็กทรอนิกส์เล็ก ๆ ขยายสู่โรงงานขนาดใหญ่ เช่น การผลิตฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ และแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) จำนวนคนในโรงงานระดับ 40,000 – 50,000 คนต่อโรงงาน เป็นอุตสาหกรรมที่สร้างงานมากกว่า 1 ล้านคน ซึ่งภาพเช่นนี้จะไม่ได้เห็นในอนาคตที่นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้

แต่ Technology Disruption รวมถึงสถานการณ์คุกคามจากสภาวะภูมิอากาศ และภูมิรัฐศาสตร์ ที่ปรากฏชัดหลังช่วงโควิด-19 ไล่มาจนถึงอัตราภาษีสหรัฐจะกลายเป็นเหตุแห่งการเปลี่ยนโลก

อุตสาหกรรม 4.0 คนหาย 30%

“ช่วงอุตสาหกรรม 2.0 เปลี่ยนสู่ 3.0 ทำคนหายจากระบบไป 27% เมื่อเปลี่ยนสู่ 4.0 โรงงานเข้าสู่ระบบอัตโนมัติ อาจไม่สมบูรณ์ 100% แต่เกินกว่า 50% และมีโอกาสที่คนจะหายไปไม่ต่ำกว่า 30%”

ในอนาคตจะได้เห็นโรงงานที่ปิดไฟทำงาน เพราะใช้หุ่นยนต์ในการผลิต ช่วยประหยัดพลังงานได้

อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์จะใช้คนน้อยลง คนที่มีจะเป็นเกรด A+ เท่านั้น โดยต้องมีทักษะใหญ่ ๆ คือ ต้องเรียนรู้ตลอดเวลา จากความเปลี่ยนแปลงที่มีสูง ต้องสามารถสื่อสารได้ในระดับที่มีผลต่อธุรกิจ แค่พูดได้ อ่าน-เขียนภาษาอังกฤษออก ไม่เพียงพออีกต่อไป

เลือกส่งเสริมให้ถูกอุตสาหกรรม

จากสถานกาณ์ Smart Electronics มีโอกาสเติบโตสูงมาก ประเทศต่าง ๆ กำลังแย่งชิงการลงทุน ซึ่งเซมิคอนดักเตอร์เป็นปัจจัยสำคัญของอุตสาหกรรม ทุกประเทศต้องการโรงงานต้นน้ำมาก ๆ เพราะเชื่อว่าเป็นหัวใจของธุรกิจ ต่างกำหนดนโยบายการลงทุนที่เฉพาะเจาะจงมาก ๆ เพื่อดึงธุรกิจต้นน้ำเข้าไป เป็นการลดแลกแจกแถมระดับประเทศ จึงเป็นความท้าทายของไทยว่าจะวางกลยุทธ์เลือกส่วนไหนเพื่อให้ได้ผล สร้างความยั่งยืน และยืนต่อไปบน Next S-Curve ข้างหน้า หลัง 50 ปี

จากปัจจุบัน ประเทศไทยมีโรงงาน PCB มากกว่า 100 โรงงาน และภายใน 2 ปีจะเพิ่มเป็น 500 โรงงาน ซึ่งเป็นผลบุญจากภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้โรงงานย้ายมาไทย ภาพดังกล่าวจะอยู่กับประเทศไทยยาวนานเพียงใด จะทำให้การแข่งขันเปลียนผ่านครั้งนี้คงอยู่อย่างไร ต้องวางแผนจัดการให้ดี

สิ่งหนึ่งที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงแก่โลก และอุตสาหกรรม คือ Green ซึ่ง ดร.สัมพันธ์ มองว่า เป้าหมายความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของโลก ภายในปี 2030 นั้น ในความเป็นจริงน่าจะเห็นผลเร็วกว่ากำหนด เนื่องจาก ปัจจุบันบางประเทศพร้อมต่อเรื่องดังกล่าวแล้ว ฉะนั้น หากไทยรอถึงกำหนด อาจช้าไป

ดังนั้น การจะสร้างอุตสาหกรรมยั่งยืนระดับ Green ต้องสร้างคนที่มีทักษะและสมรรถนะด้าน green ขึ้นมาด้วย ที่ผ่านมา อุตสาหกรรมที่เปลี่ยนผ่านมีคนมีทักษะ Green เข้ามาทำงาน และใช้เทคโนโลยี IoTs วิเคราะห์ข้อมูล ทำให้หลาย ๆ บริษัทประหยัดเงินไปแล้ว 10% ซึ่งต้องเปลี่ยนความเชื่อว่า Green คือการเพิ่มต้นทุน จากการไม่มีความรู้และเทคโนโลยี

โรงงานไทยใช้ AI ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลก

ต่อไปคือ AI ซึ่งปัจจุบันโรงงานทั่วโลกต่างใช้ AI เข้าทำงานเฉลี่ย 65% ขณะที่ประเทศไทยใช้ AI ในโรงงานผลิตประมาณ 30% ต่างจากไต้หวันที่ใช้ AI ถึง 75% สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก

ถือว่า ประเทศไทยช้าไปแล้วสำหรับ AI ดังนั้น ต้องเริ่มปรับเปลี่ยนตั้งแต่การศึกษา เปิดให้เด็กใช้ AI 50% ที่เหลือต้องใช้ความสามารถคิดเชิงวิเคราะห์ (Analytical Thinking) ที่ได้มาจาก AI เพื่อยกระดับให้ได้

จากการแข่งขันที่รุนแรงมากในตลาด ความท้าทายใหม่ ๆ จะน่ากลัวมาก คนทำงานต้องมีทักษะวิจัย สร้างนวัตกรรมรับมือการแข่งขัน ภาคการศึกษาต้องผลิตคนที่เป็น Global Citizen ไม่เช่นนั้นต้องเปิดโอกาสให้เด็กไทยออกไปต่างประเทศ ซึ่งจะสร้างรายได้ตอบแทนสูง และหวังว่า คนเหล่านั้นจะกลับมาพัฒนาประเทศต่อไป

ภาคการศึกษาจะมุ่งเป้าผลิตบัณฑิตเพื่อตอบสนองความต้องการในประเทศอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องผลิตบัณฑิตเกรด A+ เพื่อสนองความต้องการของตลาดแรงงานให้ได้

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

ยิบอินซอยชูจุดแข็ง SI ที่เข้าใจธุรกิจไทย รุกตลาดคลาวด์ขึ้นแท่น Master Dealer ของ AIS  Cloud

อีริคสันคาดผู้ใช้งาน 5G ทั่วโลก จะพุ่งแตะ 6.3 พันล้านราย ในปี 2030

×

Share