Share on
×

Share

โลกเปลี่ยน ไทยต้องปรับ: ทางรอดในสนามรบเศรษฐกิจยุค AI

ในยุคที่ความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจโลกกลายเป็นสภาวะปกติ กรอบการวัดขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง พรมแดนทางกายภาพเริ่มมีความสำคัญน้อยลงกว่าอิทธิพลของ “แพลตฟอร์มดิจิทัล” ที่สามารถเข้าถึงและวิเคราะห์พฤติกรรมประชากรโลกได้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน บริบทดังกล่าวได้ตั้งคำถามสำคัญต่อทิศทางของประเทศไทยว่า เราจะปรับตัวอย่างไรเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันและสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนในอนาคต

3 แกนหลักกำหนดอนาคต: คน เทคโนโลยี และพลังงาน

ดร.ชินาวุธ ชินะประยูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) กล่าวว่า โลกได้เข้าสู่ยุคที่ “ประเทศ” ไม่ได้ถูกจำกัดด้วยพรมแดนอีกต่อไป แต่กลายเป็น “แพลตฟอร์ม” ที่มีประชากรเป็นของตนเอง เช่น Google มีผู้ใช้งานกว่า 4.9 พันล้านคน ซึ่งรู้จักพฤติกรรมผู้บริโภคชาวไทยได้ดีกว่าหน่วยงานภาครัฐเสียอีก ดังนั้น เพื่อแข่งขันในสนามรบใหม่นี้ ประเทศไทยต้องมุ่งเน้น 3 แกนยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่

  1. ทุนมนุษย์ (People/Talent): การแข่งขันไม่ได้หยุดอยู่แค่การสร้างประชากรที่มีคุณภาพ แต่ขยายไปสู่การดึงดูดและรักษาบุคลากรทักษะสูง (Talent Attraction and Retention) จากทั่วโลก ข้อมูลจาก Coursera Skill Index ชี้ว่า ทักษะแรงงานไทยอยู่ในอันดับที่ 42 ซึ่งตามหลังเวียดนามที่อยู่ในอันดับ 33 สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายเร่งด่วนในการยกระดับทักษะคนในชาติ
  2. เทคโนโลยี (Technology): การพัฒนาและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง โดยเฉพาะปัญญาประดิษฐ์ (AI) ถือเป็นปัจจัยชี้ขาดในการสร้างนวัตกรรม ความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล (เช่น Computing Power, Data Center) และความสามารถในการนำเทคโนโลยีไปใช้อย่างทั่วถึง (Inclusivity) และน่าเชื่อถือ (Trust) คือกุญแจสู่ความสำเร็จ
  3. พลังงาน (Energy): ในขณะที่เทคโนโลยีอย่าง AI ต้องการพลังงานมหาศาลเพื่อการขับเคลื่อน ความมั่นคงทางพลังงาน (Energy Security) และการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดอย่างยั่งยืน (Energy Sustainability) จึงกลายเป็นรากฐานที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและดึงดูดการลงทุนแห่งอนาคต

ดร.ชินาวุธ เสนอว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องเปลี่ยนตัวชี้วัดความสำเร็จ จากเดิมที่มุ่งเน้นเพียง GDP ไปสู่การวัด สัดส่วน GDP ที่มาจากเศรษฐกิจใหม่ (New S-Curve) เพื่อให้เห็นการเติบโตที่เกิดขึ้นจากนวัตกรรมอย่างแท้จริง

บทเรียนจาก Digital Disruption สู่ความท้าทายจาก AI

ธนวิชญ์ ต้นกันยา นายกสมาคมการค้าสตาร์ทอัพไทย (Thai Startup) ได้ย้ำเตือนผ่านบทเรียนราคาแพงจากสมรภูมิ E-commerce ซึ่งการปรับตัวที่ล่าช้าส่งผลให้ ตลาดที่มีมูลค่ากว่า 8 ล้านล้านบาทต่อปี ถูกครอบครองโดยแพลตฟอร์มต่างชาติเกือบสมบูรณ์ โดย 80% ของสินค้ามาจากต่างประเทศ คิดเป็นเม็ดเงินที่ไหลออกนอกประเทศกว่า 6.4 ล้านล้านบาท

