Share on
×

Share

AI และมนุษย์: การเดินทางในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง

ในยุคที่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเข้ามามีบทบาทในชีวิตของเรามากขึ้นเรื่อย ๆ คำถามสำคัญที่เกิดขึ้นคือ “อะไรคือสิ่งที่จะทำให้มนุษย์มีคุณค่าในยุคนี้?” รวิศ หาญอุตสาหะ CEO ของศรีจันทร์สหโอสถ และ Mission to the Moon Media ได้ชวนเรามาสำรวจมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับการปรับตัวของมนุษย์ในยุค AI รวมถึงความเข้าใจในแต่ละเจเนอเรชัน และการค้นหาคุณค่าแท้จริงของตัวเรา

ที่ผ่านมา เทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น เครื่องจักรไอน้ำ สายพานการผลิต หรือรถยนต์ ล้วนเข้ามาช่วย “ทุ่นแรง” มนุษย์ ทำให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้กลายเป็นจริง หรือทำให้สิ่งที่เคยมีราคาแพงกลับถูกลง รวิศ ยกตัวอย่างว่าการผลิตแสงสว่างที่เคยต้องใช้ต้นทุนมหาศาลจากการล่าวาฬ ก็กลายเป็นเรื่องง่ายดายเมื่อมีไฟฟ้า หรือความฝันที่จะบินได้เหมือนนกก็เป็นจริงด้วยเครื่องบิน

แต่ AI ต่างออกไป… นี่เป็นครั้งแรกที่เรากำลังเผชิญหน้ากับสิ่งที่ “ฉลาดกว่า” เรา ซึ่งนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และรวดเร็วกว่าที่หลายคนคาดคิด แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญในวงการ AI ยังยอมรับว่าเทคโนโลยีนี้กำลังพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด

AI จะเปลี่ยนโลกการทำงานของเราได้อย่างไร?

เมื่อ AI เข้ามา หลายคนอาจกังวลว่างานของเราจะหายไป ดังที่ CEO ของ Anthropic (ผู้พัฒนา Claude ซึ่งเป็น AI ที่เก่งภาษาไทย) ได้กล่าวไว้ว่าประมาณ 50% ของงานอาจหายไปภายใน 5 ปี อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีงานใหม่เกิดขึ้น เพียงแต่รูปแบบการทำงานจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

รวิศยกตัวอย่างที่น่าสนใจถึงวิธีที่ AI จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงการทำงาน:

การสร้างสรรค์คอนเทนต์ การสร้างฉากภาพยนตร์สั้น ๆ ที่เคยต้องใช้ทรัพยากรมหาศาล วันนี้ AI สามารถช่วยเลือกมุมกล้อง สร้างฉาก และเชื่อมต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างน่าอัศจรรย์ด้วยคำสั่งเพียงไม่กี่ประโยค

การจัดการงานเอกสาร โปรเจกต์อย่าง Mariner ของ Google มี “Agent Mode” ที่สามารถจัดการงานที่ต้องทำหลายขั้นตอนได้อย่างชาญฉลาด ไม่ว่าจะเป็นการค้นหาข้อมูลในเว็บไซต์ หรือการรวบรวมอีเมลติดต่อ โดย AI สามารถอธิบายกระบวนการคิดของมันได้ด้วยซ้ำ ทำให้เราเข้าใจที่มาที่ไปของการทำงานได้

การเพิ่มประสิทธิภาพการประชุม AI อย่าง Read.ai สามารถวิเคราะห์การประชุมแบบเรียลไทม์ ทั้งเวลาพูด อารมณ์ร่วม และการมีส่วนร่วมของผู้เข้าร่วมประชุม และยังสรุปรายงานการประชุม จุดสำคัญ แอคชั่นแพลน และแม้กระทั่งให้คำแนะนำส่วนตัวเพื่อพัฒนาทักษะการสื่อสารในการประชุมอีกด้วย สิ่งนี้จะช่วยลดการประชุมที่ไม่จำเป็นลงไปได้มาก

การมาถึงของ AI นำมาซึ่งคำถามที่สำคัญยิ่งกว่าสำหรับมนุษย์ นั่นคือ เราจะเลือกที่จะปฏิบัติต่อความเปลี่ยนแปลงนี้อย่างไร?

