ย้อนกลับไปเมื่อ 10 กว่าปีก่อน คลองขนมจีน ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาคือภาพสะท้อนของความสิ้นหวัง สายน้ำที่ครั้งหนึ่งเคยหล่อเลี้ยงชุมชนกลับกลายเป็นคลองที่เต็มไปด้วยมลพิษ ขยะถุงพลาสติก ฟูกที่นอนเก่าลอยเกลื่อนกลางคลอง ส่งกลิ่นเหม็นเน่า จนแทบไม่หลงเหลือสิ่งมีชีวิตใด ๆ ใต้ผืนน้ำ ชาวบ้านจับปลาไม่ได้ นักศึกษาที่ลงพื้นที่เก็บตัวอย่างน้ำต่างก็มีผื่นคันจากคุณภาพน้ำที่เน่าเสีย
“ตอนเรามาเก็บตัวอย่างน้ำใหม่ ๆ นักศึกษาหลายคนป่วยเป็นโรคผิวหนัง” ดร.วัชราภรณ์ ตันติพนาทิพย์ จากคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา เล่าย้อนถึงสภาพของคลองขนมจีนช่วงปลายปี 2560 ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นที่มหาวิทยาลัยฯ เข้าร่วมโครงการ “เนสท์เล่ น้ำรักษ์น้ำ”
“ตอนนั้นเราแทบไม่เจอสิ่งมีชีวิตในน้ำเลย เราเจอแต่หนอนแดง หอยกาบตัวเล็ก ๆ กับหอยขมที่กินไม่ได้ และเปลือกหอยเชอรี่ที่ตายแล้ว”
ชาวบ้านชุมชนคลองขนมจีนในตอนนั้นไม่เชื่อว่าน้ำในคลองของพวกเขาจะเสื่อมโทรมถึงเพียงนั้น
“ตอนแรกที่เรานำผลวิเคราะห์น้ำไปบอกผู้นำชุมชน พวกเขาไม่ยอมรับว่าน้ำในคลองเสื่อมโทรม แต่เมื่อเราเก็บข้อมูลต่อเนื่อง 12 เดือน ๆ ละครั้ง และนำผลมาแสดงให้เห็นถึงสภาพน้ำที่แย่ลงเรื่อย ๆ ในที่สุดทุกคนก็ยอมรับความจริง” ดร.วัชราภรณ์เล่า
สภาพคลองขนมจีนในวันนั้น คือโจทย์ใหญ่ของโครงการ เนสท์เล่ น้ำรักษ์น้ำ ที่ริเริ่มขึ้นในปี 2558 โดยแบรนด์เนสท์เล่ เพียวไลฟ์ ภายใต้แนวคิด “เรียนรู้ – ปกป้อง – ฟื้นฟู” เพื่อฟื้นคืนชีวิตให้แหล่งน้ำ และสร้างคุณค่าร่วมกับชุมชนในระยะยาว
‘ปกป้อง’ ด้วยการจัดการขยะชุมชน
จากการพูดคุยร่วมกันระหว่าง 3 พันธมิตรหลัก ได้แก่ เนสท์เล่ องค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) และมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา ทุกฝ่ายต่างเห็นพ้องกันว่าปัญหาหลักของคลองขนมจีนคือขยะ การเริ่มต้นจึงต้องย้อนกลับไปจัดการตั้งแต่ต้นทาง
เนสท์เล่เริ่มสร้างความรู้ให้กับชุมชนด้านการจัดการขยะ ผ่านแนวทาง เรียนรู้ ปกป้อง ฟื้นฟู มีการจัดตั้ง “ตลาดนัดขยะชุมชน” ร่วมกับวงษ์พาณิชย์ เปลี่ยนขยะให้เป็นรายได้ของชาวบ้าน ซึ่งได้รวบรวมขยะรีไซเคิลเข้าสู่ระบบได้มากกว่า 16 ตัน ล่าสุดได้เปิดตัว “ธนาคารขยะดิจิทัล” นำร่องที่โรงเรียนสาคลีวิทยา ซึ่งถือเป็นแห่งแรกในพระนครศรีอยุธยา เด็กนักเรียนสามารถนำขยะมาแลกเป็นคอยน์เพื่อสะสมและใช้แลกของรางวัลได้ ทั้งยังเป็นการสอดแทรกความรู้ด้านเทคโนโลยีในการแก้ปัญหาขยะได้อย่างแยบยล
