เราทุกคนต่างมี “บรีฟ” ในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นบรีฟที่สังคมมอบให้ เพื่อนร่วมงานหยิบยื่น หรือแม้แต่บรีฟที่เราตั้งขึ้นมาเอง เช่น “ต้องประสบความสำเร็จ” “ต้องมีบ้านมีรถก่อนอายุ 30” หรือ “ต้องตามเทรนด์ให้ทัน” เรามักก้มหน้าก้มตาทำตามบรีฟนั้นอย่างเคร่งครัด โดยหวังว่าปลายทางคือผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
แต่จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเราลองใช้มุมมองของ “ครีเอทีฟ” มาปรับใช้กับชีวิต? จากวงสนทนาที่น่าสนใจระหว่าง วิชัย มาตกุล ครีเอทีฟผู้คร่ำหวอดในวงการโฆษณาจาก Salmon House และ เอ๋-นิ้วกลม (สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์) อดีตครีเอทีฟที่ผันตัวมาเป็นนักเขียนและนักคิด เราได้พบกุญแจสำคัญที่อาจเปลี่ยนวิธีมองโลกและชีวิตของเราไปอย่างสิ้นเชิง
กฎข้อแรกของชาวครีเอทีฟ: ตั้งคำถามกับ ‘บรีฟ’
เอ๋-นิ้วกลมได้จุดประกายแนวคิดที่ทรงพลังที่สุดว่า ความคิดสร้างสรรค์ที่แท้จริงไม่ได้เริ่มต้นที่การหาคำตอบ แต่เริ่มจากการตั้งคำถามกับโจทย์ (Brief) ที่ได้รับมา
ในโลกการทำงาน ครีเอทีฟที่ดีจะไม่ยอมรับบรีฟที่ไม่เชื่อหรือไม่สนุก เพราะมันยากที่จะนำไปสู่งานที่ยอดเยี่ยม แต่จะย้อนกลับไปถามถึงเป้าหมายที่แท้จริง (Objective) เพื่อหาหนทางใหม่ ๆ ที่อาจดีกว่าเดิม
เมื่อนำมาปรับใช้กับชีวิต “บรีฟ” ก็คือบรรทัดฐาน (Norm) ของสังคมนั่นเอง เช่น “ต้องเรียนให้ได้ที่ 1” หรือ “ต้องเงียบเมื่อเข้าฟังสัมมนา” การตั้งคำถามว่า “จริงหรือ?” หรือ “ทำไมต้องเป็นแบบนั้น?” คือจุดเริ่มต้นของการปลดล็อกตัวเองออกจากกรอบเดิม ๆ และเปิดประตูสู่ “ทางเลือก” ใหม่ ๆ ที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน
“ก่อนที่จะใช้ความคิดสร้างสรรค์ คือการตั้งคำถามกับตัวบรีฟเอง” – เอ๋
หนีให้พ้น ‘อัลกอริทึม’ ของชีวิต
โลกยุคนี้เต็มไปด้วยข้อมูลข่าวสารและแรงกระเพื่อมมหาศาล อัลกอริทึมพยายามป้อนสิ่งที่คิดว่าเราชอบ จนเราตกอยู่ใน “Filter Bubble” ที่เห็นแต่อะไรซ้ำ ๆ อ่านหนังสือเล่มเดียวกัน ฟังพอดแคสต์หัวข้อเดียวกัน จนความคิดของเราเริ่มสร้างสรรค์ในรูปแบบที่ “คล้าย ๆ กัน”
วิชัยและเอ๋เห็นตรงกันว่า การจะเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์อย่างแท้จริงได้นั้น เราต้อง “เจาะ Bubble” ของตัวเองออกมาบ่อย ๆ และพาตัวเองไปอยู่ใน “ความไร้ระเบียบ” หรือสิ่งที่ไม่อยู่ในความสนใจกระแสหลัก เทคนิคง่าย ๆ ที่วิชัยใช้คือ การตั้งกฎให้ตัวเอง เช่น
“ทุกครั้งที่ขึ้นรถ ต้องเปิดฟังเพลงลูกทุ่ง” เพื่อรับชุดคำและทัศนคติใหม่ ๆ
“ก่อนนอนจะลองพิมพ์คีย์เวิร์ดมั่ว ๆ ใน YouTube” เพื่อดูว่ามันจะพาเราไปเจออะไรที่ไม่คาดคิด ตั้งแต่วิธีทำธนูไม้ญี่ปุ่นไปจนถึงการแข่งขันเบย์เบลด
การทำเช่นนี้คือ “การดื้อกับอัลกอริทึม” เป็นการบังคับให้ตัวเองได้พบเจอ Input ใหม่ ๆ ซึ่งจะนำไปสู่ Output ที่แตกต่างและไม่มีใครเหมือน