ทางเลือกแบบ “กวาง” หรือ “สิงโต”

รวิศชวนให้เราคิดถึงธรรมชาติของมนุษย์ที่คล้าย “กวาง” ในทุ่งหญ้าสะวันนา ที่ถูกสอนให้หวาดกลัวและเลือกที่จะหนีเพื่อความอยู่รอด เพราะเราไม่มีเขี้ยวเล็บที่แข็งแกร่งพอ การเอาชีวิตรอดของเราฝังอยู่ใน DNA ของความกลัว

แต่หากเราต้องการเอาชีวิตรอดและก้าวหน้าในโลกยุคใหม่ เราต้องเลือกที่จะเป็น “สิงโต” ที่มองความท้าทายเป็นโอกาสที่น่าตื่นเต้น หากเราจมอยู่กับความกังวลว่า AI จะมาแย่งงาน เราก็จะเหนื่อยหน่าย แต่ถ้าเราเปลี่ยนมุมมองเป็น “อนาคตจะต้องเป็นของเรา” เราก็จะสามารถพลิกสถานการณ์ได้

เจเนอเรชัน Z: ผู้รับไม้ต่อในยุคแห่งการเปลี่ยนผ่าน

รวิศเน้นย้ำถึงบทบาทของ Gen Z ซึ่งเป็นเจเนอเรชันที่อยู่ในช่วงรอยต่อแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ประสบการณ์และทัศนคติของพวกเขาจึงสำคัญต่ออนาคตของชาติ

จากการสัมภาษณ์ Gen Z เขาพบว่าพวกเขาไม่ได้กลัว AI ไม่ได้กลัวงานหนัก หรือกลัวหมดไฟ สิ่งที่พวกเขากลัวคือ “เราจะพึ่งตัวเองได้หรือยัง” และ “เราจะเก่งพอหรือยัง” เพราะภาพลักษณ์ความเก่งและความภาคภูมิใจในตนเองเป็นสิ่งสำคัญสำหรับพวกเขาในยุคที่ทุกอย่างเชื่อมโยงกันผ่านโซเชียลมีเดีย

นิยาม “ความเก่ง” และ “ความอดทน” ที่เปลี่ยนไป

ความเก่ง: ในอดีต ความเก่งมักหมายถึง “ทักษะ” (skill) แต่สำหรับ Gen Z ความเก่งคือ “ตัวตน” (identity) พวกเขาต้องการให้ผู้คนมองเห็นความสามารถของตนในทุกด้าน ไม่ใช่แค่ทักษะการทำงาน แต่รวมถึงตัวตนในชีวิตส่วนตัวด้วย เพราะในยุคนี้ เส้นแบ่งระหว่างชีวิตส่วนตัวและการทำงานเลือนหายไปแล้ว

ความอดทน: หากในอดีตความอดทนคือการ “ทน” ต่อความยากลำบาก สำหรับ Gen Z พวกเขาสามารถอดทนได้ แต่ “ต้องมีเหตุผล” หัวหน้าหรือองค์กรต้องสามารถอธิบายได้ว่าทำไมต้องทำสิ่งนั้น ทำไมต้องอดทนกับเรื่องนี้ ไม่ใช่แค่ทำตามกันมาโดยไม่มีเหตุผล ซึ่งองค์กรต้องกล้าที่จะ “ตั้งคำถาม” กับสิ่งที่ทำอยู่

องค์กรต้องปรับตัว: สร้างพื้นที่ที่มีความหมาย

ในโลกที่เปลี่ยนแปลงไป องค์กรต่าง ๆ ต้องหันกลับมาทบทวนตัวเองและ “สร้างองค์กรที่มีความหมาย” เพื่อดึงดูดและรักษาคนเก่ง ๆ โดยเฉพาะ Gen Z ไว้ รวิศ แนะนำ 3 ข้อ

ข้อแรก – สร้างพื้นที่ปลอดภัย (Psychological Safety): ทีมที่ดีที่สุดคือทีมที่มีความปลอดภัยทางจิตใจ สมาชิกกล้าที่จะพูด กล้าที่จะแสดงความคิดเห็นโดยไม่กลัวผลกระทบ ซึ่งจะนำไปสู่ “ความเชื่อใจ” (Trust) ที่เกิดจาก 3 สิ่ง คือ เครดิต (ทำในสิ่งที่พูดได้จริงหรือไม่?) ความคุ้นเคย (มีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนในทีมหรือไม่?) และ ความปรารถนาดี (รู้สึกว่าอีกฝ่ายปรารถนาดีกับเราหรือไม่?)