ขยะถูกแยกเป็น 5 ประเภท ได้แก่ ขวดแก้ว ขวดพลาสติก อลูมิเนียม พลาสติกรวม และกระดาษ โดยครูจะรับหน้าที่ชั่งน้ำหนักและบันทึกเข้าสู่ระบบ ส่งผลให้เด็ก ๆ รู้จักการออม และปลูกจิตสำนึกการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมตั้งแต่วัยเรียน
นอกจากลดขยะแล้ว สิ่งสำคัญอีกด้านหนึ่งคือการฟื้นฟูคุณภาพน้ำและระบบนิเวศ เพื่อให้สิ่งมีชีวิตกลับคืนสู่คลองอีกครั้ง ผ่านกิจกรรมเชิงอนุรักษ์ เช่น การปล่อยปลาท้องถิ่นหายาก เช่น ปลากระทิง ปลาหลด ปลาหมู ปลาแดง รวมถึงการสนับสนุนการปลูกพืชน้ำอย่างกระจับ แพงพวยน้ำ และเตยหอม และในโอกาสครบรอบ 10 ปีของโครงการฯ ยังมีการปล่อยลูกกุ้งก้ามกรามจำนวน 100,000 ตัวลงสู่คลองเพื่อสร้างระบบนิเวศที่สมบูรณ์
สายน้ำที่ฟื้นคืน

ผ่านไป 10 ปี วันนี้คลองขนมจีนได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง การตรวจคุณภาพน้ำในปีนี้ เผยให้เห็นภาพที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง
“เราพบหอยกาบถึง 4 ชนิด ที่สามารถนำมากินและขายได้ ชาวบ้านยังเจอกุ้งก้ามกรามในคลองด้วย สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ไม่เพียงเป็นตัวชี้วัดคุณภาพน้ำที่ดีขึ้น แต่ยังกลายเป็นแหล่งสร้างรายได้และคุณค่าให้กับชุมชนอย่างมหาศาล” ดร.วัชราภรณ์เล่าด้วยความภาคภูมิใจ
นอกจากนี้ ผลกระทบเชิงบวกยังส่งไปถึงผู้คน เพราะชาวบ้านเริ่มกลับมาใช้ประโยชน์จากคลองมากขึ้น ไม่ใช่แค่นำไปใช้ปลูกข้าว แต่รวมถึงการปลูกพืชผักและเลี้ยงปลา ซึ่งเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าความเชื่อมั่นในสายน้ำแห่งนี้ได้กลับคืนมาแล้ว
ด้าน ประสิทธิ์ หอมระรื่น ตัวแทนชาวบ้านและเป็นผู้ดูแลคลองขนมจีน ย้อนอดีตถึงวันที่คลองเป็นที่ทิ้งขยะ เนื่องจากในอดีตเทศบาลฯ ยังไม่มีรถเก็บขยะ ทำให้แทบไม่มีปลาเหลืออยู่เลยในคลอง
“แต่หลังจากมีโครงการนี้ เราก็พบปลาหลากหลายชนิด ทั้งปลากระทิง ปลาเนื้ออ่อน และกุ้งก้ามกรามก็กลับมาแล้ว” เขากล่าวด้วยความดีใจ
10 ปี แห่งความมุ่งมั่น
สันทนา ชาตินักรบ ผู้จัดการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด เผยถึงความท้าทายในช่วงเริ่มต้นทำโครงการว่า “ชาวบ้านตั้งคำถามว่าเนสท์เล่จะอยู่กับเรานานแค่ไหน?” โรงเรียน 7 แห่งตลอดแนวคลองขนมจีนที่ยาว 21 กิโลเมตร บางแห่งไม่เชื่อมั่นและไม่เข้าร่วมโครงการฯ ในตอนแรก แต่ด้วยความมุ่งมั่นและพิสูจน์ให้เห็นถึงผลลัพธ์ วันนี้ทั้ง 7 แห่งได้เข้าร่วมโครงการฯ ทั้งหมด ความหลากหลายทางชีวภาพที่เพิ่มขึ้นเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ที่จับต้องได้
“จากน้ำที่เคยเน่าเสีย วันนี้มีแมลงปอโบยบินเหนือผิวน้ำบ่งบอกถึงคุณภาพน้ำที่ดีขึ้น ชาวบ้านยังได้เห็นหิ่งห้อยกลับมาส่องแสงในยามค่ำคืนอีกด้วย”
พลังของชุมชน