ธนวิชญ์ ชี้ให้เห็นว่า ปัจจุบันคลื่นการเปลี่ยนแปลงระลอกใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI กำลังเกิดขึ้นในอัตราเร่งที่สูงกว่ามาก หากในอดีตเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเปลี่ยนกระบวนการทำงาน ปัจจุบัน AI มีศักยภาพที่จะเข้ามาแทนที่บทบาทของมนุษย์ ตัวอย่างเช่น ตำแหน่ง CFO ที่มีเงินเดือนหลักแสน อาจถูกแทนที่ด้วย AI ที่มีค่าใช้จ่ายเพียงเดือนละ 6,000 บาท ภาคธุรกิจจึงเผชิญความท้าทายเร่งด่วนในการปรับตัว ก่อนที่จะถูกทิ้งห่างไปอีกครั้ง

กรณีศึกษาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว: เปลี่ยนสนามรบสู่โลกดิจิทัล

ในมุมมองของ นิธี สีแพร รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) อุตสาหกรรมท่องเที่ยวซึ่งเป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจสำคัญ ยังคงเป็นความหวังของประเทศ อย่างไรก็ตาม ภูมิทัศน์การแข่งขันได้เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ข้อมูลหลังยุคโควิดชี้ว่า การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกยังคงติดลบ ในขณะที่ตะวันออกกลางเติบโตถึง 46%

แม้ไทยจะมีจุดแข็งที่โดดเด่นทั้งด้าน อาหาร (Gastronomy) ที่ได้รับการยอมรับระดับโลก สถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ (Film Location) สุขภาพ (Wellness) และการจัดอีเวนต์ระดับนานาชาติ จนทำให้นักท่องเที่ยวที่มาเยือนกว่า 50% กลับมาซ้ำ แต่สนามแข่งขันได้ย้ายไปสู่โลกดิจิทัลแล้ว นิธีเน้นย้ำว่าการพัฒนาแพลตฟอร์มการท่องเที่ยวแห่งชาติ (Tourism National Platform) ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven) จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการเข้าถึงนักท่องเที่ยวทั่วโลกและยกระดับขีดความสามารถของอุตสาหกรรม

ข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์: กลยุทธ์ “รับ-รุก” เพื่อสร้างกองทัพนวัตกรรม

จากมุมมองของผู้เชี่ยวชาญทั้งสามท่าน สามารถสรุปเป็นข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์เพื่อสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมที่เข้มแข็งของประเทศได้ดังนี้:

  • กลยุทธ์เชิงรับ (Defense): การสร้าง “แพลตฟอร์มแห่งชาติ (National Platform)” ในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ต่าง ๆ เพื่อสร้างสนามแข่งขันที่เท่าเทียมและเป็นธรรมสำหรับผู้ประกอบการไทย
  • กลยุทธ์เชิงรุก (Offense): การสนับสนุนให้เกิดกองทัพนวัตกรรมผ่านการลงทุนใน 3 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ คน (เร่งสร้างนวัตกรผ่านโครงการ Accelerator) เงิน (สนับสนุนเงินทุนผ่าน Venture Capital ที่กล้ารับความเสี่ยง) และ โอกาส (สร้างวัฒนธรรม “ไทยทำ ไทยใช้” กับสินค้าและบริการดิจิทัล เพื่อเป็นฐานก่อนบุกตลาดโลก)

โลกยุคใหม่ต้องการวิธีคิดและตัวชี้วัดความสำเร็จแบบใหม่ การตระหนักรู้และปรับตัวอย่างทันท่วงทีของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชน คือเงื่อนไขสำคัญที่จะกำหนดอนาคตของประเทศไทยในสนามแข่งขันที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้

×

Share

ผู้เขียน