ข้อสอง – บอกเป้าหมาย (Why) หากหัวหน้ายังไม่สามารถตอบได้ว่าทำไมงานนี้ถึงต้องทำ ลูกน้องก็จะไม่เต็มใจทำ องค์กรต้องสื่อสาร “เหตุผล” เบื้องหลังของทุกสิ่ง

ข้อสาม – สร้างสมดุล (Balance) ยุคนี้เราทำงานจากที่ไหนก็ได้ แต่ก็สามารถถูกติดตามได้ทุกที่ทุกเวลา องค์กรต้องเข้าใจและช่วยสร้างสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและการทำงาน

คุณค่าที่ AI ยังไม่มี: สิ่งที่มนุษย์ต้องค้นหา

แม้ AI จะเก่งกาจในหลายด้าน แต่ก็ยังมีคุณสมบัติที่ AI ไม่สามารถเลียนแบบได้ เช่น ความคิดสร้างสรรค์ (creativity) ความเห็นอกเห็นใจ (empathy) และอารมณ์ความรู้สึก (emotional intelligence) รวิศยกตัวอย่างการเดินทางด้วยเครื่องบินที่ AI เป็นผู้ควบคุมทั้งหมด ผู้โดยสารอาจไม่กล้าขึ้น เพราะ “ความไว้ใจ” ของมนุษย์ยังคงเป็นสิ่งสำคัญ

ในอาชีพของทุกคนมีคุณค่าที่ AI ยังไม่สามารถทดแทนได้ เราต้องค้นหาว่าคุณค่านั้นคืออะไร อาจเป็นความสามารถในการทำให้หัวหน้าสบายใจเมื่อต้องเผชิญกับโปรเจกต์ที่ซับซ้อน หรือการทำหน้าที่เป็นล่ามที่เชื่อมโยงความเข้าใจระหว่างแผนกต่าง ๆ

ค้นหา Personal Value Proposition ของคุณ

สิ่งสำคัญที่สุดในยุคนี้คือการค้นหา “คุณค่าส่วนบุคคล” (Personal Value Proposition) ของตัวคุณเอง เพื่อให้เราสามารถอยู่รอดและเติบโตในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างยั่งยืน ด้วยการตั้ง 3 คำถาม คือ เราทำอะไรได้ดี? (ความสามารถ) เราให้ความสำคัญกับอะไร? (ความเชื่อ, ความหลงใหล และคนอื่นจะได้อะไรจากเรา? (คุณค่าที่เราส่งมอบ)

เรื่องราวของ โรเบิร์ต แลง นักฟิสิกส์อัจฉริยะที่หลงใหลในการพับกระดาษ (Origami) เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน เขาเป็นนักฟิสิกส์ที่เก่งกาจแต่ก็รู้ว่ามีนักฟิสิกส์คนอื่นที่เก่งกว่า ทว่านักฟิสิกส์ที่พับกระดาษได้เก่งเท่าเขาอาจมีเพียงคนเดียว เขาจึงลาออกมาทำงานออกแบบ โดยใช้ความรู้ด้านฟิสิกส์มาประยุกต์กับการพับกระดาษ เพื่อช่วยบริษัทรถยนต์ออกแบบ Airbag หรือช่วย NASA พับกล้องโทรทรรศน์ขนาดใหญ่ให้ใส่ยานอวกาศได้สำเร็จ โรเบิร์ต แลง คือผู้ที่สามารถรวมความสามารถ ความหลงใหล และคุณค่าที่ส่งมอบให้ผู้อื่นได้อย่างลงตัว

รวิศ กล่าวว่า โลกอนาคตอาจดูน่ากลัวสำหรับบางคน แต่ก็เต็มไปด้วยโอกาสสำหรับอีกหลายคน ทางเลือกขึ้นอยู่กับคุณ ว่าจะมองความท้าทายนี้เป็น “กวาง” ที่วิ่งหนี หรือเป็น “สิงโต” ที่พร้อมจะคว้าโอกาส การทำความเข้าใจ AI การเปิดใจเรียนรู้เจเนอเรชันใหม่ การปรับองค์กรให้มีความหมายและที่สำคัญที่สุดคือการค้นหาคุณค่าส่วนบุคคลของตัวเราเอง จะทำให้เราสามารถอยู่รอดและเติบโตในโลกยุคใหม่ได้อย่างมั่นคงและมีคุณค่า

×

Share

ผู้เขียน