ไชยงค์ สกุลบริรักษ์ ผู้อำนวยการบริหารหน่วยธุรกิจน้ำดื่ม บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด กล่าวว่า ความสำเร็จนี้เกิดจากความร่วมมือของชุมชน ผู้นำชุมชนที่เข้มแข็ง และพันธมิตรทุกฝ่าย
“ไม่มีใครตั้งคำถามอีกแล้วว่าเราจะหยุดทำโครงการนี้หรือไม่ เพราะผลลัพธ์ที่ทุกคนเห็นชัดเจน ในตอนเริ่มต้น ชาวบ้านในชุมชนมียอจับปลาเพียง 2 อัน แต่วันนี้เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 30 อัน”
“โครงการนี้จะหยุดไม่ได้ เพราะเราเห็นประโยชน์ที่ชุมชนได้รับ และเราจะเดินหน้าต่อไปเพื่อดูแลทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนเพื่อคนรุ่นต่อไป”
การดำเนินโครงการมาอย่างต่อเนื่องยังทำให้เนสท์เล่สามารถบรรลุเป้าหมายในการชดเชยน้ำกลับคืนสู่ธรรมชาติและชุมชน ในปริมาณเท่ากับที่ใช้ในการดำเนินธุรกิจน้ำดื่มทั้งหมด 100% หรือที่เรียกว่า 100% Water Regeneration ภายใต้แผน Net Zero 2050 โดยคิดเป็นปริมาณกว่า 1 ล้านลูกบาศก์เมตร ภายในสิ้นปีนี้
ก้าวสู่โมเดลต้นแบบระดับประเทศ
ความสำเร็จของการจัดการคลองขนมจีนไม่ได้จำกัดอยู่แค่ระดับท้องถิ่น แต่กำลังก้าวสู่การเป็นต้นแบบระดับโลก
ศุภวัฒน์ คามีเยาน์ ผู้จัดการด้านความยั่งยืนธุรกิจน้ำดื่มเนสท์เล่ บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด กล่าวว่า หลังจากดำเนินโครงการมา 10 ปี “เนสท์เล่ น้ำรักษ์น้ำ” ได้รับเลือกให้เป็นพื้นที่นำร่องสำหรับการดำเนินงานอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพนอกเขตพื้นที่คุ้มครอง (Other Effective area-based Conservation Measures หรือ OECMs) สำหรับพื้นที่บนบกและแหล่งน้ำบนบกของประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี
“นั่นหมายความว่า คลองขนมจีนจะกลายเป็นต้นแบบให้คลองอื่น ๆ ในประเทศไทยได้มาศึกษาเพื่อนำไปปรับใช้ และเมื่อเป็นโครงการนำร่อง ก็สามารถขยายผลไปสู่คลองอื่น ๆ ได้ทั่วประเทศ และยังทำให้ทั่วโลกหันมาสนใจ ถือเป็นการยกระดับการจัดการคลองของประเทศไทยด้วย”
“ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า โครงการนี้จะกลายเป็นพื้นที่เรียนรู้ระดับโลก ทั้งในเชิงระบบนิเวศ และโมเดลความร่วมมือระหว่างรัฐ เอกชน และชุมชน”
จากสายน้ำเน่าเสียที่ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต คลองขนมจีนในวันนี้ไม่ใช่แค่แหล่งน้ำธรรมชาติอีกต่อไป แต่คือชีวิตของชุมชนที่กลับมามีความหวัง
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
‘บางลำพู Food กู๊ด Taste’: นวัตกรรมชุมชนเปลี่ยนย่านเมืองเก่าสู่ความยั่งยืน
เปิดเทคนิคเลี้ยงลูกยุค AI เข้าใจลูก รู้ทันเทคโนโลยี พร้อมปูทักษะสู่อนาคต