ไปให้ไกลกว่าตาและสมอง: ปลุกทุกผัสสะเพื่อไอเดียใหม่
เอ๋ชี้ให้เห็นว่าเรากำลังอยู่ในยุค “วัฒนธรรมทางสายตา” ที่เราใช้ชีวิตผ่านตาและสมองเป็นหลัก แต่ความคิดสร้างสรรค์ที่ลึกซึ้งนั้นต้องการการทำงานของร่างกายและผัสสะทั้งหมด
ลองจินตนาการถึง:
การหลับตาและฟังเสียง (Soundscape) ในป่า ในเมือง หรือแม้แต่ในห้องนี้ คุณจะรับรู้โลกในมิติที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
ศิลปินที่นำเสนอเมือง “ปักกิ่ง” ผ่านไฟล์เสียง แทนที่จะเป็นรูปภาพ
นักเขียนที่ได้แรงบันดาลใจจาก “กลิ่นแอปเปิ้ลเน่า” หรือ ไอน์สไตน์ที่ขยำลูกบอลขณะคิด
เมื่อเราเปิดผัสสะอื่น ๆ ทั้งการฟัง การดมกลิ่น การสัมผัส เราจะได้รับข้อมูลชุดใหม่ที่สมองและตาไม่เคยได้รับมาก่อน และนั่นคือแหล่งกำเนิดของไอเดียที่สดใหม่และหาที่ไหนไม่ได้
AI: เครื่องมือทุ่นแรง หรือ ‘เจ้าของไอเดีย’ ?
เมื่อพูดถึง AI ทั้งสองมองว่ามันคือเครื่องมือที่ทรงพลัง แต่ไม่ใช่เจ้าของความคิดสร้างสรรค์ วิชัยมองว่า AI จะให้ “ค่ามาตรฐานของไอเดีย” ที่ใคร ๆ ก็เข้าถึงได้ หน้าที่ของมนุษย์คือการนำสิ่งนั้นมาต่อยอด หรือคิดในสิ่งที่ AI คาดไม่ถึง
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายคือ:
คอนเทนต์จะล้นโลก: ทุกคนสามารถปั๊มคอนเทนต์ได้มหาศาล จนผู้สร้างสรรค์อาจรู้สึกท้อและหมดใจ
มาตรฐานความพึงพอใจอาจเปลี่ยนไป: เราอาจคุ้นชินและยอมรับผลงานจาก AI มากขึ้น
แต่สิ่งที่น่าจะปกป้องมนุษย์ได้คือ “ความขี้เบื่อ” ของเราเอง เมื่อคอนเทนต์ที่คล้ายกันมีมากเกินไป มนุษย์จะเริ่มมองหาสิ่งที่ “แปลก” จริง ๆ สิ่งที่มาจากความผิดพลาด ความไม่สมบูรณ์แบบ หรือความรู้สึกที่ AI ไม่อาจเลียนแบบได้
ความกล้าที่จะ ‘ตั้งหัวแถวใหม่’ และคุณค่าของการมีอยู่
หัวใจของความคิดสร้างสรรค์คือ ความกล้าที่จะเสี่ยง กล้าที่จะทำในสิ่งที่ไม่มีใครทำ หรือที่เรียกว่า “ตั้งหัวแถวใหม่” แทนที่จะไปต่อแถวที่ยาวเหยียดอยู่แล้ว
การทำสิ่งที่แตกต่างอาจไม่ประสบความสำเร็จในแง่ของยอดวิวหรือกระแสเสมอไป แต่คุณค่าของมันอาจยิ่งใหญ่กว่านั้น มันคือการสร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่น คือการสร้าง “ระบบนิเวศ” ที่หลากหลาย และที่สำคัญที่สุด มันคือการตอบคำถามว่า “ทำไมฉันต้องมีอยู่?”
เพราะหากเราทำทุกอย่างเหมือนคนอื่น เราก็ไม่รู้ว่าจะมีตัวเราไปเพื่ออะไร แต่การสร้างสรรค์ในแบบของตัวเอง คือการยืนยันคุณค่าและความหมายในการมีชีวิตของเราเอง เราไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นแค่ “ท่อ” ส่งต่อสิ่งที่คนอื่นหรือ AI สร้าง แต่เกิดมาเพื่อเป็น “ผู้สร้าง” ที่มีความหมายในแบบฉบับของเราเอง
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ถอดรหัสอนาคตสื่อไทยในยุค AI: จากโอกาสสู่ความท้าทายทางจริยธรรมบนเวที UNESCO
ความพร้อมระบบการศึกษาไทยในการบูรณาการเทคโนโลยี AI อย่างยั่งยืน